ตอนที่ 87 มีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว มีชีวิตอยู่ย่อมมีความหวัง
ตอนที่ 87 มีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว มีชีวิตอยู่ย่อมมีความหวัง
เฉียวเยี่ยนยังเรียกชื่อของมู่ฉินเจินอยู่ ระบบตัวน้อยได้ยินเสียงแผ่วเบาดังออกมา ก็เพ่งจิตค้นหา จนเจอตำแหน่งของพี่มู่คนหล่อ
[ท่านโฮสต์! ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ในหลุมแห่งหนึ่ง พี่มู่คนหล่ออยู่ในหลุมนั้น!]
หัวใจของเฉียวเยี่ยนใกล้จะกระดอนออกมาแล้ว นางก้าวขาวิ่งไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ร่างกายที่เหนื่อยล้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ในเวลานี้กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
เสียงน้ำยิ่งดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เฉียวเยี่ยนร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่ไหว นางเอ่ยด้วยเสียงสะอื้น “ข้ารู้ว่าท่านอยู่ตรงไหน รอข้าก่อนนะ ข้าจะไปช่วยท่าน!”
“ท่านเก็บแรงเอาไว้ ไม่ต้องขยับ อีกเดี๋ยวข้าก็ถึงแล้ว!”
ในขณะที่นางตะโกนออกไปเสียงดัง นางก็รู้ว่ามู่ฉินเจินต้องได้ยินนาง ซึ่งก็เป็นไปตามคาด พอสิ้นเสียงนาง เสียงน้ำก็หยุดลง
ด้วยการบอกทางของระบบตัวน้อย ในไม่นานนางก็หาหลุมดักสัตว์นั้นพบ
บางทีอาจจะเป็นเพราะขุดทิ้งมานานแล้ว ปากหลุมถึงได้มีหญ้าสูงครึ่งเอวคนงอกขึ้น หากอยู่ในช่วงอลหม่านแล้วตกลงไปคงหาเจอไม่ได้ง่ายๆ
นางแหวกหญ้าออก หมอบอยู่กับปากหลุมและมองลงไป ก็เห็นมู่ฉินเจินนอนยิ้มให้นางอยู่บนพื้นอย่างอ่อนแรง
รอยยิ้มนั้นเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกมากมายเหลือเกิน เป็นความปิติยินดีที่รอดชีวิตจากภัยพิบัติ และเป็นความรักอย่างเปี่ยมล้นที่มีต่อนาง
เฉียวเยี่ยนร้องไห้ออกมาอย่างทนไม่ไหว หยาดน้ำตาหยดลงมาเป็นสาย คลี่ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา “ข้ามาแล้ว…”
ระบบตัวน้อยเห็นภาพนี้ก็หลั่งน้ำตาออกมา และมุดศีรษะซุกอยู่ใต้หมอน ร้องไห้สะอึกสะอื้น
ฮื่อๆๆ คู่ชิปของนางช่างน่าประทับใจเหลือเกิน!
เฉียวเยี่ยนเช็ดน้ำตาบนดวงหน้า ก่อนนำเชือกเส้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสะพาย และนำไปมัดไว้บนต้นไม้หน้าปากหลุม จากนั้นก็โรยตัวลงไปในหลุม
ไฟฉายคาดหัวทำให้ทั้งหลุมดักสัตว์สว่างโร่ ส่งผลให้เฉียวเยี่ยนเห็นสถานการณ์ในหลุมตอนนี้
มันเปียกชื้นอย่างมาก บนผนังหลุมล้วนเป็นตะไคร้น้ำ ด้านล่างหลุมมีงูตายหนึ่งตัว แล้วก็แมลงตายสองสามตัว คาดว่าท่านอ๋องคงจะตีพวกมันตาย
อาภรณ์บนกายมู่ฉินเจินล้วนเปียกชื้น ดวงหน้าขาวซีดดุจกระดาษ แก้มตอบซูบลง ริมฝีปากแห้งจนแตกระแหง ทว่าแววตาเขาในเวลานี้กลับสว่างแวววาว และเอาแต่จ้องเฉียวเยี่ยนตาไม่กระพริบ หากนี่เป็นเพียงแค่ความฝัน เช่นนั้นเขาก็อยากจดจำใบหน้านางก่อนตาย
เฉียวเยี่ยนนั่งลงข้างเขา และพยุงเขาขึ้นมาหนุนตักตัวเอง นำน้ำขวดหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสะพาย แล้วป้อนน้ำให้เขาอย่างระมัดระวัง
น้ำไหลผ่านลำคอ จนลำคอที่แห้งผากของมู่ฉินเจินชุ่มชื้นขึ้น เขายิ้มบางเบา ก่อนเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “ข้าคิดว่าจะไม่ได้เจอเจ้าอีกแล้ว”
เฉียวเยี่ยนลูบใบหน้าเขาด้วยใจที่เจ็บปวดไม่น้อย นางคิดว่าตนจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว
หลังจากอยู่ด้วยกันทั้งเช้าทั้งเย็นมาครึ่งปีกว่า เขามักจะอยู่ข้างนางเสมอ ทำให้ไม่รู้สึกว่าวันที่ไม่มีเขาจะเป็นอย่างไร แต่สองสามวันที่ผ่านมานางเข้าใจแล้ว หากไม่มีเขา โลกของนางคงมืดมนลงทันใด ที่แท้เขาก็เข้ามาอยู่ในหัวใจนางแล้วในตอนที่ไม่รู้ตัว
“คนดี ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น หลับตาพักผ่อนเถิด ข้าจะพาท่านออกไปเอง”
นางตรวจร่างกายเขาอย่างถี่ถ้วน ส่วนบนไม่ค่อยเป็นอะไร นอกจากแผลถลอกที่อยู่บนแขนก็ไม่มีปัญหาอย่างอื่นแล้ว แต่เมื่อเห็นขาของเขา นางก็ไม่สบายใจไปครู่หนึ่ง
ขาขวาของเขาหัก ซึ่งใช้แค่กิ่งไม้ดามไว้เป็นเฝือกอย่างง่ายๆ แล้วบนนั้นก็มัดด้วยผ้าที่ฉีกมาจากเสื้อเขา
นางแก้มัดผ้าอย่างระมัดระวัง และแกะกิ่งไม้ทิ้ง เผยให้เห็นขาแดงบวมเป่ง มันอักเสบแล้ว กระดูกส่วนที่หักท่อนนั้นก็นูนปูดออกมา ทั้งยังมีรอยฟกช้ำที่ผิดปกติด้วย
นางใช้มือลูบอย่างระมัดระวังยิ่งพลางสังเกตท่าทางของเขา ก็ไม่พบว่าเขาจะมีท่าทางเจ็บปวด ดวงตาเปล่งประกายคู่นั้นเอาแต่จ้องนางพร้อมส่งยิ้มให้
ความจริงแล้ว ในสายตาของท่านอ๋องในเวลานี้มีแต่นาง กระทั่งลืมแม้ความเจ็บปวดที่ขา
เฉียวเยี่ยนควานหายาใช้ภายนอกออกมาจากกระเป๋าสะพาย ใช้ไอโอดีนมาฆ่าเชื้อที่ขาเขาก่อน แล้วก็โรยยาอวิ๋นหนานไป๋* แล้วใช้ท่อนไม้ใหม่มาดามไว้ก่อนมัดด้วยเชือกอีกที
(*云南白药 ยาอวิ๋นหนานไป๋ เป็นยาที่มีสรรพคุณช่วยสมานแผล ห้ามเลือด ฆ่าเชื้อ แก้ปวด)
เพราะอยู่ในหลุมมานาน ร่างกายของมู่ฉินเจินจึงแข็งทื่อ ทั้งตัวเย็นเฉียบราวน้ำแข็ง เฉียวเยี่ยนจึงแกล้งทำเป็นยื่นมือเข้าไปในกระเป๋า ปกปิดความจริงที่นางซื้อของกับระบบตัวน้อย ใช้คะแนนซื้อผ้าห่มมาผืนหนึ่ง แล้วค่อยดึงออกมาจากกระเป๋า
มู่ฉินเจินมองนางอยู่ตลอด จึงเห็นความผิดปกติในนั้น แต่เขาไม่ได้พูดอะไร เอาแต่มองนางอย่างเงียบๆ
เฉียวเยี่ยนพยุงเขาลุกขึ้นมา ใช้ผ้าห่มคลุมห่อตัวเขาไว้ แล้วก็แบกเขาไว้บนหลัง นางใช้เชือกมัดสองคนไว้ด้วยกัน จากนั้นก็ดึงเชือกปีนขึ้นไป
นางมีพละกำลังมาก แบกมู่ฉินเจินได้สบาย ทว่าผนังหลุมลื่นเกินไป การปีนขึ้นไปจึงต้องใช้กำลังมาก
มู่ฉินเจินรับรู้ถึงความพยายามอย่างสุดแรงทั้งหมดของสตรีที่อยู่เบื้องล่าง ในใจก็รู้สึกสงสารอย่างยิ่งยวด และเจ็บใจที่ตัวเองไร้ความสามารถในเวลานี้
เฉียวเยี่ยนปีนไต่ขึ้นไปทีละก้าวๆ เท้าก็ลื่นไม่หยุด กระทั่งปีนออกมาจากหลุมได้ในที่สุด ก็เป็นเวลาครึ่งชั่วยามต่อมาแล้ว
นางนอนหอบเหนื่อยอยู่บนพื้น โดยที่เชือกยังมัดตัวนางกับมู่ฉินเจินไว้ด้วยกัน หลังของนางจึงแนบชิดไปกับแผ่นอกเขา จึงรู้สึกได้ถึงอกที่กระเพื่อมขึ้นลงของเขา
มู่ฉินเจินยกมือขึ้นลูบใบหน้านาง เพื่อเช็ดเหงื่อออกจากใบหน้าให้
“ยังไหวไหม?”
เขาถามออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง
เฉียวเยี่ยนปรับการหายใจให้เป็นปกติ ก่อนยื่นมือแก้ปมเชือกที่มัดพวกเขาไว้ออก แล้วลุกขึ้นมานั่ง
“ข้าไม่เป็นไร ต่อให้มีคนน้ำหนักเท่าท่านอีกสองคนมาข้าก็แบกไปได้”
นางเอ่ยรัวเร็วแผ่วเบาด้วยน้ำเสียงหยอกล้อกับมู่ฉินเจิน เพื่อไม่อยากให้เขาตำหนิตัวเองจนเกินไป
ความรู้สึกที่เก็บไว้มาหลายวัน ถูกปลดปล่อยออกมาทันทีที่พบเขา และยามนี้เหลือเพียงแค่ความสุขเท่านั้น
มีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว มีชีวิตอยู่ย่อมมีความหวัง!
แต่มู่ฉินเจินกลับไม่ลดการตำหนิตัวเองลงเลย กลับกันเขายิ่งสงสารนางอย่างสุดใจ นางที่เป็นสตรีคนหนึ่งออกตามหาเขาในภูเขาลึกค่ำมืดคนเดียว ต้องมีความกล้าหาญมากแค่ไหนกัน
เฉียวเยี่ยนพักอยู่ครู่หนึ่งก็มีกำลังวังชาขึ้นมาอีกครั้ง จึงลุกขึ้นแบกมู่ฉินเจินลงเขา มู่ฉินเจินทำท่าจะเดินไปเอง แต่ถูกเฉียวเยี่ยนถลึงตาอย่างดุดันใส่ จึงได้แต่เอนซบอยู่บนหลังภรรยาอย่างเชื่อฟัง
ไฟฉายที่คาดอยู่บนหัวเฉียวเยี่ยนสว่างมาก ทำให้เส้นทางตรงหน้าสว่างแจ้ง จึงลงเขามาได้อย่างราบรื่น นอกจากไก่ป่ากับกระต่ายป่าสองสามตัวแล้ว ก้ไม่เจอสัตว์ป่าอื่นอีก
มู่ฉินเจินตกใจกับของที่ส่งแสงดุจกลางวันแสกๆ นี้ จึงอดใช้มือสัมผัสมันไม่ได้ ตอนนี้เขาสงสัยแล้วว่าเจ้าท่อนไม้เป็นเทพยดาจำแลงหรือไม่ ไม่เช่นนั้นจะมีของวิเศษหายากมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร
เฉียวเยี่ยนรู้สึกได้ว่าเขากำลังลูบไฟฉายคาดหัวอยู่ จึงรู้ว่าเขาสงสัยแล้ว หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งนางถึงเอ่ยขึ้น “สิ่งนี้เรียกว่าไฟฉายคาดหัว นำมาใช้ส่องให้สว่าง แต่ที่มาของมันนั้น ตอนนี้ข้าก็ยังอธิบายไม่ได้”
จะให้นางพูดอย่างไร ให้บอกว่านางเป็นวิญญาณที่มาจากต่างโลก และของพวกนี้นางก็ซื้อมาจากระบบน่ะหรือ?
หากนางบอกเช่นนั้น เขาน่าจะคิดว่านางบ้านะสิ
นางยังไม่พร้อมที่จะเปิดเผยตัวตนอย่างตรงไปตรงมากับเขา ที่นางกล้านำของพวกนี้มาเปิดเผยต่อหน้าเขา เป็นเพราะหนึ่งสถานการณ์บังคับ สองเชื่อมั่นในตัวเขา
มู่ฉินเจินฟุบลงบนบ่านาง และเอ่ยอย่างหนักแน่น “ข้ารู้ว่าเจ้ามีความลับมากมาย เจ้าไม่บอก ข้าก็จะไม่ถาม ต่อหน้าข้า เจ้าไม่ต้องทำเป็นเสแสร้งก็ได้ แค่เป็นตัวของตัวเองก็พอแล้ว”
เฉียวเยี่ยนได้ยินคำพูดของเขา ก็รู้สึกแค่ว่าหัวใจอบอุ่น นางช่างโชคดีจริงๆ ที่สามารถเจอเขาอยู่ในยุคอดีตนี้
ใกล้จะออกจากเขาแล้ว นางจึงได้ยินคนเรียกชื่อนางมาจากไกลๆ น่าจะเป็นเพราะเห็นว่าดึกเกินไปและนางยังไม่กลับมา เลยออกตามหานาง
นางหาที่ว่างปล่อยมู่ฉินเจินลง และเก็บไฟฉายคาดหัวไว้ จากนั้นก็ตะโกนขานตอบอีกฝ่ายเสียงดัง
เกาจัวหยวนพาคณะค้นหาตัวเฉียวเยี่ยน หามาสองชั่วยามก็ยังหาไม่เจอ เขาแทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว
ท่านอ๋องหายตัวไปและยังหาไม่พบ ตอนนี้หวางเฟยมาหายตัวไปอีก เขาแทบอยากหาหินมาทุบศีรษะตัวเองจริงๆ
ครั้นได้ยินเสียงขานรับของเฉียวเยี่ยน เขาก็ร้องไห้ด้วยความดีใจ และพากลุ่มคนที่ถือคบเพลิงวิ่งไปหานาง
ครั้นหาเจอ เฉียวเยี่ยนกับมู่ฉินเจินกำลังนั่งดื่มน้ำอยู่บนพื้น เกาจัวหยวนกับคนอื่นๆ เห็นพวกเขาก็ร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลราวกับเห็นบุพการีตัวเองก็ไม่ปาน
“ท่านอ๋อง…กระหม่อมคิดว่า…”
เกาจัวหยวนร้องไห้จนพูดไม่ชัดเจน หากไม่ใช่เพราะเฉียวเยี่ยนอยู่ข้างๆ มู่ฉินเจิน ปานนี้เขาคงพุ่งเข้าไปกอดแล้ว
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
คนเราจะได้เห็นตัวตนของกันและกันในยามยากแบบนี้แหละน้า ต่อจากนี้ก็รักกันดีๆ นานๆ นะ
ไหหม่า(海馬)