ตอนที่ 90 ท่านอ๋องผู้ติดภรรยา
ตอนที่ 90 ท่านอ๋องผู้ติดภรรยา
มู่ฉินเจินยังต้องรักษาขาข้างที่บาดเจ็บอีกสักระยะหนึ่ง ฮ่องเต้จึงให้เขาหยุดพัก ตอนนี้เขาไม่ต้องไปว่าราชกิจทุกวัน ไม่ต้องไปค่ายทหาร และอยู่เป็นเพื่อนเฉียวเยี่ยนในตำหนักทั้งวัน
เขาเหมือนผู้ติดตามคนหนึ่ง เฉียวเยี่ยนไปที่ไหน เขาก็ไปที่นั่น ไม่ปล่อยโอกาสในการเชื่อมสัมพันธ์กับนางไปแม้แต่วินาทีเดียว ความสัมพันธ์ของสองสามีภรรยาพุ่งทะยานสูงขึ้นเรื่อยๆ
เฉียวเยี่ยนไปกำจัดวัชพืชในแปลงผัก เขาก็ยืนตากแดดอยู่ในแปลง เฉียวเยี่ยนไปเก็บผักในเรือนกระจก เขาก็เดินกระเผลกถือตะกร้าให้นาง เฉียวเยี่ยนไปตรวจดูกิจการที่ภัตตาคาร เขาก็ค้ำไม้ค้ำเข้าออกไปพร้อมนาง กล่าวคือระดับการติดคนรุนแรงกว่าเจ้าหมาดำของเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์อีก
แน่นอนว่าเขาถูกเฉียวเยี่ยนบ่นทุกครั้งที่ทำเช่นนี้ แม้กลับไปจะต้องรับประทานยาเพิ่ม รับประทานน้ำแกงบำรุงต่างๆ อย่างมิได้ขาด แต่เขาก็เจ็บปวดระคนมีความสุข เขาชอบตามเฉียวเยี่ยนอยู่ข้างๆ มองท่าทางจริงจังในการทำงานของนาง ชอบท่าทางที่นางกลอกตาใส่และพร่ำบ่นเขา
ตอนนี้คนทั่วทั้งตำหนักอ๋องต่างพบว่าท่านอ๋องยิ่งติดพระชายามากกว่าแต่ก่อนเสียอีก เอาแต่กล่าวฮูหยินอย่างนั้นฮูหยินอย่างนี้ทั้งวัน จนพวกเขาที่พบเห็นอยากตบเรียกสติเขาสักป๊าบหนึ่ง!
พี่ชาย อย่างไรเสียท่านก็เป็นท่านอ๋อง แถมยังเป็นเทพแห่งสงครามในตำนาน ได้โปรดทำตัวให้เหมือนสักหน่อยไม่ได้หรือ? ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป คนทั่วทั้งเมืองหลวงคงได้รู้แน่ว่าท่านอ๋องของพวกเขาเป็นคนติดเมีย!
แต่ก็นะ พวกเขาก็นับถือหวางเฟยเช่นกัน เมื่อก่อนท่านอ๋องมีชีวิตชีวาแบบนี้ที่ไหนกัน ดูตอนนี้สิถูกฝึกจนเชื่องเหมือนลูกแมวอย่างไรอย่างนั้น
เฉียวเยี่ยนเองก็หมดปัญญากับท่านอ๋องผู้ติดคนเช่นกัน วินาทีก่อนเพิ่งกดให้เขาอยู่บนเตียง ให้เขาพักผ่อนดีๆ อีกวินาทีต่อมาเขาก็ตามตัวเองออกจากตำหนักแล้ว คล้ายกับลูกทั้งสองของนาง จนบางครั้งนางก็สงสัยว่าตัวเองเลี้ยงเด็กสามคนอยู่ใช่หรือไม่
ใกล้จะเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงแล้ว เฉียวเยี่ยนจึงพาคนทั้งตำหนักใส่ปุ๋ยให้ผักทั้งหมดอีกครั้งก่อนเก็บเกี่ยว เพื่อให้ผักมีปริมาณมากขึ้น
ต้นพริกในหมู่บ้านจิ่วหลีพัวกับหมู่บ้านม่ายเซียงสามารถทยอยเก็บเกี่ยวได้แล้ว นางจึงให้คนกลุ่มหนึ่งจากป่าดอกท้อมารับผิดชอบขนส่งพริกเข้าเมืองหลวง ยามนี้ทั้งหลังคา ทุกพื้นที่ว่างทั้งหมดในตำหนักอ๋องซู่ล้วนมีพริกแดงตากเต็มไปหมด
……
วันที่สิบสองเดือนแปด เกาจัวหยวนตรวจสอบมาแล้วสิบกว่าวัน ในที่สุดก็สืบรู้มือสังหารที่ทำร้ายมู่ฉินเจินได้ ซึ่งก็คือองค์ชายใหญ่มู่ถิงเฉิง
เขาส่งคนไปลอบทำลายรากฐานเขื่อน ในตอนที่มู่ฉินเจินพาคนไปตรวจสอบ เขื่อนก็รับน้ำหนักของคนไม่ไหวจึงพังทลายลงมา เพื่อให้ดูเหมือนว่าเป็นอุบัติเหตุตกน้ำ
ครั้นมู่ฉินเจินรู้ผล เขาก็ไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย หลังจากเกิดเรื่อง เขาได้คาดเดาเอาไว้แล้ว ถึงอย่างไรคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเขาก็มีเพียงไม่กี่คน แค่ครุ่นคิดเล็กน้อยก็นึกออกแล้ว
แต่เขากลับคิดว่าเรื่องนี้มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น มู่ถิงเฉิงมีความทะเยอทะยานแต่โง่เขลา แม้จะวางแผนให้เขาตกน้ำได้ แต่ไม่มีทางทำเรื่องเรียบร้อยราบรื่นไร้อุปสรรครอบด้านจนทำให้เขาสังเกตไม่ได้แม้แต่น้อยหรอก
ดังนั้น เบื้องหลังเขายังมีคนอื่นอีก!
แล้วยังมีชายชุดดำสองสามคนนั้นที่ไล่ฆ่าเขาอีก พวกเขาราวกับหายวับไปจากโลกมนุษย์ก็ไม่ปาน หาเบาะแสใดๆ ไม่เจอเลยแม้แต่น้อย ซึ่งนี่คือสิ่งที่มู่ถิงเฉิงทำไม่ได้แน่นอน
มู่ฉินเจินนำหลักฐานที่รวบรวมได้ถวายแด่ตาเฒ่า ให้พระองค์ตัดสินด้วยตัวเอง แม้เขาจะไม่ชอบมู่ถิงเฉิง แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นพระโอรสอีกองค์ของตาเฒ่า หากเขาทำล้ำเส้นเกินไป ตาเฒ่าคงไม่พ้นรู้สึกไม่ดี
ครั้นฝ่าบาทเห็นหลักฐานก็โกรธกริ้วเดือดแค้น เรียกมู่ถิงเฉิงเข้าวังสั่งสอนอย่างดุดัน และแทบอยากใช้ดาบสับเขา!
ทว่าเขาก็ทำไม่ได้ ว่ากันว่าเสือถึงร้ายก็ไม่กินลูกตัวเอง ถึงแม้ตอนนั้นเขารับสนมมาเพราะการบีบบังคับ ทว่าถึงอย่างไรชายหนุ่มก็เป็นบุตรตัวเอง อะไรที่ให้อีกฝ่ายได้เขาก็ไม่เคยไม่ให้อีกฝ่ายเลย
แม้เขาจะโง่เขลาดุจหมู และไม่ได้รับสืบทอดความฉลาดจากเขา ชอบทำเรื่องโง่ๆ ตักน้ำรดหัวตอ แต่ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ เขาก็จะเมินและปล่อยอีกฝ่ายไป
ทว่าครานี้ไม่คิดเลยว่าเขาจะกล้าทำลายชีวิตบุตรชายอีกคนของตน เรื่องนี้ทำให้เขากริ้วอย่างมาก!
ฮ่องเต้เฒ่าสั่งให้นำตัวมู่ถิงเฉิงเข้าคุกด้วยโทสะ ให้เขาได้รับบทเรียนอยู่ในนั้นก่อน จากนั้นค่อยกักขังอยู่ภายในตำหนักองค์ชาย
เรื่ององค์ชายใหญ่เข้าคุกได้สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเมือง คนที่เคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยทุกด้านแอบเก็บคมดาบเงียบๆ
ในดงไผ่อันเงียบสงัดเช่นเดิม ในมือคุณชายที่ดีดฉินก่อนหน้านี้ถืออาหารปลาป้อนปลาในสระน้ำอยู่ และฟังรายงานของลูกน้อง เขาวาดมุมปากขึ้นอย่างขบคิด
“จัดการคนแล้วหรือยัง?”
เสียงอ่อนโยนแผ่วเบาของเขาดังขึ้น อุณหภูมิโดยรอบคล้ายกับกดต่ำลงไปหลายส่วน
“เรียนนายท่าน จัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่หลงเหลือเบาะแสใดแน่นอนขอรับ”
“ออกไปเถิด”
หลังจากสั่งลูกน้องออกไป เขาก็จ้องมองปลาจิ่นหลี*สีแดงสองสามตัวในสระน้ำ พลันความสนใจก็ฉายวาบในดวงตา
(*ปลาคาร์ฟ)
เฉียวเยี่ยน?
ไม่คิดเลยว่าคราวนี้ฝ่ายเขาจะเพลี่ยงพล้ำอยู่ในกำมือผู้หญิงคนหนึ่ง ดูเหมือนต้องศึกษานางดีๆ หน่อยแล้ว
……
…..
พวกขุนนางที่มาว่าราชกิจสองสามวันมานี้ต่างหวาดกลัวจนใจเต็วรัว ยามพูดก็ระมัดระวัง ด้วยกลัวว่าจะไปล่วงเกินฝ่าบาทเข้า
หลังจากฮองเฮารู้ว่ามู่ถิงเฉิงทำร้ายบุตรชายตัวเอง ก็ไปเอาเรื่องกับสนมเสียนเฟยด้วยความโกรธเกรี้ยว
ฮองเฮาเหนียงเหนียงผู้สง่างามเลิศล้ำยามปกติ ในเวลานี้ด่าสาปถึงบรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตรอยู่หน้าประตูตำหนักพระสนมเสี่ยนเฟย หากไม่ใช่เพราะบรรดาแม่นมและนางข้าหลวงดึงเอาไว้ เกรงว่าพระนางคงถลกแขนฉลองพระองค์เข้าไปทะเลาะกับพระสนมเสียนเฟยแล้ว
ฮองเฮาเหนียงเหนียงที่ด่าทอตลอดทั้งวันยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห จึงทำสงครามเย็นกับฝ่าบาท แบกสัมภาระออกจากพระราชวัง รีบไปหาลูกชายลูกสะใภ้ที่ตำหนักอ๋องซู่
เฉียวเยี่ยนได้ยินว่าสองเฒ่าทะเลาะกันก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จึงได้แต่จัดเตรียมทุกอย่างให้ฮองเฮาไปก่อน แล้วค่อยส่งคนไปรายงานแต่ฮ่องเต้ว่าฮองเฮาสบายดี
ฮองเฮาพักอยู่ในตำหนักอ๋องซู่ไม่ยอมกลับไป เอาแต่รอพระนัดดาทั้งสองเลิกเรียนทุกวัน กอดพระนัดดาที่พบเจอได้ยาก ถ้าไม่หิ้วตะกร้าไปเก็บผัก ก็เรียนทำอาหารกับเฉียวเยี่ยน
พระนางได้อภิเษกสมรสกับฮ่องเต้ตอนที่อายุได้สิบกว่าพรรษาแล้ว เคยเข้าครัวทำอาหารที่ไหนกัน อย่างมากเคยทำแค่ขนมอบ ยามนี้เห็นเฉียวเยี่ยนทำอาหารรสชาติเข้มข้นพวกนั้น ก็รู้สึกว่าน่าสนใจมาก
ฮ่องเต้เฒ่าเฝ้าดูห้องอันว่างเปล่าในพระราชวังมาสองสามคืน และคิดว่าพระมเหสีน่าจะพอบรรเทาโทสะแล้ว จึงแอบออกไปนอกวัง กล่อมฮองเฮาให้กลับไป
เฉียวเยี่ยนมองฮ่องเต้กับฮองเฮาแล้วก็อดอุทานว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาช่างดีจริงๆ ไม่ได้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จะมีสักกี่คนกันที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ชั่วชีวิตหลังจากแต่งเข้าราชวงศ์ ฮองเฮาช่างโชคดีเสียนี่กระไร
แต่กระนั้นนางก็โชคดีมาก ฮองเฮามีฝ่าบาทที่รักอยู่ ส่วนนางก็มีมู่ฉินเจิน เขาปฏิบัติต่อนางดีมาก ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ล้วยห่วงใยมาก ตราบใดที่นางปรากฏตัวออกมา ทั้งใจทั้งสายตาเขาล้วนคือนาง
……
หลังจากจัดการงานใส่ปุ๋ยผักทั้งหมดเรียบร้อย ในที่สุดเฉียวเยี่ยนก็ปลีกเวลาไปจัดการร้านอวิ๋นเหยียนได้ ทุกอย่างซ่อมแซมเสร็จหมดแล้ว กลิ่นอับที่อยู่ด้านในก็เริ่มกระจายหายไปแล้วเช่นกัน
นางตกแต่งร้านอวิ๋นเหยียนในแบบสมัยย้อนยุคใหม่ เครื่องใช้ภายในยังคงเป็นสีไม้ดั้งเดิม และเคลือบเงาอีกชั้นเพื่อให้เห็นพื้นผิวไม้ชัดเจนยิ่งขึ้น
นอกจากเครื่องใช้สีไม้แล้ว ผ้าม่าน ผ้าปูโต๊ะ และผ้าคลุมล้วนทำจากผ้าโปร่งสีขาวหรือผ้าไหมขาวปักลายดอกไม้ เดิมทีเฉียวเยี่ยนจะใช้ผ้าลูกไม้ ทว่าในยุคนี้ไม่มีผ้าลูกไม้ นางจึงทำได้เพียงล้มเลิกไป
บนโต๊ะและขอบหน้าต่างวางกระถางต้นไม้สีเขียว กระถางดอกไม้เลือกเป็นสีเรียบๆ หลังจากเปิดกิจการก็สามารถวางแจกันดอกไม้ได้ และเสียบดอกไม้สดเข้าไป
เมื่อเข้าไปในร้าน สิ่งแรกที่เห็นคือชั้นวางไม้เรียงเป็นแถว ตอนนี้ชั้นวางยังว่างอยู่ ตรงมุมร้านยังตั้งโต๊ะเครื่องแป้งเอาไว้ เพื่อให้ลูกค้าได้ทดลองใช้สินค้า
เฉียวเยี่ยนอยากซื้อกระจกแบบเต็มตัวจากระบบมาวางไว้ในร้าน กระจกที่ใช้ในยุคสมัยนี้ล้วนเป็นกระจกทองเหลือง ซึ่งไม่เพียงแต่มองเห็นไม่ชัด แต่มันยังทำให้ภาพสะท้อนของใบหน้าดูบิดเบือนไปจากเดิม
หลังจากตรวจสอบร้านแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไร ขั้นตอนต่อไปก็คือเตรียมสินค้า ทั้งยังต้องรับสมัครคนงาน และนางตั้งใจจะใช้ผู้หญิงทั้งหมดในการเป็นคนงาน ยกเว้นคนที่มีหน้าที่รักษาความปลอดภัย
ก่อนอื่นจำต้องสอนคนงานหญิงให้เข้าใจการใช้ คุณสมบัติและอื่นๆ ของเครื่องสำอางชนิดต่างๆ เพื่อตอบคำถามลูกค้าเมื่อลูกค้าเข้าร้าน และยังต้องให้พวกเขาเรียนรู้ทักษะการแต่งหน้า เพื่อบริการทดลองแต่งหน้าให้แก่ลูกค้า…
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ไม่มีแล้วค่ะท่านอ๋องซู่ผู้เป็นเทพสงครามเย็นชาไร้หัวใจคนนั้น กลายเป็นอ๋องโบ้ที่ตามติดเมียยิ่งกว่าซาแซงแฟน
อยากเห็นร้านเครื่องสำอางของเฉียวเยี่ยนเลยว่าจะปังขนาดไหน
ไหหม่า(海馬)