ตอนที่ 95 ท่านอ๋องตกใจกลัวสตรีจนวิ่งหนี
ตอนที่ 95 ท่านอ๋องตกใจกลัวสตรีจนวิ่งหนี
หลังจากอาบน้ำให้เด็กๆ เสร็จก็ยังต้องชงนมเป็นอาหารเช้าให้แก่พวกเขา จากนั้นจึงจูงมือพวกเขาไปคารวะฝ่าบาทกับฮองเฮา
ครั้นฮองเฮาเห็นพระโอรสจูงมือพระนัดดาทั้งสองเข้ามาก็รู้สึกผิดแปลก นี่ไม่ใช่พระโอรสนางแต่งพระชายาเข้ามาแต่เป็นแต่งออกไปชัดๆ นี่มันคือการจูงมือลูกกลับมาบ้านแม่ไม่ใช่หรือ
พอถึงเวลา พวกขุนนางข้าราชบริพารก็พาครอบครัวเข้ามาในวัง บางคนอุ้มกระถางพริกของตัวเอง บนนั้นเต็มไปด้วยผลสีแดงสีเขียวดูงดงามยิ่งนัก บ้างก็ให้ขันทีช่วยเหลือ อุ้มฟักทองเหลืองอร่ามขนาดใหญ่ไว้ แล้วก็ยังนำถั่วพุ่มที่เติบโตเป็นพิเศษมาด้วย กล่าวคือผักทุกอย่างล้วนมีหมด
ประโยคแรกที่คนรู้จักเก่าเจอหน้าทักทายกันก็คือ บ้านเจ้านำผักอะไรมา จากนั้นถึงคุยกันด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความคึกคัก
ขุนนางสองสามคนรวมถึงคนในครอบครัวที่ไม่ได้ปลูกผักต่างก้มหน้าเดินอย่างอับอาย สองมือของพวกเขาล้วนว่างเปล่า เข้ากับผู้อื่นไม่ได้เลย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเข้าร่วมสนทนากับพวกเขาด้วย
หากรู้เร็วกว่านี้พวกเขาคงไถที่ปลูกผักแล้ว อย่างน้อยก็สามารถคุยกับคนอื่นได้สักหน่อย ตอนนี้พวกเขาถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวจืดจางแล้ว
วันนี้อี้จื่อจิ้นแต่งตัวแบบใหม่ สวมชุดกระโปรงแบบใหม่ล่าสุดของเมืองหลวง และแต่งหน้าอย่างงดงาม ของที่ใช้ก็ยังเป็นของในร้านอวิ๋นเหยียน
แม้นางจะชังเฉียวเยี่ยน แต่ก็ยังยอมใช้สินค้าจากร้านนาง เพราะหากนางไม่ใช้ก็จะกลายเป็นคนแปลกที่ถูกคนอื่นหัวเราะเยาะ
แม้กระทั่งฮูหยินคุณหนูฐานะต่ำในเมืองหลวงต่างก็ใช้เครื่องสำอางของร้านอวิ๋นเหยี่ยน แต่งหน้าออกมาแล้วไม่เพียงแต่ดูเป็นธรรมชาติ แถมเครื่องสำอางยังไม่หลุดลอกออกมาง่ายด้วย
เพื่อไม่ให้คนหัวเราะเยาะ นางจึงทำได้เพียงกัดฟันไปซื้อของที่ร้านอวิ๋นเหยียน
ใบหน้าอี้จื่อจิ้นเจือรอยยิ้มภาคภูมิใจและสงบเยือกเย็น เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยขณะเดินอยู่ท่ามกลางฝูงชน นางสนุกกับช่วงเวลาที่คนอื่นมองนางด้วยสายตาตกตะลึง นางคือธิดาแห่งสวรรค์ จึงสมควรได้รับการมองจากผู้อื่น
นางในวันนี้มีรูปลักษณ์สูงส่งกว่าทุกคนในครอบครัว และนางก็อยากให้ท่านอ๋องซู่เห็นถึงสิ่งดีๆ ของนาง
ทว่าสถานการณ์ในวันนี้ได้ถูกกำหนดให้สวนทางกับสิ่งที่นางคิดไว้
บรรดาขุนนางกับคนในครอบครัวที่มางานเลี้ยงต่างง่วนอยู่กับการชื่นชมผัก และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการปลูกผัก ครั้นเห็นนางเดินเข้ามา พวกเขาก็เหลือบมองครู่เดียวแล้วเคลื่อนสายตากลับ อีกทั้งยังไม่มีท่าทางใดๆ ต่อนางทั้งสิ้น
สิ่งที่อี้จื่อจิ้นไม่รู้ก็คือนางในเวลานี้ไม่น่าดึงดูดเท่ากับฟักทองขนาดใหญ่สองสามลูกที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นเลย
ฟักทองนี้ดีเหลือเกิน ทั้งลูกใหญ่ทั้งสวย แถมยังอร่อยด้วย พวกเขาต้องเรียนรู้กลเม็ดเคล็ดลับให้ดีๆ แล้ว เพื่อที่ปีหน้าจะได้ปลูกฟักทองให้ออกมาผลใหญ่เช่นนี้
รอยยิ้มบนใบหน้าอี้จื่อจิ้นแข็งค้าง สีหน้าพลันน่าเกลียดกว่ากินอาจม นางพยายามเดินผ่านหน้าคุณชายสูงศักดิ์เหล่านั้นอย่างไม่ยอมแพ้ แต่ชายที่ปกติจะไม่ละสายตายามเห็นนางในวันนี้กลับไม่หันมามองนางเลย
นางกำมือด้วยความโมโห และขบกรามแน่น คนพวกนี้บ้าไปแล้วจริงๆ ไม่คิดเลยว่าจะไม่มองคนงามอย่างนาง แต่กลับมองผัก?
หึ! น่าขันนัก!
นางแสร้งทำเป็นชื่นชมผักและยืนอยู่ข้างๆ คุณชายสูงศักดิ์สองสามคน แอบฟังบทสนทนาของพวกเขา แต่ไม่ฟังยังจะดีเสียกว่า เพราะพอฟังแล้วก็ยิ่งโมโห!
“ซู่หวางเฟยช่างเป็นคนที่แปลกจริง เมื่อครู่ข้าไปเที่ยวชมเรือนกระจกมา มันน่าตกใจจริงๆ…”
“ใครบอกว่าไม่ใช่ล่ะ เห็นแตงนั่นหรือยัง ซู่หวางเฟยเป็นคนปลูกเอง ซึ่งอาจจะหนักร้อยกว่าชั่งก็ได้!”
ผักที่เฉียวเยี่ยนนำมาประลองในงานประลองผักครั้งนี้คือแตงฤดูหนาวขนาดใหญ่ลูกหนึ่งซึ่งปลูกอยู่ในเรือนกระจกหมู่บ้านลวี่หลัว หนักหนึ่งร้อยสามสิบกว่าชั่ง ยาวประมาณหนึ่งหมี่สองกงเฟิน และต้องใช้คนสองคนแบกถึงจะเคลื่อนที่ไปได้
ทุกคนต่างตกใจกับแตงฤดูหนาวผลนี้ แต่หากอยู่ในยุคปัจจุบันแล้วก็นับว่าไม่ใหญ่อะไรมาก แตงฤดูหนาวในปัจจุบันนี้หนักราวๆ หกสิบถึงสองร้อยชั่ง แต่เทคโนโลยีในยุคโบราณนั้นมีจำกัด เฉียวเยี่ยนสามารถปลูกแตงฤดูหนาวให้หนักได้หนึ่งร้อยกว่าชั่งก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
อี้จื่อจิ้นฟังพวกเขาชมเฉียวเยี่ยนอย่างนั้นอย่างนี้ก็โมโหจนดวงหน้ามืดครึ้ม คนรอบกายต่างแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการปลูกผักจนนางเข้าไปแทรกไม่ได้ ก็ยิ่งรู้สึกหดหู่มาก จึงไปเดินเล่นในอุทยานอวี้ฮวา…อ้อไม่ใช่สิ ตอนนี้เป็นอุทยานผักไปแล้ว
มู่ฉินเจินคร้านจะรับมือกับพวกขุนนางเหล่านั้น จึงเล่นเป็นเพื่อนเด็กๆ อยู่ในอุทยานอวี้ฮวา ลูกๆ วิ่งกระโดดไปมาอยู่เบื้องหน้า โดยมีเขาเดินตามอยู่ด้านหลัง
เด็กน้อยทั้งสองจูงมือกันไปดูปลาอยู่ข้างสระบัว ซึ่งปลาจินหลีสีแดงสดที่เคยอยู่เมื่อก่อนได้เปลี่ยนเป็นปลาที่รับประทานได้ไปหมดแล้ว
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์หมอบอยู่บนราวสะพานมองลงไป เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ยื่นมือไปดึงชายเสื้อนางไว้ ด้วยกลัวว่านางจะตกลงไป
อี้จื่อจิ้นพาชิงเหลียนผู้เป็นสาวใช้เดินเล่นรอบๆ อุทยานอวี้ฮวา นางเดินไปด้วยด่าเฉียวเยี่ยนไปด้วย ยิ่งเป็นคำไม่ดีก็ยิ่งด่า
เมื่อเดินไปถึงบริเวณสระบัว นางก็เห็นมู่ฉินเจินที่ยืนอยู่บนสะพาน ในใจพลันมีความสุขทันใด โอกาสของนางมาถึงแล้ว!
นางจัดแจงตัวเองให้เรียบร้อยครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวเดินไปทางมู่ฉินเจิน ครั้นมู่ฉินเจินเห็นสตรีที่เดินเข้ามา เขาก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที
เขาอุ้มเด็กทั้งสองขึ้น แล้วเอ่ยเสียงเบา “กลับกันเถิด ไม่ดูปลาแล้ว พ่อจะพาพวกเจ้าไปหาแม่กัน”
เด็กน้อยทั้งสองไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่เมื่อได้ยินว่าไปหามารดาก็ดีใจกันมาก และพากันซบหน้าลงบนบ่าบิดาอย่างเชื่อฟัง ให้ผู้เป็นพ่ออุ้มไป
อี้จื่อจิ้นไม่เคยคิดเลยว่าท่านอ๋องซู่จะจากไปเมื่อเห็นนาง แม้แต่โอกาสแสดงความเคารพก็ไม่ให้นาง
นางรีบเร่งฝีเท้า พร้อมตะโกนออกไป “ท่านอ๋อง ช้าก่อน หม่อนฉันมีเรื่องจะคุยกับท่านเพคะ”
เมื่อนางเอ่ยออกมา มู่ฉินเจินก็ยิ่งเร่งฝีเท้ามากขึ้น
เจ้าท่อนไม้เคยทิ้งคำพูดดุเดือดเอาไว้ว่าหากเขาคบชู้กับหญิงอื่น ต่อให้หญิงผู้นั้นจะเริ่มเข้าหาก่อน นางจะเตะเขาออกไปแน่ และจะไม่มีวันให้โอกาสเขาเป็นครั้งที่สอง
ดังนั้นท่านอ๋องผู้ยึดศีลธรรมของบุรุษอย่างมากจึงถือว่าสตรีอื่นที่ไม่ใช่เฉียวเยี่ยนกับฮองเฮาเป็นเหล่าเสือสิงห์กระทิงแรด ต้องรักษาระยะห่างจากพวกนางหนึ่งจั้งขึ้นไป
ครั้นเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์เห็นอี้จื่อจิ้นตามมา ก็เอ่ยอย่างโง่เขลา “ท่านพ่อ มีท่านน้าคนหนึ่งกำลังเรียกท่านเจ้าค่ะ”
เสี่ยวฉวนเอ๋อร์มองทะลุปรุโปร่งได้ดีกว่าน้องสาว จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่ารัก “น้องหญิง นั่นหาใช่ท่านน้าไม่ นางคือแม่มดเฒ่าผู้ชั่วร้ายที่จะมาแย่งท่านพ่อไป”
ครั้นเจ้าปลาอ้วนได้ยินว่าหญิงผู้นั้นจะมาแย่งท่านพ่อนางไป ก็รีบแยกฟันน้ำนมน้อย จ้องอี้จื่อจิ้นอย่างดุร้ายในแบบเด็กๆ ทันที ต้องเป็นแม่มดเฒ่าผู้นี้เป็นแน่ที่ทำให้ท่านพ่อตกใจจนวิ่งหนี!
เด็กน้อยที่คิดว่าตัวเองเข้าใจทุกอย่างก็ตบบ่ามู่ฉินเจินอย่างภูมิใจสุดๆ ก่อนเอ่ยอย่างจริงจัง “ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องกลัว ลูกจะปกป้องท่านเอง!”
เท้ามู่ฉินเจินเกือบจะพันกันสะดุด แต่กระนั้นก็หัวเราะออกมาไม่หยุด จึงแนบชิดเข้าใกล้ใบหน้าอวบอ้วนของเด็กน้อย “ได้สิ พ่อจะรอเจ้ามาปกป้อง”
เพื่อออกห่างจากอี้จื่อจิ้น ท่านอ๋องจึงใช้วิชาตัวเบา ก้าวแค่สองสามครั้งก็สลัดนางทิ้งได้ และตรงไปหาเจ้าท่อนไม้ของเขาที่ห้องเครื่องหลวงทันที
ภายในห้องเครื่องหลวง
เฉียวเยี่ยนกำลังง่วนอยู่กับพวกพ่อครัวจนบรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก นางสวมผ้ากันเปื้อน ง่วนกับการทำอาหารอยู่ที่หน้าเตา
ทันทีที่สามพ่อลูกเข้ามาในห้องเครื่องหลวง เด็กน้อยทั้งสองก็เปิดปากเรียกท่านแม่ทันที
ครั้นได้ยินเสียงเด็กทั้งสอง เฉียวเยี่ยนก็เดินออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่คิดเลยว่ามู่ฉินเจินก็มาด้วย
“ท่านไม่ต้องไปอยู่เป็นเพื่อนเสด็จพ่อรึ?”
มู่ฉินเจินส่ายหน้า “ไม่อยากไป”
เฉียวเยี่ยนเผลอยิ้มออกมา และรู้สึกจนปัญญากับเขา เมื่อเจ้าปลาอ้วนเห็นมารดาก็เริ่มฟ้อง ดวงหน้าอวบอ้วนนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“ท่านแม่ เมื่อครู่ท่านพ่อตกใจกลัวแม่มดเฒ่าผู้ชั่วร้ายจนวิ่งหนีด้วยเจ้าค่ะ!”
เด็กน้อยใช้คำศัพท์ที่มีอยู่อย่างจำกัดอธิบายฉากเมื่อครู่ เช่น แม่มดเฒ่าไล่ตามพวกเขา พ่อพาพวกเขาวิ่งไปอย่างรวดเร็ว และอื่นๆ
เฉียวเยี่ยนได้ยินก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด และยากจะจินตนาการได้ว่าท่าทางตกใจหลบหนีผู้หญิงของท่านอ๋องเป็นเช่นไรจริงๆ
มู่ฉินเจินรู้สึกหงุดหงิดที่ถูกนางหัวเราะใส่ เหล่มองนางพลางคร่ำครวญ “ไม่ใช่เพราะเจ้าบอกว่าผู้ชายต้องรักษาหลักสามเชื่อฟังสี่จรรยาหรอกหรือ ข้าถึงได้ทำเช่นนี้”
เฉียวเยี่ยนรู้สึกว่าท่าทางแง่งอนของบุรุษผู้นี้ดูน่ารักมาก จึงยกมือขึ้นจับมือเขาไว้ และยิ้มจนดวงตาโค้งหยี “เชื่อฟังจังเลยนะ”
มู่ฉินเจินพยักหน้าอย่างรู้สึกแปลกๆ แต่รอยยิ้มตรงมุมปากกลับหุบลงไม่ได้ เขาเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยอย่างแง่งอน ประหนึ่งสหายตัวน้อยขอรางวัล “ข้าเชื่อฟังเช่นนี้ มีของรางวัลหรือไม่?”
เฉียวเยี่ยนขอบท่าทางขี้งอนน่ารักของท่านอ๋องของนางมาก จึงเอ่ยอย่างใจกว้าง “รางวัลคือท่านมาอยู่เป็นเพื่อนข้าในห้องเครื่อง และช่วยข้าชิมอาหารดีหรือไม่?”
ท่านอ๋องพยักหน้า และเดินตามนางเข้าไปในห้องครัวอย่างพึงพอใจ
จู่ๆ เด็กทั้งสองก็รู้สึกอิ่มท้องขึ้นมา เหมือนกับว่ากินของบางอย่างที่มองไม่เห็นเข้าไป หากพวกเขาโตกว่านี้อีกหน่อย ก็จะรู้ว่าไอ้ของที่มองไม่เห็นที่สามารถทำให้อิ่มท้องได้มันเรียกว่าอาหารสุนัข
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
จะวงวารใครก่อนดีคะเนี่ย ระหว่างคุณหนูอี้กับท่านอ๋อง
คุณหนูอี้ทำไมไม่ทำการบ้านมาคะ มางานแบบเป็นม่ายขันหมากเลยเนี่ย
ท่านอ๋องวิ่งหนีคุณหนูอี้ได้ลุกลี้ลุกลนมาก เหมือนกลัวอำนาจมืดจากเมียเลยค่ะ
ไหหม่า(海馬)