ตอนที่ 106 ขอแค่นางมีชีวิตที่ดีก็พอแล้ว
ตอนที่ 106 ขอแค่นางมีชีวิตที่ดีก็พอแล้ว
เฉียวจิ่นผลักประตูเข้าไปในหอพระ เผยให้เห็นสตรีในชุดคลุมสีเทาผู้หนึ่งคุกเข่าบนฟูกอยู่ด้านในกำลังเคาะไม้มู่อี๋อย่างเคร่งครัดขณะหลับตาสวดมนต์
นางรู้ว่าผู้มาเยือนเป็นใคร จึงไม่ได้หันกลับไปมอง หลังจากเฉียวจิ่นทำความเคารพผู้เป็นมารดาเสร็จก็เอ่ยขึ้น “ท่านแม่ วันนี้ข้าเจอน้องหญิงแล้ว”
สิ้นเสียง ซูเนี่ยนหว่านที่เคาะไม้มู่อี๋พลันหยุดชะงัก ในที่สุดก็มีปฏิกิริยาตอบกลับมา นางหันไปมองเฉียวจิ่น น้ำตาคลอเบ้า “นางสบายดีหรือไม่?”
เฉียวจิ่นพยุงนางขึ้นมานั่งลงบนเก้าอี้ พลางตอบด้วยรอยยิ้มบางเบา “นางสบายดี ตอนนี้นางเปลี่ยนเป็นคนเก่งกาจแล้ว ทำมาค้าขายขึ้นไม่น้อย และยังให้กำเนิดลูกน่ารักออกมาสองคน เป็นคู่แฝด คนพี่เป็นเด็กชายชื่อเสี่ยวฉวนเอ๋อร์ ส่วนคนน้องเป็นเด็กหญิงชื่อเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์”
“เด็กน้อยทั้งสองเป็นเด็กดีมาก วันนี้ยังเรียกข้าว่าท่านลุงอยู่เลย ตอนแยกจากกันยังบอกให้ข้าไปเล่นกับพวกเขาได้ด้วย”
เขาเล่าเรื่องราวให้มารดาฟังอย่างละเอียด รวมถึงเรื่องที่เด็กทั้งสองเก็บแมวน้อยตัวหนึ่งได้ด้วย ซูเนี่ยนหว่านฟังจนหลั่งน้ำตาออกมา ทว่านัยน์ตากลับเจือไปด้วยรอยยิ้ม
“นางมีชีวิตที่ดีก็ดีแล้ว”
ขณะที่นางพึมพำอยู่ ก็นึกถึงบุตรสาวที่ถูกบิดาใจร้ายตัดความสัมพันธ์หลังเพิ่งแต่งออกไปได้ไม่นาน ต่อมาได้ยินว่านางถูกเนรเทศไปอยู่ชนบทก็ยิ่งใจร้อนดุจดังไฟเผา ทว่าไม่มีวิธีไหนที่จะช่วยนางได้เลย!
ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า บุตรสาวมีชีวิตที่ดี แถมยังให้กำเนิดเด็กสองคน เมื่อมีลูก อีกครึ่งชีวิตที่เหลือก็จะมีที่พึ่งแล้ว
ครั้นได้ยินบุตรชายบอกว่าหลานทั้งสองน่ารักมาก แววตามืดมนไร้แสงของนางก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาในที่สุด ลูกสาวหน้าตาดีปานนั้น หลานๆ ของนางต้องหน้าตาดีแน่ เสี่ยวเยี่ยนตอนเด็กก็เติบโตมาเหมือนเจ้าก้อนแป้งก้อนหนึ่ง ขาวนวลเรียบเนียน น่ารักน่าเอ็นดู
เฉียวจิ่นเห็นสีหน้าปิติยินดีของมารดาในที่สุด ก็รู้สึกสุขล้นมาจากก้นบึ้งหัวใจ
“ท่านแม่ เสี่ยวเยี่ยนบอกว่านางจะหาเวลาพาเด็กๆ กลับมาเยี่ยมท่านด้วยขอรับ”
ซูเนี่ยนหว่านฟังจบก็ดีใจจนลุกขึ้นมาจาเก้าอี้ และเดินพึมพำ “จริงรึ เยี่ยมไปเลย!”
“เจ้ารีบไปซื้อขนมที่เด็กๆ ชอบกินกลับมาเตรียมเอาไว้ ที่นี่ไม่มีอะไรเลย เด็กทั้งสองมาจะต้องไม่ชอบแน่ๆ อ้อ แล้วก็ซื้อขนมพุทรามาด้วย เมื่อก่อนเสี่ยวเยี่ยนชอบกินเจ้านี่มากที่สุด”
นางพึมพำพลางเดินไปมาไม่หยุด และยังไปค้นหาปิ่นปักผมทองอายุหลายปีในกล่องเครื่องประดับของตัวเองออกมาสองสามอัน แล้วให้เฉียวจิ่นนำไปหลอมที่ร้านเครื่องประดับเพื่อทำเป็นสร้อยข้อมือคู่หนึ่งออกมา ถึงตอนนั้นก็เอามาเป็นของรับขวัญให้แก่เด็กทั้งสอง
แต่หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็นิ่งค้างอย่างฉับพลัน และปฏิเสธความคิดเมื่อครู่ทั้งหมด “ไม่ได้ อย่าให้พวกเขากลับมาเลยดีกว่า หากเสี่ยวเยี่ยนกลับมาจะต้องถูกรังแกแน่”
“เจ้าบอกนางว่าไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้ารู้ว่านางมีชีวิตที่ดีก็พอแล้ว”
เมื่อนึกถึงท่าทางของเฉียวเจิ้นผิงที่มีต่อนางรวมถึงสภาพแวดล้อมในจวนตอนนี้ ต่อให้ในใจจะคิดถึงบุตรสาวเหลือคณาและอยากเจอหน้าหลานทั้งสองอย่างยิ่งยวด นางก็ไม่อยากให้เฉียวเยี่ยนกลับมา กว่าบุตรสาวจะมีชีวิตที่ดีได้มันไม่ง่ายเลย ไยจะต้องกลับมาถูกรังแกด้วย
เฉียวจิ่นมีความคิดเดียวกันกับผู้เป็นแม่ แต่เสี่ยวเยี่ยนบอกว่านางไม่ใช่คนอ่อนแอเหมือนเมื่อก่อนแล้ว พวกเขาไม่ต้องเป็นห่วง
วันที่สิบสามเดือนสิบ เฉียวเยี่ยนหาฝ่ายก่อสร้างไปเริ่มงานที่ลานบ้านร้างแล้ว คนเหล่านี้เคยร่วมงานกับนางมาหลายครั้ง ซึ่งก็คือคนงานที่ช่วยสร้างเรือนกระจกกับซ่อมแซมร้านอวิ๋นเหยียน
เมื่อได้ยินว่าซู่หวางเฟยวางแผนจะซ่อมบ้านอีกครั้ง พวกเขาก็รู้แล้วว่านางเตรียมจะหาเงินครั้งใหญ่
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องหาเงิน พวกเขาก็นับถือซู่หวางเฟยนัก นางเพิ่งกลับมาเมืองหลวงเพียงระยะเวลาสั้นๆ หนึ่งปี ตอนนี้มีกิจการอยู่ในมือมากมาย และอยู่ในตำแหน่งสูงสุดในเมืองหลวงทุกอย่าง และครานี้ต้องมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เป็นแน่
เฉียวเยี่ยนได้บอกกับพวกคนงานเรื่องโครงกระดูกที่อยู่ในห้องแล้ว จึงให้เงินพวกเขามากหน่อย ให้พวกเขาช่วยซื้อโลงศพและนำโครงกระดูกนั้นไปฝัง
เมื่อก่อนนางไม่เชื่อไสยศาสตร์ แต่หลังจากที่ข้ามเวลามา นางก็มีใจหวั่นเกรงต่อการมีอยู่ของภูตผีปีศาจ จากนี้ไปนางยังต้องทำกิจการสร้างโรงงานอยู่ที่นี่ ก็ควรจะจัดการงานศพให้ผู้เป็นเจ้าของสถานที่นี้ดีๆ
พวกคนงานต่างก็เป็นคนกล้าหาญ และไม่คิดว่าเป็นเคราะห์ร้ายอะไร ก่อนจะนำโครงกระดูกไปฝังนอกชานเมืองตามคำสั่งของเฉียวเยี่ยน
คนงานเริ่มทำงานแล้ว เฉียวเยี่ยนจึงส่งพ่อครัวคนหนึ่งจากตำหนักอ๋องรับผิดชอบไปทำอาหารให้แก่พวกเขา ส่วนตัวเองก็แค่ไปดูความคืบหน้าเป็นครั้งคราวเท่านั้น
หลังจากยุ่งไปสองสามวัน และวางแผนเรื่องที่ทำเรียบร้อยแล้ว ในที่สุดนางก็หาเวลาว่างได้ จึงเตรียมไปจวนสกุลเฉียวเยี่ยมเยือนมารดานาง
ตั้งแต่เจอเฉียวจิ่นในวันนั้น ความทรงจำเกี่ยวกับมารดาเจ้าของร่างเดิมก็ถูกปลุกขึ้นมา ในความทรงจำนั้น ซูเนี่ยนหว่านมารดานางเป็นคนอ่อนโยน และดีกับนางมาก
แต่เพราะอ่อนโยนจนเกินไป และไม่ฉลาดเฉียบแหลม จึงปล่อยให้อนุภรรยามาเหยียบศีรษะนางได้ ถึงขั้นกลายเป็นผิงชี* เสมอกับนาง
(* 平妻 ผิงชี อนุภรรยาที่ถูกยกฐานะเสมอกันกับภริยาเอก)
ตอนนั้นมารดานางเป็นสตรีงามที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ตอนที่แต่งงานกับเฉียวเจิ้นผิงแรกๆ ก็รักกันอย่างหวานชื่นช่วงหนึ่ง แต่ความงามย่อมมีวันเสื่อมโทรม หลังจากเฉียวเจิ้นผิงสนใจนางน้อยลงก็รับอนุภรรยางดงามเข้ามา แถมยังยกให้เป็นผิงชี จากนั้นตำแหน่งฐานะของนางในจวนก็ค่อยๆ ลดลง
หลังจากรู้ว่าเฉียวเยี่ยนเตรียมกลับไปเยี่ยมมารดาเช้าวันพรุ่ง มู่ฉินเจินก็ขอลางานกับฮ่องเต้เฒ่าเพื่อไปเป็นเพื่อนนาง
ตกเย็น สองสามีภรรยานอนอยู่บนเตียง เด็กๆ ที่อยู่ด้านข้างหลับไปแล้ว เสียงหายใจเข้าออกสม่ำเสมอดังขึ้น มู่ฉินเจินกอดเฉียวเยี่ยนเข้ามาในอ้อมแขน ให้นางนอนหนุนแขนตัวเองต่างหมอน
เฉียวเยี่ยนซุกอยู่ในอ้อมแขนเขาขณะเล่นเส้นผมที่แผ่สยายของเขา ก่อนจะบอกความคิดของตัวเองกับเขาเสียงเบา
“ข้าอยากให้มารดาข้าหย่าร้าง ไม่รู้ว่าเฉียวเจิ้นผิงจะเห็นด้วยหรือไม่”
นางจำเฉียวเจิ้นผิงชายหลายใจคนนั้นไม่ได้ แต่จำมารดากับพี่ชายได้ จึงคิดว่า แทนที่จะปล่อยให้พวกเขาทนทุกข์อยู่ในจวนต่อไป ไม่สู้ให้มารดานางหย่าร้าง แล้วจากนั้นนางค่อยดูแลพวกเขาเอง
แม้พี่ชายนางจะเป็นทายาทและมีสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติ แต่นางก็ไม่ชอบทรัพย์สินจวนเสนาบดี หากรวมรายรับจากภัตตาคารของนางกับร้านอวิ๋นเหยียน เพียงสองเดือนก็สามารถซื้อจวนของเขาได้แล้ว!
มู่ฉินเจินฟังนางพูดอย่างตั้งใจ และคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องนอกรีตอะไร เจ้าท่อนไม้ของเขาอยากทำอะไรล้วนมีเหตุผลที่ถูกต้อง
เขารู้เรื่องของเฉียวเจิ้นผิงกับซูซื่ออดีตภรรยามาเพียงเล็กน้อย ตอนที่ตรวจสอบเฉียวเยี่ยนก่อนหน้านั้น พวกองครักษ์ก็เคยสืบมาแล้ว
“พรุ่งนี้ข้าจะไปด้วยกันกับเจ้า มีข้าอยู่ เขาไม่กล้าไม่เห็นด้วยแน่นอน”
เสียงของเขาเดิมทีก็ทุ้มต่ำอยู่แล้ว ยามนี้มาพูดเสียงเบาอีก น้ำเสียงจึงมีเสน่ห์เย้ายวนมาก ลมหายใจบางเบาเป่าอยู่ข้างหูเป็นระลอกๆ จนเฉียวเยี่ยนจั๊กจี้สั่นสะท้าน
มู่ฉินเจินลูบใบหูแดงเรื่อของนางอย่างขบขัน “เขินแล้วหรือ?”
เฉียวเยี่ยนเอ่ยอย่างโมโหกลบเกลื่อน “ไม่ใช่สักหน่อย!”
นางซุกหน้าเข้ากับอกเขา และได้กลิ่นหอมสบู่อาบน้ำบนกายเขา จึงทำจมูกฟุดฟิดสูดดมโดยไม่รู้ตัว ดุจสุนัขน้อยที่หาอาหาร
มู่ฉินเจินลูบเรือนผมที่ยุ่งเหยิงนั้น และยิ้มออกมาเงียบๆ ช่างเหมือนเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์จริงๆ เด็กน้อยก็ชอบซุกอยู่ในอ้อมกอดเขา และสูดดมกลิ่นไม่หยุด
ตอนนี้อุปกรณ์อาบน้ำที่เขาใช้ล้วนเป็นเฉียวเยี่ยนเตรียมไว้ให้ ทั้งแชมพู ครีมอาบน้ำ แปรงฟัน ยาสีฟัน รวมทั้งครีมบำรุงผิว กับหน้ากากพอกหน้าล้วนมีหมด
แต่เขาไม่ชอบของที่เหนียวเหนอะหนะพรรค์นั้น หลังจากที่เฉียวเยี่ยนให้เขาลองใช้ครีมบำรุงผิวกับหน้ากากพอกหน้าไปครั้งหนึ่ง เขาก็ไม่เคยแตะมันอีกเลย
เช้าวันรุ่งขึ้น เด็กทั้งสองตื่นเช้ามาก เพราะมารดาบอกว่าวันนี้จะพาพวกเขาไปหาท่านลุง พวกเขาไม่ได้เจอท่านลุงมาหลายวันแล้ว จึงคิดถึงเขามาก
หลังจากตื่นแล้ว เด้กน้อยทั้งสองก็นั่งหาวหวอดอยู่บนเตียงด้วยท่าทางน่ารัก และจ้องมองมารดากับบิดาที่นอนกอดกันอย่างเหม่อลอย
เหตุใดท่านแม่กับท่านพ่อถึงนอนกอดกัน แต่กลับไม่กอดพวกเขาด้วยล่ะ? ลูกอย่างพวกเราไม่หอมหรือ?
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กระดกก้นคลานขึ้นทับบนร่างเฉียวเยี่ยนกับมู่ฉินเจิน อยากจะเบียดหลับอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขา
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เฉียวเยี่ยนจะหาทางให้แม่หย่าด้วยวิธีไหนกันนะ แต่ใดๆ ก็คือพ่อเลวมาก
ไหหม่า(海馬)