ตอนที่ 108 รื้อจวนเสนาบดีทิ้งก็ยังได้
ตอนที่ 108 รื้อจวนเสนาบดีทิ้งก็ยังได้
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์เอียงศีรษะไปซบบนไหล่ผอมแห้งของท่านลุง และกำชับอย่างวางมาดเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อย “ท่านลุง ท่านต้องกินยาอย่างเชื่อฟังนะเจ้าคะ หลังจากกินยาแล้วก็จะหายป่วย”
เด็กน้อยเห็นท่าทางลำบากเมื่อครู่ของท่านลุงก็รู้ว่าเขาป่วย จึงขมวดคิ้วมุ่นด้วยความเป็นห่วง
เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ก็พยักหน้าเห็นด้วย และแตะบ่าท่านลุงอย่างวางมาด “ตั้งใจกินยานะขอรับ จะได้ดีในเร็ววัน”
เฉียวจิ่นฟังเด็กทั้งสองกำชับ ก็พยักหน้ารับอย่างหนักแน่น “ได้ ลุงจะตั้งใจกินยาแน่นอน!”
แม้โรคของเขาจะกินยาแล้วรักษาไม่หาย แต่หากเด็กทั้งสองดีใจเพราะเรื่องนี้ เช่นนั้นเขาจะกินยาทุกวันก็ไม่เป็นไร
พวกเขาคุยกันอยู่สักพักก็เดินเข้าในลานหอพระ เมื่อถึงหน้าประตู ทุกคนก็ได้ยินเคาะของไม้มู่อี๋ เฉียวจิ่นก้าวไปข้างหน้า และผลักประตูเปิดออก
“ท่านแม่ เสี่ยวเยี่ยนกลับมาแล้วขอรับ!”
น้ำเสียงเขาดูตื่นเต้นเล็กน้อย หลังจากซูเนี่ยนหว่านได้ยินคำพูดนี้ นางก็พลันลืมตาขึ้นทันใด ไม้มู่อี๋ที่อยู่ในมือร่วงลง ก่อนหันไปมองทางนอกประตูอย่างลนลาน
เฉียวเยี่ยนยืนอยู่หน้าประตู มุมปากวาดยิ้มบางเบา ประสานสายตากับซูเนี่ยนหว่าน ครั้นสองแม่ลูกสบสายตากัน พลันทั้งสองก็น้ำตาไหลออกมา
“ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
น้ำเสียงเฉียวเยี่ยนสั่นเครือเล็กน้อย นางรีบเดินไปอยู่ข้างกายซูเนี่ยนหว่าน อาจเป็นเพราะความโหยหาที่หลงเหลืออยู่ของร่างเดิม ทำให้วินาทีที่เห็นมารดาแล้วก็ถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
ซูเนี่ยนหว่านสะอื้นไม่ได้ศัพท์ กอดเฉียวเยี่ยนเข้ามาในอ้อมแขนแน่น “กลับมาก็ดีแล้ว! กลับมาก็ดีแล้ว!”
สองแม่ลูกกอดกันร้องไห้อยู่นาน มู่ฉินเจินเห็นดวงตาแดงก่ำของเฉียวเยี่ยนก็รู้สึกปวดใจเล็กน้อย จึงแตะลูกทั้งสองที่อยู่ด้านข้าง ก่อนจะส่งสายตาให้กับพวกเขา
สามพ่อลูกเข้าใจกันโดยปริยาย หลังจากเด็กน้อยทั้งสองเข้าใจความหมายของบิดา ก็ก้าวขาสั้นไปข้างหน้า และกอดขาซูเนี่ยนหว่านไว้คนละข้าง
ก่อนมาที่นี่ท่านแม่เคยสอนพวกเขาแล้ว ว่าวันนี้พวกเขามาเยี่ยมท่านยาย ท่านยายก็คือแม่ของท่านแม่ ดังนั้นตอนนี้ท่านยายผู้งดงามคนนี้ก็คือท่านยายของพวกเขา
เด็กน้อยทั้งสองกอดขาซูเนี่ยนหว่านเอาไว้ และร้องเรียกท่านยายเสียงหวาน ซูเนี่ยนหว่านหลุบตามองเด็กทั้งสองก็ปิติยินดีจนกระทั่งลืมร้องไห้
นางลูบดวงหน้าของเด็กทั้งสอง ทั้งร้องไห้ทั้งยิ้ม “ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ !”
เด็กทั้งสองเติบโตมาได้เป็นอย่างดี เรียกนางว่าท่านยายอย่างปากหวาน จนใจนางหวานแทบจะมีน้ำผึ้งซึมออกมาแล้ว
นางปาดน้ำตา และเอ่ยด้วยน้ำเสียงดูกระตือรือร้นเล็กน้อย “หลานๆ รอยายเดี๋ยว ยายจะไปเอาขนมมาให้พวกเจ้ากิน”
นางพำนักอยู่ในหอพระมานาน ข้ารับใช้ที่คอยปรนนิบัติข้างกายก็ล้วนถูกนางปลดออกไปหมดเพราะไม่อยากให้พวกเขามาทนทุกข์อยู่กับนาง ตอนนี้ทั่วทั้งหอพระจึงมีนางเพียงผู้เดียว จะทำสิ่งใดก็จำต้องทำด้วยตัวเอง
นางเข้าไปภายในห้อง ครู่หนึ่งก็ถือห่อขนมออกมา ของพวกนี้นางให้เฉียวจิ่นไปซื้อมาล่วงหน้า ด้วยกลัวว่าเด็กทั้งสองมาแล้วจะรู้สึกเบื่อและพานไม่ชอบนาง
นางหยิบขนมสองชิ้นสิ่งให้เด็กทั้งสอง เด็กทั้งสองกล่าวขอบคุณอย่างน่ารัก ทำให้นางเห็นแล้วใจอ่อนอย่างมาก เหตุใดถึงได้น่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้นะ
นางมองเด็กทั้งสองกินขนมอย่างพึงพอใจยิ่ง พลันนึกได้ว่ายังมีขนมพุทราอยู่ จึงหยิบมาชิ้นหนึ่งส่งให้เฉียวเยี่ยน “เสี่ยวเยี่ยน รับไปเถอะ นี่คือขนมพุทรา เป็นขนมที่เมื่อก่อนเจ้าชอบกินที่สุด”
เฉียวเยี่ยนรับขนมชิ้นนั้นมา น้ำตาที่กลั้นเอาไว้อย่างยากลำบากก็ไหลลงมาอีกครั้ง สถานการณ์ของท่านลำบากยิ่งอยู่แล้ว กลับยังจำขนมพุทราที่นางชอบกินที่สุดได้ พอรู้ว่านางจะมาก็เตรียมเอาไว้ล่วงหน้า และเป็นไปได้ว่าเงินที่ซื้อขนมพุทราน่าจะเป็นเงินที่ท่านเก็บสะสมไว้นานแล้ว
นางหยิบขนมพุทราเข้าปาก รสชาติของมันหวานล้ำ ทว่าใจนางกลับขมขื่น เพราะหวนคิดไปถึงพ่อแม่ที่โลกเดิม
นางก็มีพ่อแม่ที่รักนางเช่นกัน แต่ตนกลับเกิดอุบัติเหตุพลัดตกจากหน้าผา ซึ่งตอนนี้กระดูกนางก็น่าจะเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว ไม่รู้ว่าหลายปีมานี้พ่อแม่นางจะเป็นเช่นไร
มู่ฉินเจินเห็นนางร้องไห้จนกลายเป็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาให้นาง เมื่อซูเนี่ยนหว่านกับเฉียวจิ่นเห็นภาพนี้ก็ปลื้มใจยิ่ง
ไม่นานความเศร้าโศกเสียใจหลังจากไม่ได้พบกันมานานก็ค่อยๆ หายไป พวกเขานั่งลงคุยกัน สายตาของซูเนี่ยนหว่านจับจ้องอยู่ที่เด็กทั้งสองตลอดเวลา มองพวกเขารับประทานขนมไปก็รู้สึกพอใจมาก
เมื่อเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์จัดการขนมในมือเสร็จ ก็นึกอยากจะยื่นมือออกไปหยิบอีกหนึ่งชิ้น แต่ถูกเฉียวเยี่ยนห้ามเอาไว้
“ห้ามกินอีกนะ วันนี้ิกินมาสามชิ้นแล้ว ไม่กลัวฟันเจ้าถูกแมงแทะรึ”
เจ้าปลาอ้วนหดมือน้อยของตัวเองกลับอย่างอาลัยอาวรณ์ ทว่าสายตาน่าสงสารนั้นกลับยังจ้องอยู่ที่ขนม ซูเนี่ยนหว่านจะทนเห็นเด็กน้อยเสียใจเช่นนี้ได้อย่างไร จึงหยิบให้นางอีกหนึ่งชิ้นทันที
“ไม่เป็นไร ให้หลานรักกินอีกชิ้นหนึ่ง แค่กินอีกนิดหน่อยไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์รับขนมมา แต่ก็ยังขอความเห็นจากมารดา ดวงตากลมโตแวววาวจ้องนาง จ้องจนเฉียวเยี่ยนใจอ่อน
ซูเนี่ยนหว่านมองเฉียวเยี่ยนอย่างเคืองๆ “เด็กยังเล็ก จะคุมเข้มอะไรปานนั้น นางชอบกินก็ให้กินไปสิ”
เฉียนเยี่ยนจนปัญญา จึงต้องอนุญาตเจ้าปลาอ้วน “งั้นกินเถิด แต่แค่ครั้งนี้นะ ครั้งต่อไปทำไม่ได้อีกแล้ว”
เด็กน้อยมีความสุขอย่างมาก และกอดออดอ้อนท่านยายคนใหม่ของนาง หยอกล้อจนซูเนี่ยนหว่านยิ้มแย้ม และเพื่อความยุติธรรม เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ก็ได้ขนมเพิ่มอีกชิ้นหนึ่ง
หลังจากกินขนมเสร็จ เด็กน้อยทั้งสองก็ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนบิดาอย่างเชื่อฟัง และฟังพวกผู้ใหญ่พูดคุยกันอย่างสงบเสงี่ยม
เฉียวเยี่ยนเห็นสภาพแวดล้อมมารดานางในตอนนี้ ก็ยิ่งมั่นใจในความคิดที่อยากให้ท่านหย่าแบบยินยอมพร้อมใจ*
(*การหย่าของจีนโบราณมีสองแบบคือ1. 和离 เป็นการหย่าที่ตกลงกันในเรื่องทรัพย์สิน เป็นการหย่าที่ยินยอมกันทั้งสองฝ่าย และฝ่ายหญิงสามารถแต่งงานใหม่ได้ ซึ่งเป็นการหย่าแบบยุติธรรม 2. 休书 เป็นการหย่าที่ฝ่ายชายเขียนหนังสือฟ้องหย่าฝ่ายหญิง ซึ่งการหย่าแบบนี้ฝ่ายหญิงและลูกจะไม่ได้ทรัพย์สินอะไรเลย และหญิงที่ถูกหย่าจะแต่งงานใหม่ไม่ได้)
“ท่านแม่ ท่านอยากหย่าหรือไม่เจ้าคะ?”
นางถามออกมา มองแววตามารดาอย่างหนักแน่นและจริงจัง ไม่ให้ท่าทางใดๆ ของท่านเล็ดรอดสายตา
ซูเนี่ยนหว่านได้ยินคำถามนี้ก็ประหลาดใจไปครู่หนึ่ง จากนั้นแววตาก็กลับมามืดมนเช่นเดิม
ทำไมนางจะไม่คิดล่ะ นางมีความคิดนี้อยู่นับหลายพันครั้งแล้ว และก็เคยเอ่ยกับเฉียวเจิ้นผิงแล้วด้วย แต่ว่าเขาไม่เห็นด้วย
บุรุษมองว่าการหย่าร้างทำให้สกุลขายหน้า ในเมื่อเขาสนใจชื่อเสียงหน้าตาขนาดนั้น จะเห็นด้วยกับการหย่าได้อย่างไร
อีกอย่างนางรู้สึกไม่คุ้มค่าแทนลูกชายนาง เขาเป็นลูกชายคนโต และเป็นทายาทโดยชอบธรรมของตระกูล หากนางหย่า เขาก็จะไม่ได้อะไรเลย
เฉียวเยี่ยนมองท่าทางของนางก็รับรู้ถึงความกังวลที่อยู่ในใจอีกฝ่าย จึงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านแม่ ขอแค่ท่านคิด ข้าก็มีวิธีพาท่านออกไป ส่วนเรื่องอื่นท่านไม่ต้องกังวลอะไร มีข้ากับท่านอ๋องอยู่ด้วยทั้งคน”
เฉียวจิ่นได้ยินคำพูดน้องสาวก็รู้สึกตกใจ ท่านแม่ได้รับความทุกข์ทรมานอยู่ในจวนมาก หากสามารถออกไปได้ นั่นต้องเป็นเรื่องที่ดีแน่ๆ
“ท่านแม่ ข้าเชื่อเสี่ยวเยี่ยนกับท่านอ๋อง ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้า หากท่านอยากจากไป ก็ไปกับเฉียวเยี่ยนได้เลย”
เขาก็อยากออกไปจากกรงแห่งนี้เช่นกัน แต่ด้วยนิสัยของบิดาแล้วจะต้องไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน หากมารดาสามารถออกจากที่นี่ได้ เขาก็พอใจแล้ว
ซูเนี่ยนหว่านได้ยินคำพูดของพวกเขาก็นิ่งค้างไป น้ำตาบนดวงหน้าก็ไหลลงมาไม่หยุด และปิดปากร้องไห้สะอึกสะอื้น
นางพยักหน้าอย่างหนักแน่น นางอยากออกไปจากที่นี่! แทบอยากจะหนีออกไปจากที่นี่ไม่ไหว!
เฉียวเยี่ยนกุมมือนางไว้อย่างปลอบโยน “ท่านแม่ ท่านวางใจเถิด วันนี้ข้าจะพาท่านกับท่านพี่ออกไปจากที่นี่แน่นอน!”
เฉียวจิ่นได้ยินเช่นนี้ ความอบอุ่นก็ซ่านขึ้นมาในใจ “เสี่ยวเยี่ยน เจ้าไม่ต้องสนใจข้า พาท่านแม่ออกไปจากที่นี่ก็พอแล้ว เขาไม่น่าจะปล่อยข้าให้จากไป”
เฉียวเยี่ยนส่ายหน้า คัดค้านคำพูดเขา “วันนี้ข้ามาเพราะทำการเตรียมพร้อมไว้แล้ว หากเขาเต็มใจปล่อยพวกท่านจากไป ก็เป็นเรื่องที่ดี หากเขาไม่เต็มใจและขัดขืน ข้าก็จะตีรวนจนกว่าเขาจะยินยอมให้ได้!”
ซูเนี่ยนหว่านกับเฉียวเยี่ยนต่างตกตะลึงกับคำพูดรุนแรงของนางที่เหมือนกับเป็นโจรหญิง นี่คือลูกสาว/น้องสาวที่พวกเขารู้จักหรือไม่?
มู่ฉินเจินมองท่าทางทั้งดุดันทั้งแข็งกร้าวของเจ้าท่อนไม้ นัยน์ตาก็แฝงไปด้วยรอยยิ้ม และกุมมือข้างหนึ่งของนางไว้
“รวมถึงเปิ่นหวางด้วยคน”
เฉียวเยี่ยนหันไปมองเขา และยิ้มอย่างรู้เท่าทัน รวมเขาหนึ่งคนกับนางหนึ่งคนแล้ว ต่อให้รื้อจวนเสนาบดีทิ้งก็ยังได้
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ตัวแม่ตัวมัมมาซะอย่าง ต่อให้เป็นจวนเสนาบดีก็ไม่คณามือหรอก
ไหหม่า(海馬)