ตอนที่ 115 โรงงานเฉียวจี้
ตอนที่ 115 โรงงานเฉียวจี้
มู่ฉินเจินขมวดคิ้วขณะมองไปยังบรรดาเด็กเหลือขอที่จ้องมองลูกสาวของเขาด้วยความเคลิบเคลิ้ม ดูเหมือนว่าในอนาคตเขาต้องสอนศิลปะการป้องกันตัวให้ลูกสาวเพื่อป้องกันไม่ให้นางถูกคนอื่นรังแกเสียแล้ว
หากเฉียวเยี่ยนรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ นางคงตบเรียกสติเขาแรงๆ สักสองครั้งเป็นแน่แท้
ลูกสาวท่านนี่แหละที่เป็นหัวโจกในสถานศึกษา ขืนปล่อยให้นางเรียนรู้ศิลปะต่อสู้เพิ่มเติม ก็เกรงว่าไม่มีใครในเมืองหลวงเอาชนะนางได้แล้ว!
เมื่อถึงยามราตรีที่มีดวงดาวส่องประกายระยิบระยับ เจ้าภาพวันเกิดตัวน้อยสองคนก็สวมหมวกวันเกิดและนั่งบนเก้าอี้เพื่อรอเค้กวันเกิดของพวกเขา
เฉียวเยี่ยนและมู่ฉินเจินเดินไปนำเค้กวันเกิดออกมา มันเป็นเค้กสามชั้นที่มีเทียนปักอยู่
ทุกคนต่างถูกดึงดูดด้วยขนมหน้าตาแปลก ๆ และหลังจากวางเค้กลง เฉียวเยี่ยนก็พูดกับลูกทั้งสองว่า “ลูกรัก อธิษฐานกับเค้กนี้ก่อนเป่าเทียนสิ แล้วคำอธิษฐานของพวกเจ้าจะเป็นจริง”
เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ไม่เชื่อเรื่องหลอกเด็กอย่างการขอพรสักนิด แต่ก็อดไม่ได้ที่จะชอบเค้กวันเกิดสวยๆ ส่วนเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ที่ได้ยินว่าคำอธิษฐานจะเป็นจริงก็อดใจรอไม่ไหวที่จะพูด ประสานมือกันและเอ่ยอย่างกระตือรือร้น “ลูกอยากได้ของกินเยอะๆ กินเท่าใดก็ไม่มีวันหมด”
ผู้ใหญ่ทุกคนต่างรู้สึกขบขันกับความปรารถนาของเด็กน้อย เฉียวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะตบศีรษะเล็กของนางเบาๆ และดุด้วยรอยยิ้ม “ปากน้อยๆ ของเจ้าช่างตะกละตะกลามเสียจริง”
หลังจากที่เด็กทั้งสองลงมือเป่าเทียนแล้ว เฉียวเยี่ยนก็หยิบมีดมาหั่นแบ่งเค้กให้ทุกคน
ในยุคปัจจุบัน เมื่อใดก็ตามที่มีคนฉลองวันเกิด การเล่นป้ายครีมกันก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เฉียวเยี่ยนไม่ชอบเกมแบบนั้น ไม่ต้องพูดถึงเนื้อตัวที่เหนียวหนึบหนับเลย มันยังเสียของอีกด้วย ดังนั้นควรซื้อเค้กในขนาดที่พอดีคนแล้วแบ่งแจกจ่ายกันให้ครบทุกคนดีกว่า
ในตำหนักมีคนรับใช้อยู่ไม่น้อย เฉียวเยี่ยนจึงอบเค้กสามชั้นเป็นพิเศษ เพื่อแบ่งให้พวกเขาได้กินบ้าง
ไม่มีใครยอมทิ้งเค้กอันหวานอร่อยนี้ ทุกคนจึงกินกันเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่ครีม เฉียวเยี่ยนรู้ว่ามู่ฉินเจินไม่ชอบครีมที่เหนียวเหนอะหนะ จึงตักครีมออกจากเค้ก เหลือไว้เพียงเนื้อเค้กไข่ให้เขาเท่านั้น
หลังจากกินเค้กเพียงพอแล้วก็กินผลไม้หรือมันฝรั่งทอดเพื่อคลายความเบื่อ ฮ่องเต้กับมู่ฉินเจินดื่มสุราด้วยกัน ส่วนฮองเฮาที่กำลังแช่มชื่นรินสุราผลไม้ดื่มกับซูเนี่ยนหว่าน แต่เฉียวเยี่ยนที่เป็นคนรินสุรากับเฉียวจิ่นชายร่างกายอ่อนแอล้วนไม่มีสิทธิ์ดื่ม ได้แต่มองคนอื่นดื่มและอาศัยการดมกลิ่นเอาเท่านั้น
เฉียวเยี่ยนยื่นจมูกของนางไปใกล้กับจอกสุราของมู่ฉินเจิน หลังดมดูแล้วก็รู้สึกมึนเมา ทำให้คนอื่นต่างพากันขบขัน
มู่ฉินเจินเห็นว่านางอยากลองชิม จึงใช้ตะเกียบจิ้มแล้วป้อนเข้าปากนางเพื่อสนองความอยาก
แม้เฉียวเยี่ยนจะกระดากอายเล็กน้อยและรู้สึกว่าการกระทำนี้เหมือนตอนที่กล่อมเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ แต่นางก็ยังรับตะเกียบนั้นเข้ามาในปาก
เมื่อเห็นว่าพระโอรสกับพระสุณิสาเข้ากันได้ดี ฮ่องเต้กับฮองเฮาก็แย้มสรวลจนพระเนตรหยีลง ซูเนี่ยนหว่านเองก็มีความสุขมากเช่นกัน แต่ก็ยังดึงชายผ้าของลูกสาวของนางและแสร้งทำเป็นดุนางอย่างจริงจัง ขณะที่รอยยิ้มในดวงตาไม่ได้ลดลง “พอแล้ว ให้ตายเถิด เจ้านี่ทำตัวเป็นเด็กๆ ไปได้”
เฉียวเยี่ยนแลบลิ้นและตอบสนองอย่างเชื่อฟัง แต่ยังคงอยู่ด้วยกันกับมู่ฉินเจิน ป้อนมันทอดให้เขาพักหนึ่ง ก่อนอ้าปากให้เขาใช้ตะเกียบจุ่มสุราให้นางชิม
เด็กๆ ต่างอิ่มหนำกับอาหารและเครื่องดื่ม แล้วเล่นวิ่งไล่จับกันไปรอบๆ ลานบ้าน แม้แต่เจ้าดำกับเจ้าส้มก็ยังวิ่งออกไปร่วมสนุกด้วย และตามคุ้มกันเด็กทั้งสอง
งานเลี้ยงวันเกิดสิ้นสุดลงเมื่อยามฉู่ เหล่าสหายของเด็กสองคนต่างออกไปอย่างไม่เต็มใจ ตอนนี้ดึกมากแล้ว เฉียวเยี่ยนจึงส่งผู้อารักขาสองสามคนไปส่งพวกเขาทั้งหมดที่จวน เพื่อที่นางจะได้วางใจ
……
ไม่กี่วันหลังจากงานเลี้ยงวันเกิดก็เข้าสู่เดือนสิบเอ็ด ในเมืองหลวงนั้นหนาวมากแล้ว ท้องฟ้าก็เริ่มมีหิมะตก ซึ่งโรงงานแปรรูปอาหารของเฉียวเยี่ยนก็ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์พอดี
ทันทีที่มีหิมะตก งานที่เรือนกระจกก็จะเพิ่มขึ้น เหล่าคนงานต้องคอยตรวจตราในเวลากลางคืนเพื่อกำจัดหิมะที่สะสมบนหลังคาให้ทันเวลา ป้องกันไม่ให้เรือนกระจกพังทลาย
ไก่ในป่าท้อของหมู่บ้านจิ่วหลีพัวถูกต้อนมาอาศัยในคอกไก่แล้ว เฉียวเยี่ยนสั่งให้คนงานเพิ่มการก่อสร้างคอกไก่ตั้งแต่ก่อนฤดูหนาว และมักจะไปที่ภูเขาเพื่อตัดหญ้ามาตากให้แห้งเพื่อใช้อุ่นเล้าไก่ในภายหลัง
ลูกเจี๊ยบที่เพิ่งฟักบางตัวได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ไม่เพียงแต่พวกมันสามารถอาศัยอยู่ในเล้าไก่ที่ล้อมรอบด้วยม่านผ้าเท่านั้น แต่พวกมันยังได้กกไฟจากเตาถ่านอีกด้วย
เนื่องจากหิมะตกหนักจนพื้นดินปกคลุมไปด้วยหิมะหนา พวกไก่ไม่สามารถลงไปคุ้ยเขี่ยอาหารได้ พวกมันจึงเจริญเติบโตช้าลง
ในช่วงกลางเดือนสิบเอ็ด โรงงานการแปรรูปอาหารก็สร้างเสร็จสมบูรณ์ เฉียวเยี่ยนจึงให้ใครบางคนทำแผ่นป้ายขนาดใหญ่แขวนไว้ที่ประตู
“เฉียวจี้” นางตั้งชื่อโรงงานอย่างง่ายๆ ว่า เฉียวจี้
หลังติดตั้งเครื่องมือเครื่องใช้ในโรงงานพร้อมแล้วก็ถึงเวลารับสมัครคนงาน ครั้งนี้นางรับทหารผ่านศึกบางคนจากค่ายทหารและขอให้พวกเขารับผิดชอบงานรักษาความปลอดภัยและงานที่ใช้กำลังบางส่วน
แต่การทำของหมักดองและผักดองเผ็ดต้องใช้คนงานหญิงที่ได้ทำอาหารบ่อยๆ เมื่อพวกนางได้ทำอาหารบ่อยๆ ก็จะมีความเข้าใจทั่วไปเกี่ยวกับปริมาณของเครื่องปรุงรสต่าง ๆ เป็นอย่างดี
เฉียวเยี่ยนวางแผนรับสมัครคนงานผ่านการสัมภาษณ์ ก่อนเริ่มการรับสมัคร นางได้เขียนประกาศและขอให้คนรับใช้ในตำหนักแปะไว้ทั่วเมือง
สิ่งที่นางเขียนคือประกาศรับสมัครซึ่งระบุตำแหน่ง เงื่อนไขการรับสมัคร เงินเดือน สวัสดิการ ตลอดจนเวลาและสถานที่สัมภาษณ์
ทันทีที่มีการติดประกาศ ผู้คนทั่วไปในเมืองต่างก็พากันประหลาดใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นการรับสมัครงานแบบนี้ แถมยังมีสวัสดิการดีมาก มีทั้งอาหารและที่พัก หยุดงานสองวันต่อเดือน และจ่ายเงินสองตำลึงต่อเดือน
พวกเขาเห็นแล้วต่างรู้สึกกระตือรือร้น แต่เมื่อเห็นเงื่อนไขเบื้องล่างก็ต้องชะงักไปครู่หนึ่ง
มันระบุไว้ว่าต้องการคนงานหญิงอายุระหว่างสิบแปดถึงสามสิบปี ทำอาหารได้ ปลอดโรค สะอาด ถูกสุขลักษณะ…
ชาวบ้านที่มีคุณสมบัติไม่ตรงตามเงื่อนไขต่างรู้สึกเศร้าใจและคร่ำครวญว่าพวกเขาช่างเกิดในเวลาที่ไม่เหมาะสม ในขณะที่ผู้มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดรั้งตัวเด็กหนุ่มที่ติดประกาศไว้เพื่อถามข้อมูลเพิ่มเติม
หลายคนยังคงมีข้อกังขา เพราะวิธีการรับสมัครงานแบบนี้ดูแปลกใหม่เกินไป กลัวว่าจะถูกโกง จึงตั้งหน้าตั้งตารอดูกันต่อไป
หลังจากแจกประกาศในเมืองแล้ว เฉียวเยี่ยนก็เลือกคนสองสามคนที่ทำงานได้แคล่วคล่องและความคิดอ่านว่องไวจากเรือนกระจกและร้านอาหารมาประจำอยู่ที่โรงงาน
ตู้เยว่หงก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน หลังหย่าขาดจากสามีชั่วช้าได้ นางก็ได้เกิดใหม่อย่างสมบูรณ์ นางทำงานได้ดีมากในเรือนกระจก ทั้งทำงานได้คล่องแคล่ว และมีความคิดที่ยืดหยุ่น หลายสิ่งหลายอย่างอาจใช้เวลานานสำหรับคนอื่นในการเรียนรู้ แต่นางกลับทำได้อย่างชำนาญในทันทีที่ได้เรียนรู้
ตอนนี้นอกจากทำงานทุกวันแล้ว นางยังอยู่ดูแลเสี่ยวยาลูกสาวของนาง เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีที่เสี่ยวยาได้กินอิ่ม นอนหลับสบาย น้ำหนักจึงเพิ่มขึ้นมาก และเติบโตเป็นเด็กปกติ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ซูบผอมและขาดสารอาหาร
นางเป็นคนมัธยัสถ์มาก อาหารและที่พักล้วนเป็นเฉียวเยี่ยนจัดหาให้ นอกจากค่าใช้จ่ายปกติแล้ว นางยังเก็บออมเงินเดือนไว้ทุกเดือน เมื่อเก็บเงินได้เพียงพอแล้วก็คิดจะซื้อบ้านเล็กๆ ในเมือง
นางไม่ขออะไรมาก ขอแค่บ้านพร้อมลานบ้านหนึ่งหลัง ขอแค่นางกับลูกสาวมีบ้าน
ถึงวันที่สิบแปดเดือนสิบเอ็ด โรงงานของเฉียวเยี่ยนก็เริ่มรับสมัครคนงาน นางสั่งให้คนจัดโต๊ะและเก้าอี้สองสามตัวตรงทางเข้าของโรงงานเพื่อใช้เป็นโต๊ะสัมภาษณ์ และนางเองก็เป็นประธานในการสัมภาษณ์
การสัมภาษณ์ถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย ก่อนสัมภาษณ์ จะต้องทำการตรวจร่างกาย งานนี้คืออุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร นางต้องดูแลให้พนักงานมีสุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคติดเชื้อ มิฉะนั้นจะเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงยากที่จะประเมินได้
สำหรับการตรวจร่างกาย เฉียวเยี่ยนได้ทูลขอฮองเฮาให้เชิญหมอหญิงบางคนออกจากพระราชวังเป็นการพิเศษ หมอพื้นบ้านส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย และมีหมอหญิงน้อยมาก นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเสนอความคิดนี้ไปที่วัง
โชคดีที่ฮองเฮาสนับสนุนอาชีพการงานของนางเป็นอย่างมาก และมอบหมายให้หมอหญิงห้าคนมาเฝ้านางโดยไม่ตรัสอะไร
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
นอกจากปลูกผักแล้วยังเป็นเจ้าของโรงงานแปรรูปสินค้าอีก มันปังสุดๆ ไปเลยเสี่ยวเยี่ยน
ไหหม่า(海馬)