ตอนที่ 121 กอดทั้งชีวิตก็ไม่พอ
ตอนที่ 121 กอดทั้งชีวิตก็ไม่พอ
วันที่เก้าเดือนสาม เฉียวเยี่ยนเดินทางเข้าวังเพื่อเตรียมการไถพรวนในฤดูใบไม้ผลิโดยที่เรือนกระจกในวังได้ผลิตต้นกล้าสำหรับฤดูนี้ไว้แล้ว
อาจเป็นเพราะที่ดินในพระราชอุทยานถูกไถพรวนจนร่วนซุย จึงมีต้นกล้าผักป่างอกอยู่รอบๆ แปลงผัก เฉียวเยี่ยนขอไม่ให้คนในวังขุดถอนวัชพืชเหล่านี้ ก่อนจะถือตะกร้าเล็กๆ เพื่อถอนผักป่าพวกนี้มาทำเกี๊ยวไส้ผักป่าสนองความอยาก
ฮองเฮารู้สึกสนพระทัยมาก จึงพาฮ่องเต้เฒ่าไปขุดผักป่าในสวนผัก เฉียวเยี่ยนเห็นแล้วก็ไม่คิดจะเข้าไปเป็นก้างขวางคอ และพาเด็กๆ เดินไปในทิศทางอื่น
วันนี้พวกลูกๆ ไม่ได้ไปศึกษาเล่าเรียน จึงตามมารดาไปถอนผักป่ากันอย่างเอาเป็นเอาตาย ยามพบเจอวัชพืชแปลกๆ ที่ไม่รู้จักเมื่อใดก็จะถอนออกมาแล้วนำไปให้มารดาดูว่าเป็นผักป่าที่ต้องการหรือไม่
เฉียวเยี่ยนตอบคำถามของเด็กสองคนอย่างอดทนและยังให้ความรู้เกี่ยวกับพืชอีกด้วย ทำให้เด็กทั้งสองได้เรียนรู้มากมายในขณะที่เล่นและฟัง
จากนั้นเฉียวเยี่ยนก็จำได้ว่ามีกอไผ่อยู่ในพระราชวัง และในฤดูนี้ก็เป็นช่วงที่หน่อไม้กำลังผลิหน่อ จึงพาเด็กๆ ไปที่กอไผ่
กอไผ่แห่งนี้งอกงามอยู่ในตำหนักเย็น ซึ่งตำหนักเย็นแห่งนี้ถูกทิ้งร้างไว้นานแล้วจนวัชพืชขึ้นเต็มลานบ้าน ขณะที่กอไผ่กลับงอกงามรกชัฏ และบางส่วนก็ได้ตายขุยไปแล้ว
แม้ว่ามันจะทรุดโทรม แต่พื้นที่ของตำหนักเย็นก็ค่อนข้างกว้างใหญ่ เฉียวเยี่ยนสังเกตเห็นที่แห่งนี้แล้วในตอนปรับปรุงอุทยานครั้งก่อนหน้า นางไม่ต้องการให้ที่ดินผืนใหญ่เช่นนี้ถูกทิ้งร้างไว้โดยไม่ได้ใช้ประโยชน์ จึงกราบทูลต่อฮ่องเต้ขอรื้อถอนปรับปรุงตำหนักแห่งนี้ และนำนางสนมกำนัลที่ต้องโทษคุมขังอยู่ในตำหนักเย็นมาลงแรงปลูกผัก
นางสนมกำนัลเหล่านั้นต่างทิ้งชีวิตไปวันๆ อยู่ในตำหนักเย็นมาหลายปี พอตอนนี้มีงานปลูกผักทำ จึงมีความสุขกันถ้วนหน้า ไม่เพียงตอนนี้จะได้มีผักสดไว้กินเอง แต่พวกนางยังได้ใช้ชีวิตอย่างมีความหมายมากขึ้นอีกด้วย
เฉียวเยี่ยนเข้าไปในลานบ้านและเห็นว่าพวกนางกำลังไถที่เตรียมปลูกผักในฤดูใบไม้ผลิอยู่ หลังเทียวไปเทียวมายังที่แห่งนี้เป็นหลายครั้งก็เริ่มคุ้นเคยกับนางสนมกำนัลเหล่านี้ แม้ก่อนหน้านี้พวกนางจะไม่ใช่คนดีนัก แต่เฉียวเยี่ยนก็ไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน* นางจึงเข้ากับพวกนางได้เป็นอย่างดีไม่มีปัญหา
*เป็นสำนวน แปลว่าไม่ใช่คนอ่อนแอที่ถูกรังแกง่ายๆ
เมื่อเห็นเฉียวเยี่ยนพาลูกๆ เข้ามา เหล่านางสนมก็มีความสุขเล็กน้อย แม้พวกนางไม่มีความหวังที่จะมีลูกอีกแล้วในชีวิตนี้ แต่ก็ยังมีความสุขที่ได้เห็นเจ้าก้อนแป้งขาวอวบน่ารักทั้งสอง
หลังจากพูดคุยกับพวกนางสองสามคำ เฉียวเยี่ยนก็พาเด็ก ๆ ไปที่ป่าไผ่เพื่อขุดหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งพวกมันมีค่อนข้างมากจนขุดออกมาได้เต็มตะกร้า
หลังนำกลับไปลวกน้ำและแช่ในน้ำสะอาดเพื่อชะล้างความขมออกมาแล้ว มันก็จะกลายเป็นของอร่อยยามนำไปผัดรวมกับเนื้อตากแห้งหรือตุ๋นเป็นน้ำแกง
ตรงกาบหุ้มหน่อไม้มีขนละเอียดเป็นชั้น ๆ เมื่อนำมือไปสัมผัสจะติดผิวขึ้นมาและก่อให้เกิดอาการแสบคัน เฉียวเยี่ยนจึงบอกลูกทั้งสองว่าอย่าไปแตะ ทำให้เด็กทั้งสองได้แต่นั่งยองๆ มองมารดาขุดหน่อไม้อย่างเชื่อฟัง
หลังจากขุดไปได้ครู่หนึ่ง ตะกร้าผักที่พวกเขานำมาใส่ก็เต็มแล้ว เมื่อมองไปที่หน่อไม้ที่ยังไม่ได้ขุด เฉียวเยี่ยนก็ไม่พอใจเล็กน้อย
นางพาลูกทั้งสองออกจากตำหนักเย็นไปยังตำหนักคุนหนิง ซึ่งเด็กๆ ต่างกระโดดโลดเต้นกันไปมาด้วยความตื่นเต้นยินดี ส่วนเฉียวเยี่ยนได้แต่เดินตามพวกเขาไป
ครั้นเดินผ่านสะพาน ชายหนุ่มสูงศักดิ์สวมเสื้อคลุมสีขาวและถือพัดเดินเข้ามาหานางด้วยท่าทางอ่อนโยนราวกับหยก
เฉียวเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองเขา และร่องรอยความประหลาดใจก็ฉายในดวงตาของนาง รูปร่างหน้าตาของเขาช่างคล้ายกับมู่ฉินเจินนัก หรือว่านี่อาจเป็นหนึ่งในพี่น้องของมู่ฉินเจินกัน?
ชายผู้นั้นหล่อเหลามาก และยังมีดวงตาคล้ายคลึงกับมู่ฉินเจิน ติดเพียงสายตาของมู่ฉินเจินดูเย็นชาน่าเกรงขามและเปี่ยมด้วยอำนาจของกษัตริย์ ในขณะที่ชายตรงหน้าดูนุ่มนวลอ่อนโยนกว่ามาก
เขามีรูปร่างผอมบาง สีผิวขาวซีดผิดปกติ กิริยาท่าทางดูค่อนข้างกระชดกระช้อย ทำให้ดูราวกับเทพยดาในภาพวาด
แต่เนื่องจากไม่รู้จักเขา เฉียวเยี่ยนจึงไม่ได้คิดที่จะสนใจเขาและเดินไปตามทางของตนเอง
ขณะที่กำลังจะเดินผ่านไป ชายคนนั้นก็หยุดฝีเท้า ชำเลืองมองเด็กทั้งสองอย่างนุ่มนวล แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “นี่คงจะเป็นลูกของน้องสี่กระมัง วันนี้เปิ่นหวางเพิ่งได้เห็นเป็นครั้งแรก จึงไม่มีเวลาเตรียมของขวัญ เช่นนั้นขอมอบจี้หยกทั้งสองไว้เป็นของกำนัลกับเด็กๆ ก็แล้วกัน”
หลังจากมองดูเด็กทั้งสองแล้ว เขาก็เหลือบขึ้นสบตามองเฉียวเยี่ยนด้วยรอยยิ้ม ทั้งดูอ่อนโยนและเป็นธรรมชาติ
แต่เฉียวเยี่ยนรู้สึกว่าสายตาของเขาล้ำลึกเกินไปจนมองไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ และยังรู้สึกว่าบุคคลนี้ไม่ได้บริสุทธิ์ไร้ที่ติเหมือนอย่างที่เห็นภายนอก
นางไม่ได้หยิบจี้หยกที่เขามอบให้ และถามออกไป “ไม่ทราบว่าท่านผู้สูงศักดิ์เป็นใครหรือ?”
นางไม่มีความรู้เกี่ยวกับพี่น้องของมู่ฉินเจิน เพียงได้ยินเขาเรียกแทนตัวเองว่าเปิ่นหวาง และยังเรียกมู่ฉินเจินว่าเป็นน้องสี่ของเขา ดังนั้นเขาคงจะเป็นหนึ่งในพี่ชายของมู่ฉินเจินกระมัง
มู่เจ๋อจิ่นยิ้มอย่างอ่อนโยน: “เปิ่นหวางเป็นพี่รองของน้องสี่ พี่น้องของข้าไม่เคยเห็นข้า จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะจำข้าไม่ได้ เปิ่นหวางเพียงแค่ผ่านมาเท่านั้น”
มู่เจ๋อจิ่นผู้เป็นองค์ชายรองและมียศเป็นท่านอ๋องรุ่ยป่วยเป็นโรคหัวใจตั้งแต่ยังเด็ก เขามักอยู่ห่างราชสำนักและใช้ชีวิตอย่างสันโดษ มีข่าวลือว่าน้อยคนนักที่จะได้เห็นเขา กระทั่งฮ่องเต้ก็ไม่ได้เห็นเขามาหลายปีแล้ว
เฉียวเยี่ยนรู้สึกว่ารอยยิ้มของเขาดูพิกลไปเล็กน้อย หลังจากสนทนาอย่างสุภาพกับเขาสองสามคำ นางก็พาเด็กทั้งสองเดินจากไป
นางไม่ยอมรับจี้หยกที่เขามอบให้ เพราะการต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทในสมัยโบราณมักจะเกี่ยวข้องกับบุตรของอีกฝ่าย ดังนั้นใครจะรู้ว่าเล่าว่าเขาจะมีเจตนาไม่ดีหรือไม่
เมื่อมองตามหลังเฉียวเยี่ยนกับเด็กทั้งสอง มู่เจ๋อจิ่นก็คลี่ยิ้มสนุกสนาน
ท่าทางระแวงเช่นนี้ ช่างเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ
หลังจากที่เฉียวเยี่ยนเดินจากไป ชายที่แต่งตัวเหมือนผู้อารักขาก็เดินมาหามู่เจ๋อจิ่น
มู่เจ๋อจิ่นยืนเอามือไพล่หลัง มองดอกบัวในสระ แล้วพูดกับองครักษ์ที่อยู่ข้างหลังอย่างเย็นชา “เจ้าแน่ใจหรือว่าสุขภาพของเฉียวจิ่นดีขึ้นแล้ว?”
“เรียนนายท่าน ข้าน้อยได้สอบถามเป็นเวลานานจนแน่ใจว่าสุขภาพของเฉียวจิ่นดีขึ้นแล้ว และเขาก็ได้ลงทะเบียนสอบบัณฑิตประจำฤดูวสันต์นี้ด้วยขอรับ”
มู่เจ๋อจิ่นทอดมองออกไปไกล ในที่สุดหัวใจที่นิ่งสนิทมาหลายปีของเขาก็เกิดคลื่นริ้วกระเพื่อม
สวรรค์จะให้โอกาสเขาไหม? ในเมื่อเฉียวจิ่นสามารถฟื้นตัวได้เช่นนี้ เขาผู้นี้ที่เจ็บป่วยเรื้อรังมานานก็ไม่น่าจะมีปัญหาใหญ่
เขาป่วยเป็นโรคหัวใจ ส่วนเฉียวจิ่นเป็นโรคปอด อาการป่วยของพวกเขาคล้ายกันมาก ในเมื่อเฉียวจิ่นหายเป็นปกติได้ เขาที่เป็นโรคหัวใจก็มีสิทธิ์จะหายเป็นปกติเช่นกัน
“ติดตามเฉียวจิ่นอย่างใกล้ชิด คอยจับตาดูว่าเขาได้ยามาจากไหน!”
“ขอรับ!”
……
หลังออกจากวังและมาถึงตำหนักอ๋องซู่ เฉียวเยี่ยนกับมู่ฉินเจินก็ได้พูดคุยเกี่ยวกับการพบเจอมู่เจ๋อจิ่น ซึ่งมู่ฉินเจินก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน เหตุใดพี่ชายรองของเขาที่ซ่อนตัวมาหลายปีถึงได้ปรากฏตัวในตอนนี้?
ครั้นถึงยามราตรี สามีภรรยาก็นอนคุยกันบนเตียง เฉียวเยี่ยนจำสายตาที่มู่เจ๋อจิ่นมองนางในวันนี้ได้ และพูดกับมู่ฉินเจินว่า “ข้ามักรู้สึกว่าองค์ชายรองช่างเป็นคนล้ำลึกนัก สายตาของเขาดูซับซ้อนมาก ถึงอย่างไรตัวตนแท้จริงของเขาก็ไม่น่าจะเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์อย่างที่เห็นภายนอกแน่นอน”
มู่ฉินเจินฟังสิ่งที่ภรรยาตัวน้อยเล่าพร้อมกับพยักหน้ายิ้มรับเงียบๆ เขานั่งฟังนางอย่างเงียบงัน และเปล่งเสียงแสดงความเห็นเป็นครั้งคราว
ครั้นเฉียวเยี่ยนเห็นท่าทางเขาแสดงออกว่านางกำลังพูดเพ้อเจ้อ จึงหันไปคว้าใบหน้าของเขาแล้วขยำจนย่นยู่พลางเอ่ยอย่างจริงจัง “ข้าพูดเรื่องจริงนะ อย่าได้ประมาทในสัมผัสที่หกของสตรีไปเชียว มิฉะนั้นสักวันท่านจะเสียใจ!”
มู่ฉินเจินยื่นมือออกมาและดึงนางเข้าหาตัวเอง จากนั้นกอดหลังของนางแล้วกดลงบนเตียง เฉียวเยี่ยนนอนบนร่างของเขาเหมือนกับที่ลูกทั้งสองทำตามปกติ กอดแนบแน่นจนรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิของอีกฝ่ายผ่านชุดตัวในชั้นบาง
มู่ฉินเจินจูบนางที่ใบหน้าและเอ่ยปลอบ “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าไม่ได้ประเมินเจ้าต่ำไป ข้าจะตั้งใจฟัง เจ้าควรอยู่ห่างจากเขาไว้นะ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีปัญหา ให้เจ้ากลับมาเรียกข้า แล้วข้าจะจัดการทุกอย่างให้”
เฉียวเยี่ยนรู้สึกประหม่าเล็กน้อยกับการอยู่ในท่าทางเช่นนี้ และพยายามจะพลิกกลับ แต่มู่ฉินเจินกลับกอดนางไว้แน่น ป้องกันไม่ให้นางขยับ
“เฮ้ อย่าขยับสิ ให้ข้ากอดหน่อย”
เฉียวเยี่ยนเหลือบมองเขาแล้วก็ไม่ขัดขืน ซบศีรษะลงบนซอกคอของเขาและพึมพำเบา ๆ ว่า “ก็ได้กอดอยู่ทุกวันแล้วอย่างไร ท่านยังกอดไม่พออีกหรือ?”
มู่ฉินเจินถูคางของเขากับกระหม่อมของนาง เอ่ยเสียงทุ้มพร่า”ไม่พอ ต่อให้กอดทั้งชีวิตก็ไม่พอ”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
องค์ชายรองนี่ต้องเป็นชายชุดขาวผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ลอบสังหารท่านอ๋องซู่ที่แม่น้ำแน่เลย มันต้องมีปมแค้นอะไรสักอย่างกับอ๋องซู่อะ ไม่แน่ว่าอาจเป็นคนปล่อยข่าวลือว่าอ๋องซู่เป็นพวกตัดแขนเสื้อด้วย
เอาใหญ่เลยนะอ๋องซู่ พอได้รักใครสักคนก็คลั่งรักแบบไม่แผ่วเลย
ไหหม่า(海馬)