ตอนที่ 134 สรุปแล้วใครเป็นผู้ให้กำเนิดกันแน่?
ตอนที่ 134 สรุปแล้วใครเป็นผู้ให้กำเนิดกันแน่?
ความจริงแล้วนางไม่อ้วนหรอก แต่สุขภาพแข็งแรงมากต่างหาก ในเมื่อเกิดมามีโครงร่างใหญ่แบบนี้แล้วนางจะผอมได้อย่างไรอีก
แต่มารดาไม่ฟังนางน่ะสิ ทุกครั้งที่บอกว่าตัวเองโครงร่างใหญ่ มารดานางก็จะตำหนิบิดา ว่าไม่ชอบที่เขาสูงใหญ่แข็งแรง ทำให้ลูกสาวตัวสูงกว่าคนอื่นตั้งแต่ยังเด็กไม่พอ ยังทำให้ซนยิ่งกว่าเด็กผู้ชายเสียอีก
ก่อนหน้านี้อันซีโหวฮูหยินผู้น่าสงสารปรารถนาเด็กตัวน้อยผู้อ่อนหวานและนุ่มนวล แต่เมื่อได้ให้กำเนิดลูกสาวออกมา นางกลับไม่อ่อนหวานนุ่มนวลเลยแม้แต่น้อย
เว่ยอวิ๋นซูรับประทานพลางบ่นกับซูเนี่ยนหว่านไปด้วยว่ามารดาไม่ยอมให้นางได้กินอิ่มเลยสักนิด ทำให้ซูเนี่ยนหว่านปวดใจอย่างมาก
“ช่างเป็นเด็กที่น่าสงสารอะไรเช่นนี้ ต่อไปหากเจ้าอยากกินอะไรก็มาหาข้าที่นี่ ข้าจะทำให้เจ้า”
เว่ยอวิ๋นซูซาบซึ้งใจจนแทบร้องไห้น้ำตาไหล คิดว่าในที่สุดนางก็พบแม่ที่แท้จริงแล้ว “ขอบคุณท่านน้าหว่าน!”
เฉียวเยี่ยนกับเฉียวจิ่นพูดไม่ออกอยู่ด้านข้าง อยากจะเตือนมารดามากว่าพวกเขาเป็นลูกที่แท้จริงของนาง
เฉียวจิ่นดูเหมือนจะจดจ่ออยู่กับการดื่มน้ำแกง ทว่าความจริงแล้วเขาได้ยินทุกอย่างที่เว่ยอวิ๋นซูพูด ที่แท้แม่ของนางไม่ให้นางได้กินอิ่มนี่เอง ช่างน่าสงสารยิ่งนัก
หลังจากเว่ยอวิ๋นซูกินอิ่มดื่มพอแล้วก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้พลางลูบท้องของนางอย่างไม่สนภาพลักษณ์ และเล่าเรื่องที่นางอยู่ค่ายทางซีเป่ยให้ซูเนี่ยนหว่านฟัง
เรื่องราวเหล่านี้ทำให้คนทั้งกลุ่มสนใจ แน่นอนว่าคนที่ตื่นเต้นที่สุดต้องเป็นเจ้าปลาอ้วน
เด็กน้อยสนใจเรื่องราวการต่อสู้และการฆ่าฟันที่ชายแดนมาตั้งแต่ยังเด็ก เรื่องราวที่มู่ฉินเจินเล่าให้นางฟังล้วนเป็นเรื่องในสนามรบ โดยผสมผสานศิลปะการต่อสู้เข้ากับเรื่องราว
แต่เรื่องราวของเว่ยอวิ๋นซูส่วนใหญ่เป็นสภาพดินฟ้าอากาศ ผู้คนและประเพณีของเขตซีเป่ย เช่น องุ่นที่นั่นหวานกว่าน้ำตาล ที่นั่นกินเนื้อกันแบบชิ้นใหญ่ ชนิดที่ถือชิ้นใหญ่ๆ แทะกิน
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ฟังจนหลงใหล ความปรารถนาเล็กๆ ก็งอกเงยขึ้นในใจ หากนางโตขึ้นแล้วจะต้องไปเขตซีเป่ยสักครั้งให้ได้ เพื่อไปสัมผัสกับโลกในเรื่องราวของท่านพ่อกับท่านน้า
ทั้งซูเนี่ยนหว่านกับเฉียวจิ่นไม่เคยได้ออกเดินทางไกล ยามนี้ได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับโลกภายนอก ก็ฟังอย่างตั้งใจ
……
ในตอนที่กลับจากจวนสกุลเฉียว ท้องฟ้าก็ใกล้จะมืดแล้ว มู่ฉินเจินจึงมารับสามแม่ลูกด้วยตัวเอง เว่ยอวิ๋นซูที่อยู่คั่นกลางระหว่างครอบครัวสี่คนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยก็ตัดสินใจกลับบ้านเอง เฉียวเยี่ยนจึงเรียกองครักษ์คนหนึ่งมาคุ้มกันนางกลับบ้าน
เดือนสี่เป็นช่วงที่ดอกท้อบานสะพรั่ง ป่าท้อในหมู่บ้านจิ่วหลีพัวได้กลายเป็นทะเลดอกไม้อีกครั้ง กิ่งที่ทาบไปเมื่อปีที่แล้วผลิดอกออกมาแล้ว ปีนี้ก็ออกผลได้
ช่วงนี้ป่าท้อต้องได้รับการผสมเกสรเทียม การผสมเกสรเทียมสามารถเพิ่มอัตราการติดผล และเพิ่มผลผลิตได้ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่ส่งผลต่อผลผลิตลูกท้อ
ครั้งนี้มู่ฉินเจินก็ไปด้วยไม่ได้เช่นเคย ช่วงนี้เขาถูกฮ่องเต้เฒ่ามอบหมายงานมาให้ เขาได้ยินรายงานจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นว่าค่ายทหารทางเขตตงหนานเกิดความวุ่นวาย จึงขอให้เขาไปตรวจสอบด้วยตัวเอง
พื้นที่นั้นห่างไกลเมืองหลวงอย่างมาก และคาดว่าท่านอ๋องจะไม่ได้เจอสามแม่ลูกไปอีกสิบวันหรือครึ่งเดือนอีกแล้ว
คืนก่อนออกเดินทาง เฉียวเยี่ยนเก็บข้าวของให้เขาตามปกติ ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม เสื้อผ้า แล้วก็ยาต่างๆ ไม่มีขาด แต่ความจริงแล้วแค่ตกใจกับเหตุการณ์บรรเทาภัยพิบัติในเขตซีหนานเมื่อครั้งนั้นก็เท่านั้น
นางห่อเส้นมันเทศกับผักดองต่างๆ ที่ผลิตในโรงงานให้เขาไปหนึ่งกล่องใหญ่ แม้แต่ฮั่วกัวตี่เลี่ยวก็ห่อให้เขาสองห่อ หากไปถึงที่นั่นแล้วอาหารไม่ถูกปาก ก็ยังสามารถทำหม้อไฟได้
นอกจากนี้ยังมีของว่างพร้อมรับประทานกับบิสกิตอัดแท่งอีกไม่น้อย ครั้งก่อนเขารอดชีวิตมาได้เพราะขนมบิสกิตอัดแท่ง ซึ่งตอนนี้เฉียวเยี่ยนก็ยังคงหวาดผวากับเรื่องนี้อยู่
มู่ฉินเจินนำกระติกน้ำอันมีค่ากับไฟฉายคาดศีรษะไปด้วย ครั้งก่อนที่ไปเขตซีหนานเฉียวเยี่ยนได้ให้กระติกน้ำร้อนแก่เขา ตอนแรกเขาคิดว่ามันเป็นแค่กระติกน้ำธรรมดา แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะมีคุณสมบัติเก็บรักษาความร้อนได้ดีเช่นนี้
คืนนี้ใส่น้ำร้อนเข้าไป ต่อให้ถึงพรุ่งนี้มันก็ยังร้อนมากอยู่
ไฟฉายคาดศีรษะอันนั้นเฉียวเยี่ยนใช้ในตอนที่ไปเขตซีหนาน นางเห็นว่าเขาชอบมัน จึงมอบมันให้กับเขา
เฉียวเยี่ยนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับเรื่องที่ว่าท่านอ๋องถือกระติกน้ำกับไฟฉายคาดศีรษะเป็นเหมือนสมบัติล้ำค่า สมบัติของคนอื่นคืออัญมณีหยก แต่ท่านอ๋องของนางกลับมีกระติกน้ำกับไฟฉายคาดศีรษะเป็นสมบัติ มันช่างน่าขบขัน ช่างน่าสงสารจริงๆ
หลังจากจัดข้าวของให้มู่ฉินเจินเสร็จแล้ว เขาก็ออกเดินทางแต่เช้าตรู่เช่นเคย แต่คราวนี้ฮ่องเต้ให้เขานำกองกำลังทหารม้าไปด้วย คาดว่าคงจะรู้สึกตกใจกลัวกับเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งก่อนเช่นกัน
เมื่อเด็กทั้งสองรู้ว่าผู้เป็นพ่อจะเดินทางไกลอีกครั้ง ก็กอดต้นขาเขาไว้อย่างอาลัยอาวรณ์ ดวงตากลมโตเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา
“ท่านพ่อ ท่านต้องกลับมาอย่างปลอดภัยนะ”
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์เอ่ยด้วยเสียงอ้อมแอ้มเจือสะอื้นไห้ ทำให้มู่ฉินเจินที่ได้ฟังใจอ่อนยวบ เขาย่อตัวลงกอดเด็กทั้งสอง และเอ่ยกล่อมเสียงเบา”เด็กดี ไม่นานพ่อก็กลับมาแล้ว ต้องปลอดภัยแน่นอน”
เฉียวเยี่ยนยืนอยู่ข้างหลังสามพ่อลูก ขอบตาร้อนผะผ่าว พยายามกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
หลังจากมู่ฉินเจินกล่อมคนเล็กแล้วก็ไปกล่อมคนโตต่อ เขากอดเฉียวเยี่ยนไว้ แล้วจูบที่มุมปากนาง และลูบหลังท้ายทอยแผ่วเบา “ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะระวังตัว เจ้าอยู่บ้านรอข้ากลับมาอย่างเชื่อฟังนะ ”
ครอบครัวสี่คนอำลากันอย่างอ้อยอิง จนในที่สุดมู่ฉินเจินก็ออกเดินทางอย่างไม่เต็มใจ
หลังจากส่งมู่ฉินเจินไปแล้ว เฉียวเยี่ยนก็ดูแลเด็กๆ อยู่ที่บ้านสองสามวัน เมื่อเด็กๆ อารมณ์ดีขึ้นแล้ว นางจึงส่งพวกเขาเข้าวัง ให้ฮ่องเต้กับฮองเฮาช่วยดูแลพวกเขา ส่วนนางจะไปสอนพวกคนงานผสมเกสรเทียมที่สวนท้อ
แต่ใครจะไปคิดว่าคราวนี้เด็กน้อยทั้งสองที่เชื่อฟังเสมอกลับงอแงฉุนเฉียวขึ้นมา ไม่ว่าอย่างไรก็จะตามนางไปด้วย
เฉียวเยี่ยนเกลี้ยกล่อมด้วยวิธีต่างๆ แต่ก็ยังกล่อมลูกทั้งสองไม่ได้เช่นเคย บางทีอาจเป็นเพราะมู่ฉินเจินเพิ่งจากไป แล้วนางก็กำลังจะจากไปอีก พวกเขาคงจะรู้สึกไม่ปลอดภัย
นางหมดหนทาง ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ไม่คิดเลยว่าฮองเฮาจะเข้าผสมโรงด้วย พระนางก็อยากไปป่าท้อกับเฉียวเยี่ยนด้วยเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ฮองเฮาเคยได้ยินว่าทิวทัศน์ของป่าท้อนั้นดีมากๆ วันๆ เอาแต่อยู่ในตำหนักเบื่อหน่ายเต็มทนแล้ว จึงอยากออกไปท่องเที่ยวมากๆ และตอนนี้ก็มีเหตุผลเหมาะสมพอดี นางจึงจะไปช่วยดูแลเด็กๆ !
เฉียวเยี่ยนรู้สึกเอือมระอา พระนัดดาทั้งสองของท่านไม่มีเรียนหรือ?
ฮองเฮาเอ่ยด้วยวาทะเต็มไปด้วยสัจธรรมว่าพระนัดดาทั้งสองของนางฉลาด แค่ขาดเรียนไปสองสามวันอย่างไรก็ตามคนอื่นทัน!
เฉียวเยี่ยนพูดไม่ออกจริงๆ เด็กทั้งสองลาหยุดจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ทุกครั้งที่นางไปพบอาจารย์ พวกอาจารย์ก็รู้ได้เลยว่านางต้องมาขอลาหยุดเป็นแน่
หลังจากคิดไปคิดมาแล้ว มันก็ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้จริงๆ ดังนั้นเฉียวเยี่ยนจึงทำได้เพียงพาคนแก่หนึ่งเด็กสองไปยังหมู่บ้านจิ่วหลีพัว เนื่องจากฮองเฮาเสด็จเดินทางไปด้วย ดังนั้นพวกองครักษ์กับนางข้าหลวงก็ตามมาด้วยไม่น้อย แม้แต่แม่นมเฒ่าคนสนิทพระนางก็ตามมาด้วย กลุ่มคนยิ่งใหญ่เอิกเกริก ดูมีอานุภาพเกรียงไกร
ฮ่องเต้เฒ่ามองพระมเหสีออกไปเล่นนอกวังจนลับตา ในใจก็ร้องไห้ราวสุนัข เขาเองก็อยากออกไปเช่นกันนะ เหตุใดเขาต้องเป็นฮ่องเต้ด้วยเล่า!
หวงโฮ่วเหนียงเหนียงออกมาท่องเที่ยวจริงๆ กระทั่งจิตรกรก็พามาด้วยหนึ่งคน และยังมีอาภรณ์งดงามอีกหนึ่งกล่อง เมื่อมาถึงป่าท้อก็จะให้จิตรกรวาดภาพเหมือนนางสักสองสามภาพ แล้วนำกลับไปเยาะเย้ยตาเฒ่าให้อยากไปบ้าง
ก่อนไปหมู่บ้านจิ่วหลีพัว เฉียวเยี่ยนก็ไปที่หมู่บ้านม่ายเซียงก่อน เพื่อตรวจสอบสภาพการเพาะปลูกของพวกชาวบ้าน ไปครานี้นางพบว่าหมู่บ้านเปลี่ยนไปครั้งใหญ่ หลายคนสร้างบ้านใหม่ ถนนก็ได้รับการซ่อมแซมจนกว้างขวาง เจริญรุ่งเรืองทั่วทั้งหมู่บ้าน
เมื่อเฉียวเยี่ยนเข้าไปในหมู่บ้าน ทั้งชายหญิงเด็กคนแก่ในหมู่บ้านต่างก็ออกมาต้อนรับนาง ยิ้มอย่างเป็นมิตรอบอุ่น คุยจอกแจกจอแจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในหมู่บ้านของพวกเขา บอกว่านางเป็นคนโปรดของกลุ่มก็ไม่เกินจริง
ฮองเฮานั่งอยู่ในรถม้าแยกม่านสังเกตสถานการณ์ภายนอกพร้อมกับอุทานอยู่ในใจ ความนิยมของเสี่ยวเยี่ยนในหมู่ชาวบ้านสูงปานนั้น ต่อไปโอรสนางสืบทอดราชบัลลังก์เมื่อใด จิตใจของผู้คนก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
แม่เห่อหลานสาวคนใหม่จนลืมลูกๆ แล้วเหรอ ๕๕๕
ท่านอ๋องจากบ้านไปไกลอีกแล้ว
ไหหม่า(海馬)