ตอนที่ 142 ทุบตีได้เลย
ตอนที่ 142 ทุบตีได้เลย
ทหารเยวี่ยโจวที่ถูกปลุกให้ตื่นไปฝึก ทำราวกับว่าได้ยินเรื่องตลก พวกเขาจ้องมองคนมาปลุกด้วยความสับสนแล้วทำท่าจะนอนต่อ แต่ด้วยความที่ถูกน้ำสาด ความง่วงงุนจึงมลายหายไป พวกเขาตัวเปียกโชกตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้แต่ผ้าปูที่นอนก็เปียกชุ่มไปหมด
“อยากตายกันหรืออย่างไร? เจ้าพวกบ้า!”
ทหารเยวี่ยโจวที่ถูกสาดน้ำกระโดดออกจากเตียงทีละคน นึกอยากจะต่อยกับพวกทหารรักษาพระองค์ แต่พวกเขาล้วนเป็นคนเกียจคร้าน ดังนั้นจะไปสู้ทหารรักษาพระองค์ที่ฝึกอย่างหนักทุกวันได้อย่างไร แค่ขยับนิดเดียวก็ถูกทหารรักษาพระองค์ซัดลงไปหมอบกับพื้น แล้วลากตัวไปยังสนามฝึกซ้อม
เมื่อทหารเยวี่ยโจวเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่กล้าขัดขืนอีกต่อไป และรีบสวมเสื้อผ้าวิ่งไปที่สนามฝึกซ้อม
จ้าวซุ่นเฉียนและแม่ทัพคนอื่น ๆ อีกหลายคนยังคงนอนกรนเสียงดัง เกาจัวหยวนและองครักษ์อีกหลายคนจึงถือถังน้ำเพื่อไปจัดการพวกเขาด้วยตัวเอง
ท่านอ๋องกล่าวว่าถ้าพวกเขาบังอาจไม่เชื่อฟัง ก็ให้ทุบตีได้เลย ทุบให้หนักจนญาติจำหน้าไม่ได้ไปเลย!
เกาจัวหยวนแหวกม่านเดินเข้าไปในกระโจมของจ้าวซุ่นเฉียน ก่อนจะเตะเก้าอี้ด้านข้าง แล้วพูดว่า “ลุกขึ้น! ท่านอ๋องมีรับสั่งให้ทุกคนตื่นไปฝึก!”
เสียงของเขาดังปานเสียงระฆังจนจ้าวซุ่นเฉียนที่กำลังงัวเงียอยู่กระโดดลงจากเตียง ด้วยความที่ไม่ได้สวมเสื้อผ้าหลังจากเสร็จกิจเมื่อคืนนี้ เมื่อเขาผุดลุกขึ้น ผ้าห่มที่คลุมกายอยู่ก็หลุดออก เผยให้เห็นร่างเปลือยเปล่าทั้งตัว เกาจัวหยวนจึงได้เห็นร่างอ้วนฉุและอะไรบางอย่างเต็มตา จนได้แต่อุทานในใจว่าบัดซบ!
เวรเอ๊ย! น่าขยะแขยงจนอาหารเช้าที่เพิ่งกินเข้าไปเกือบพุ่ง!
เมื่อจ้าวซุ่นเฉียนที่กำลังงัวเงียได้สติขึ้นมา เขาก็รีบดึงผ้าห่มขึ้นมาห่อตัวไว้ทันที จากนั้นก็จ้องมองผู้บุกรุกด้วยดวงตาเบิกโพลงตกตะลึงสุดขีดขณะถามด้วยน้ำเสียงโกรธจัด “องครักษ์เกา มาทำอะไรแต่เช้า?”
เกาจัวหยวนไม่กลัวเขาสักนิด และตอบกลับอย่างเย็นชา “ท่านอ๋องมีรับสั่งให้ทุกคนต้องตื่นไปฝึก!”
ในใจจ้าวซุ่นเฉียนเดือดดาลยิ่งนัก แต่ก็ไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของอ๋องซู่ จึงทำได้เพียงสวมเสื้อผ้าด้วยสีหน้าบึ้งตึง
ปฏิกิริยาของแม่ทัพคนอื่นอีกหลายคนก็ไม่ต่างจากเขา พวกเขาโกรธมาก จนอยากจะฉีกร่างคนที่มาขัดจังหวะฝันหวานให้เป็นชิ้น ๆ แต่คนเหล่านี้เป็นคนของอ๋องซู่ ไม่ว่าจะอารมณ์เสียเพียงใด พวกเขาก็ทำได้เพียงเชื่อฟังคำสั่งเท่านั้น
ที่สนามฝึกซ้อมในเวลานี้แสงแดดแรงจ้ามากแล้ว มู่ฉินเจินยืนเอามือไพล่หลังด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ขณะจ้องมองพวกทหารเยวี่ยโจวตรงหน้าเขาที่กำลังยืนหาวกันอยู่กระจัดกระจาย ไร้ซึ่งระเบียบวินัย
สถานการณ์ของคนพวกนี้ร้ายแรงกว่าที่เขาคิดมาก ถ้าอยู่ในค่ายทหารของเขา เมื่อเสียงเรียกชุมนุมดังขึ้น ทุกคนในกองทัพจะต้องรีบมารวมตัวกันทันที แต่ตอนนี้ผ่านไปเกือบหนึ่งในสี่ชั่วยามแล้ว ก็ยังมีคนวิ่งกุลีกุจอออกมาจากกระโจมอยู่ และแม่ทัพหลายคนก็ยังมาไม่ถึงเลย
เมื่อสักครู่นี้เกาจัวหยวนและองครักษ์คนอื่น ๆ รับผิดชอบในการปลุกพวกเขา แต่ก็ให้เวลาพวกเขาอาบน้ำอยู่ครู่หนึ่ง คาดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะล่าช้าจนถึงตอนนี้!
โทสะของมู่ฉินเจินมาถึงขีดสุดแล้ว เขาพูดกับองครักษ์ที่อยู่ข้างหลังเขาด้วยความเกรี้ยวกราด “ไปลากพวกมันออกมาหาเปิ่นหวาง!”
องครักษ์รับคำสั่ง แล้วรีบหันหลังวิ่งเข้าไปในกระโจมของพวกแม่ทัพ แล้วลากตัวอีกสองสามคนที่ยังคงอาบน้ำอยู่ออกมา
พวกเขาคิดว่าอ๋องซู่กำลังจะฝึกทหาร โดยต้องการฝึกพวกทหารที่ไม่เป็นโล้เป็นพายเหล่านั้น ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงอาบน้ำแต่งตัวช้า ๆ และยังคิดว่าจะไปกินมื้อเช้าก่อนจะไปสนามฝึกอีกด้วย
หลายคนที่ถูกลากตัวเข้ามาในสนามฝึกต่างตื่นตระหนก พวกเขาอ้าปากเตรียมจะด่าทอ แต่หลังจากเห็นสีหน้ามืดมนของอ๋องซู่ พวกเขาก็ทำได้เพียงหุบปาก
มู่ฉินเจินเย้ยหยัน “แม่ทัพหลายคนช่างหยิ่งผยองนัก จำเป็นหรือไม่ที่เปิ่นหวางต้องไปเชิญพวกเจ้าด้วยตัวเอง?”
จ้าวซุ่นเฉียนและคนอื่น ๆ ตัวสั่นสะท้านด้วยความตกใจกลัว พวกเขารีบคุกเข่าลงคำนับเพื่อรักษาชีวิตตัวเอง “ท่านอ๋องเข้าใจผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันจริง ๆ กระหม่อมต้องใช้เวลาแต่งตัวให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้สายตาของพระองค์ต้องแปดเปื้อนพ่ะย่ะค่ะ”
น้ำเสียงของมู่ฉินเจินเย็นชากว่าเดิม “กะทันหันหรือ? ฮึ่ม! ค่ายทหารทุกแห่งเริ่มฝึกในยามเหม่า แต่เจ้ายังบอกว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันงั้นหรือ? หรือว่าค่ายทหารเยวี่ยโจวภายใต้คำสั่งของขุนพลอย่างเจ้าไม่มีกฎนี้?”
จ้าวซุ่นเฉียนกลัวมากจนตัวสั่น โดยที่เขาก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด
เขาดำรงตำแหน่งขุนพลประจำหัวเมืองเยวี่ยโจวมาเกือบยี่สิบปีแล้ว ไม่เคยเกิดสงครามมาก่อน ผู้คนก็อยู่เย็นเป็นสุข หากเป็นเช่นนี้ เขาจะพยายามฝึกอย่างหนักไปเพื่ออะไร ในเมื่อฝึกไปแล้วก็ไม่ได้ใช้ แล้วจะทำให้ตัวเองลำบากไปเพื่ออะไร!
แต่เขาจะกล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าท่านอ๋องหรือ? เขาคงไม่คิดว่าตัวเองจะอายุยืนเกินไปหรอก!
เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าเหตุใดครั้งนี้ราชสำนักจึงมาเยวี่ยโจวเพื่อตรวจสอบ เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีเจ้าบ้าที่ไหนในค่ายไปแจ้งราชสำนัก?
แต่เมื่อนึกดูแล้วก็รู้สึกว่าไม่น่าเป็นไปได้ ใต้เท้าหูผู้เป็นเจ้าเมืองเยวี่ยโจวเป็นสหายของเขา หากมีใครส่งจดหมายไปยังราชสำนัก จดหมายนั้นก็จะต้องผ่านมือเขาก่อนแน่นอน และหากสังเกตพบว่ามีเนื้อหาที่ทำให้ค่ายทหารเสื่อมเสีย จดหมายนั้นย่อมไม่ถูกส่งไป
มีกฎว่าห้ามข้าหลวงรายงานไปยังเบื้องบนโดยตรง และเจ้าเมืองเยวี่ยโจวก็เป็นข้าหลวงท้องถิ่นที่ใหญ่ที่สุด ดังนั้นหากข้าหลวงในพื้นที่สังกัดเขตอำนาจของราชสำนักต้องการรายงานสถานการณ์ต่อราชสำนัก จดหมายจะถูกส่งไปให้เจ้าเมืองตรวจสอบ ก่อนจะรายงานไปยังราชสำนัก
จ้าวซุ่นเฉียนตื่นตระหนกอยู่ในใจ เขากำลังคาดเดาความเป็นไปได้ทุกทาง แต่ก่อนที่เขาจะคิดได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด เขาก็ถูกอ๋องซู่ลากตัวมาเข้าเฝ้าด้วยคำสั่ง
“ทุกคนจัดเสื้อผ้าตัวเองให้เป็นระเบียบเดี๋ยวนี้ หลังจากจัดแจงเรียบร้อยแล้ว จงไปวิ่งสิบลี้!”
สีหน้าของมู่ฉินเจินสงบยังคงบึ้งตึง น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยโทสะ รังสีสง่างามน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาแสดงออกชัดว่าไม่อนุญาตให้มีการคัดค้านใด ๆ
เมื่อเขาพูดจบ ทหารเยวี่ยโจวก็ตื่นตระหนกทันที สิบลี้! วิ่งสิบลี้ในตอนเช้า นั่นจะไม่ทำให้พวกเขาขาดใจตายหรือ?
หลายคนโอดครวญขึ้นมาทันที และบางคนก็พยายามต่อรองอย่างโง่เขลา พวกเขาเกียจคร้านตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาในค่ายแล้ว เมื่อพวกเขาถูกสั่งให้ฝึกตอนนี้ จึงไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะคร่ำครวญ!
เกาจัวหยวนและองครักษ์คนอื่น ๆ อีกหลายคน มองไปยังฝูงชนที่กำลังบ่นพึมพำและส่งเสียงด่าทอ ก่อนจะเดินไปเตะหรือกระชากคอเสื้อพวกเขาขึ้นมาต่อยหน้า และยังชกปากพวกเขาด้วย จนทำให้เกิดการตะลุมบอนที่พื้นกันจนฝุ่นตลบไปหมด
ทหารเยวี่ยโจวที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ล้มลงบนพื้น พวกเขานอนหอบหายใจไม่หยุด ส่วนคนรอบข้างก็ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงออกมา
แต่ก็ยังคงมีเสี้ยนหนามอยู่บ้าง พวกเขาเคยเป็นอันธพาลก่อนที่จะเข้ามาในค่าย และอาศัยวรยุทธ์แบบแมวสามขารังแกทั้งชายหญิง เมื่อพวกเขาเข้ามาในค่ายทหาร พวกเขาก็มีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อย ๆ ได้กินดื่มอิ่มหนำสำราญทุกวันด้วยงบทหาร แถมยังมีโอกาสได้อวดเบ่งด้วย ทำให้มีชีวิตสุขสบายกว่าเดิมเสียอีก
ตอนนี้เมื่อเห็นว่าชีวิตสุขสบายของพวกเขากำลังถูกรบกวน พวกเขาจะสามารถทนได้หรือ? ทนได้ก็แปลกแล้ว!
ชายรูปร่างกำยำในกลุ่มทหารเยวี่ยโจวตะโกนใส่ฝูงชน “พี่น้อง! จัดการมัน!”
ทันทีที่เขาพูดจบ ฝูงชนก็ลุกฮือ จากนั้นทหารเยวี่ยโจวกลุ่มหนึ่งก็กระโจนเข้าหาเหล่าองครักษ์ ท่าทางดูเหมือนจะต่อสู้กับพวกเขาให้ตายไปข้าง
แต่ด้วยวรยุทธ์แมวสามขาจากความเกียจคร้านของพวกเขา พวกเขาจะเหมาะเป็นคู่ต่อสู้ของเหล่าองครักษ์หรือ?
เป็นไปดังที่คาดไว้ เหล่าองครักษ์ไม่ได้ใช้อาวุธด้วยซ้ำ เพียงแค่ชกด้วยหมัดเดียว เหวี่ยงขาเตะเบา ๆ คนเหล่านั้นก็ล้มกลิ้งกันระเนระนาดในพริบตา
เมื่อเหล่าทหารรักษาพระองค์ด้านข้างที่มีหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัยของมู่ฉินเจินเห็นสถานการณ์นี้ พวกเขาก็เข้าร่วมการต่อสู้ด้วย เพราะพวกเขาไม่พอใจพวกไม่เอาไหนเหล่านี้มานานแล้ว คนกลุ่มนี้เกียจคร้านและเจ้าเล่ห์ หากคนนอกรู้เข้าก็จะเสียชื่อทหารหมด!
ทันทีที่เหล่าทหารรักษาพระองค์เข้าร่วมการต่อสู้ด้วย การต่อสู้อันดุเดือดก็เริ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกเขาจัดการทหารเยวี่ยโจวได้แบบสิบต่อหนึ่งอย่างง่ายดาย หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ทหารเยวี่ยโจวก็นอนกองกันระเกะระกะไปทั่วบริเวณ ขณะที่ทหารรักษาพระองค์เพลิดเพลินยิ่งนัก สุดท้ายพวกแม่ทัพที่ยืนเฝ้าดูด้วยความตื่นเต้นอยู่ข้างจ้าวซุ่นเฉียนก็ไม่รอดเช่นกัน เมื่อพวกเขาถูกจับได้ก็โดนต่อยหน้าอย่างแรง จนทำให้จมูกช้ำและหน้าบวมไปหมด
จ้าวซุ่นเฉียนที่ยืนอยู่ด้านข้างกำลังมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น เอามันเลย เอามันเลย เป็นการดีที่สุดที่จะทำให้ตายไปสักสองสามคน เพื่อที่อ๋องซู่จะได้ไม่มุ่งเน้นไปที่การฝึกอีก
เขาแอบใส่ไฟอยู่ในใจ แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความวิตกกังวลขณะยืนอยู่ข้างนอกและแสร้งทำเป็นโน้มน้าวใจ “อย่าสู้กัน! หยุดเดี๋ยวนี้ อย่าสู้กัน!”
ท่าทางของเขาปลอมเสียยิ่งกว่าปลอมอีก!
เหล่าทหารรักษาพระองค์ไม่อาจทนได้อีกต่อไป พวกเขาเอื้อมมือมาดึงเขาเข้าไปตะลุมบอนด้วย และทุบตีเขาอย่างดุเดือด
……………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ใช้ไม้อ่อนแล้วยังเหลาะแหละแบบนี้ก็ต้องโดนไม้แข็งเสียบ้าง
ไหหม่า(海馬)