ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? – ตอนที่ 186 เผยพิรุธ

ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม?

ตอนที่ 186 เผยพิรุธ

ตอนที่ 186 เผยพิรุธ

เจ้าปลาอ้วนได้ยินคำพูดของมารดา ปฏิกิริยาแรกหาใช่สงสารที่มารดาปวดฟัน แต่เป็นกระพริบตากลมโตปริบๆ และถามอย่างุนงง “ท่านแม่ ท่านแอบกินของหวานลับหลังข้ากับพี่ชายใช่หรือไม่?”

เรื่องเช่นนี้มารดาหาได้ทำน้อยไม่ ขนมที่เสด็จปู่เสด็จย่าแล้วก็ท่านยายให้พวกเขามา ท่านแม่มักจะหาเหตุผลต่างๆ นานาในการไม่รับ ทั้งยังบอกว่าจะช่วยเก็บให้พวกเขา รอพวกเขาโตขึ้นค่อยคืนให้พวกเขา

ตอนนี้พวกเขารู้ความจริงแล้ว ว่าของพวกนั้นเข้าไปอยู่ในท้องมารดาเรียบร้อย

เฉียวเยี่ยนชะงักด้วยท่าทางขบขัน และรู้สึกเอือมระอานัก

เรื่องนี้แน่ชัดแล้วว่าบิดาคือรักแท้ ส่วนมารดาอย่างนางเป็นแค่เหตุสุดวิสัย แค่ถูกจับได้ตอนแอบกินขนมของพวกเขาสองครั้ง ไฉนพวกเขาจึงยังไม่ลืมไปเสียที?

……

ในคืนวันนั้น มู่ฉินเจินก็ไข้ขึ้นสูงอีกครั้ง ทั่วร่างเปียกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อ เนื่องจากเคยเห็นมาหมดในครั้งแรกแล้ว คราวนี้เฉียวเยี่ยนจึงไม่เขินอายใดๆ ถอดทุกอย่างออกให้เขาจนเปลือยเปล่า และลองใช้แอลกอฮอล์เช็ดตัว

จวบจนครึ่งค่อนคืน อุณหภูมิของเขาก็ลดลงเสียที เฉียวเยี่ยนเองก็ง่วงแล้ว ทันทีที่ซุกตัวในผ้าห่มได้ก็ผล็อยหลับไปทันใด

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น นางก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา เรื่องที่ทำตอนลืมตาขึ้นอย่างแรกคือยื่นมือไปแตะหน้าผากของมู่ฉินเจิน เมื่อแน่ใจว่าเขาตัวอุ่นปกติก็เบาใจลง

ตอนนี้ยังเช้ามาก ทว่าประเดี๋ยวพวกเด็กๆ ต้องไปสำนักศึกษาแล้ว หลังจากลุกขึ้นล้างหน้าบ้วนปากก็เตรียมไปทำอาหารเช้า

มะเขือเทศน้อยในครัวหมดแล้ว นางจึงหิ้วตะกร้าเตรียมจะไปเก็บในเรือนกระจกสักเล็กน้อย ปกตินางชอบกินมะเขือเทศน้อยรสเปรี้ยวอมหวานเป็นผลไม้ ทั้งอร่อยทั้งฉ่ำน้ำมาก

เมื่อเดินผ่านลานฝึกซ้อมก็เห็นองครักษ์สองสามคนตื่นแต่เช้ามาฝึกซ้อมแล้ว ในตอนเช้าพวกเขาจะแลกเปลี่ยนกันสองสามรอบ ทว่าเช้านี้พวกเขากลับเหมือนคุณปู่รำมวยไทเก๊กอยู่ในสวนสาธารณะก็ไม่ปาน วาดลวดลายสะเปะสะปะ กระซิบกระซาบอะไรก็ไม่รู้

เฉียวเยี่ยนได้ยินว่าคนในนั้นกระซิบกระซาบคำว่ามู่ฉินเจินอย่างไม่ชัดเจน จึงเข้าไปหลบอยู่ข้างภูเขาปลอม ก็ได้ยินพวกเขาซุบซิบนินทากัน

“ก่อนหน้าข้าคิดไปมาอยู่ร้อยตลบก็ไม่เข้าใจว่าท่านอ๋องยืนตากฝนสี่วันเต็มไปทำไม แต่เมื่อคืนได้ยินว่าท่านอ๋องป่วย ข้าก็เข้าใจในทันที!”

“พระองค์ตั้งใจทำให้ตัวเองป่วย เพื่อให้เหนียงเหนียงสงสารพระองค์! ”

“จุ๊ๆๆ กลอุบายของชายที่ออกเรือนแล้วช่างเหนือชั้นนัก ทว่ามันดูหมาเกินไปหน่อย!”

ขณะที่สองสามคนคุยกัน เกาจัวหยวนก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย และลดเสียงลงอุบไว้ไม่ให้พวกเขารู้ “ซุบซิบนินทาคิดเองเออเองอะไรของพวกเจ้า สิ่งที่ศิษย์พี่รู้มาต่างหากถึงจะเป็นของแท้!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาองครักษ์ที่เหลือก็เบิกกว้างเป็นประกาย กระพริบตาปริบๆ รอคอยให้เขาเล่าออกมา

เกาจัวหยวนยิ้มภูมิใจ ยื่นนิ้วออกมาหนึ่งนิ้ว “กฏเดิม ไก่ย่างหนึ่งไม้”

“ชิ!”

พวกองครักษ์ที่เหลือต่างแค่นเสียงฮึดฮัดออกจมูก รู้อยู่แล้วว่าเจ้านี่มันต้องถือโอกาสเอ่ยเงื่อนไขออกมา!

แต่เพราะทนความอยากรู้ไม่ไหวจริงๆ พวกเขาจึงกัดฟันตอบตกลง

เกาจัวหนวนมองไปรอบๆ อย่างพึงพอใจ เมื่อพบว่าไม่มีใคร ก็กระซิบเล่าเรื่องที่มู่ฉินเจินให้เขากับมู่เวินเหยียนไปทำด้วยเสียงเบา

พวกองครักษ์ได้ยินเช่นนี้ ก็ขนลุกทั่วร่างโดยพลัน และส่งเสียงอย่างรังเกียจออกมา “อี๋!”

รอบตัวท่านอ๋องในตอนนี้เหม็นกลิ่นความรักอบอวล เรื่องที่ให้ทำช่างน่าเหลือเชื่ออะไรเพียงนี้ ทั้งเหม็นเปรี้ยวทั้งน้ำเน่า!

เกาจัวหยวนเลิกคิ้วขึ้น ก่อยเอ่ยกำชับ “ห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ไม่เช่นนั้นท่านอ๋องมิเพียงถลกหนังข้า พวกเจ้าเองก็หนีมิพ้นด้วย”

ขณะที่พวกองครักษ์กำลังขบคิดในประเด็นร้อนเมื่อครู่ ก็มีคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “ท่านอ๋องน่าจะคิดอยากจะมีลูกคนที่สอง”

คนที่เหลือก็แสดงท่าทางเห็นด้วย ท่านอ๋องกับหวางเฟยต่างแนบชิดสนิทกันแบบเจ้ามีข้าข้ามีเจ้าอยู่แล้ว ไม่นึกเลยว่าจะอยากเพิ่มระดับความสัมพันธ์ขึ้นอีก หากไม่ใช่เพราะอยากมีลูกคนที่สอง ยังจะเป็นอะไรไปได้อีก?

พวกเขาคุยกันอย่างเมามัน ไม่ทันสังเกตเฉียวเยี่ยนที่มีสีหน้าคร่ำเคร่งอยู่หลังภูเขาเทียม ในใจนางลุกโชนด้วยไฟโทสะแห่งความเสียใจ ทั้งโมโหที่มู่ฉินเจินแกล้งนาง และโมโหที่เขาเล่นกับร่างกายตัวเอง

นางเดินออกมาจากหลังภูเขาเทียม เมื่อพวกองครักษ์เห็นนาง ก็ตกใจกรีดร้องออกมา ในใจพวกเขาตอนนี้มีเพียงความคิดเดียว

แย่แล้ว! ถูกหวางเฟยจัดการแน่!

พวกเขายิ้มแหย โค้งคำนับเฉียวเยี่ยน และหมุนตัวเตรียมวิ่งหนีไป ทว่าเพียงก้าวเท้าไปก็ถูกเฉียวเยี่ยนตะโกนให้กลับมา

“พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!”

น้ำเสียงของเฉียวเยี่ยนเคลือบไปด้วยไอเย็นชา ไม่อ่อนโยนเหมือนอย่างเคย ทำให้พวกเกาจัวหยวนตกใจจนเหงื่อทะลักออกหน้าผาก

นางเดินเข้าไปใกล้ เชิดคางขึ้นเล็กน้อย ชี้เกาจัวหยวนพร้อมกล่าว “เจ้า เล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบมาอีกครั้ง”

เกาจัวหยวนอยากส่ายหน้าอย่างน่าสงสาร แต่เมื่อเห็นสายตาเฉียบคมของหวางเฟย เขาจึงทำได้เพียงเล่าเรื่องออกมาอย่างละเอียด

ท่านอ๋องน่ากลัว ทว่าหวางเฟยก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้เช่นกัน คู่รักสองคนนี้ ไม่มีใครให้เขายุแหย่ได้เลย

หลังจากเข้าใจเรื่องราวต้นสายปลายเหตุทั้งหมด เฉียวเยี่ยนก็โมโหจนอยากหัวเราะ ชายไร้เดียงสาคิดว่าการทำให้ตัวเองป่วยแบบนี้แล้วจะช่วยยกระดับความสัมพันธ์ของพวกเขาหรือ?

นางว่านะ มันไม่ได้ยกระดับความสัมพันธ์หรอก แต่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นต่างหาก!

หลังจากฟังพวกองครักษ์เล่าจบ นางก็หิ้วตะกร้าเดินออกไปเลือกผักในเรือนกระจกต่อ

หลังจากส่งหวางเฟยจนลับตาไปแล้ว ในใจเกาจัวหยวนก็วูบวาบจนหนาวสั่น เขาเอ่ยกับสหายพี่น้องข้างหลัง “พี่น้องทั้งหลาย หากข้าต้องตายอย่างน่าสลดใจ จำไว้ว่าให้มาเก็บศพข้าด้วย อย่าปล่อยให้ศพข้าถูกทิ้งไว้ในที่กันดารนะ! ”

เฉียวเยี่ยนเข้าไปในเรือนกระจก เก็บมะเขือเทศน้อยสีแดงสดตะกร้าหนึ่ง ความจริงนางสงบลงแล้ว และพอเดาเจตนาที่มู่ฉินเจินทำเช่นนี้ได้คร่าวๆ กระนั้นในใจยังคงรู้สึกหดหู่เล็กน้อย

เมื่อคืนนางถูกเขาแกล้งจนหน้าแดง และชายคนนี้ก็คงกำลังดูเรื่องสนุกอยู่!

เมื่อกลับไปที่เรือนจิ่งเสวียนและเข้าห้องครัวไปแล้ว ชายบางคนที่ถูกเปิดเผยความลับก็ได้ลุกขึ้นมาฝึกซ้อมในยามเช้า และกำลังออกหมัดอยู่ในลานบ้าน

ต้องยอมรับว่าคุณสมบัติร่างกายของท่านอ๋องช่างยอดเยี่ยมจริงๆ เมื่อวานยังเป็นไข้จนนอนซม มาวันนี้กลับแข็งแรงมีชีวิตชีวาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เมื่อเห็นเฉียวเยี่ยนเข้ามาในลานบ้าน เขาก็มองนางอย่างอ่อนโยนเช่นเคย ปกติเวลานี้นางจะเอ่ยอรุณสวัสดิ์กับเขา ทว่าเช้านี้เขากลับได้การกลอกตาใส่จากนาง

ใจเขาสะดุดไปครู่หนึ่ง ก่อนรีบเดินตามนางเข้าไปในห้องครัว และถามอย่างเป็นห่วง “เป็นอะไร? ใครยั่วยุให้เจ้าโมโหรึ? เจ้าพูดออกมาเถิด อย่าเก็บมันไว้ในใจ”

เฉียวเยี่ยนก็ยังไม่สนใจเขา และกลอกตาใส่เขาอีกครั้ง

ยังจะมีหน้ามาถามอีก คนร้ายที่ยั่วยุให้นางโมโหก็ยืนอยู่ตรงหน้านางมิใช่หรือไร?

มู่ฉินเจินเริ่มทบทวนตัวเอง และหวนนึกถึงเรื่องทั้งหมดที่ตัวเองทำเมื่อวานจนถึงวันนี้อีกครั้ง

หรือเรื่องเมื่อคืนจะทำให้นางอาย ไม่ใช่สิ ตอนนางตื่นนอนเมื่อเช้ายังดีๆ อยู่เลย แถมยังเป็นห่วงเขามากอีกด้วย

เขาครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายก็นึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งออกมา นั่นคือความลับของตัวเองได้ถูกเปิดเผยแล้ว มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่ทำให้เจ้าท่อนไม้โมโหจนไม่สนใจเขาได้

เกาจัวหยวน!

คนไม่รู้ความบางคนคงไม่อยากมีหนังของตัวเองจริงๆ สินะ!

เฉียวเยี่ยนก่อไฟบนเตาไฟเล็ก บนเตาเล็กวางกระทะไว้อันหนึ่งเพื่อนำมาทำแป้งย่างไข่ ใส่พริกหยวกบดกับต้นหอมสับลงไปในแป้งเหลวที่ทำเสร็จแล้ว จากนั้นเทลงบนกระทะเกลี่ยให้ทั่ว คอยจนแป้งสุกแล้ว ก็ตอกไข่ใส่ลงไปหนึ่งใบ และเจียวจนไข่สุก สุดท้ายโรยผงพริกเกลือลงไปก็เอาออกจากกระทะได้

นางทำแป้งย่างไข่หลายแผ่น และหยิบหม้อเครื่องเคลือบใบน้อยมาวางบนเตาเพื่อต้มน้ำเต้าหู้พลางตีหน้าขรึมอย่างโมโห กระทั่งสายตาก็ไม่แลไปทางมู่ฉินเจิน

มู่ฉินเจินในตอนนี้จึงเป็นเหมือนเด็กนักเรียนที่ถูกลงโทษให้หันเข้าหากำแพง เขาที่ยืนอยู่ด้านข้างอยากจะเปิดปากอธิบาย แต่กลับกลัวว่านางจะยิ่งโกรธขึ้นอีก

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ความลับไม่มีในโลกล่ะท่านอ๋อง โบ้ไปยาวๆ เลยจ้า

ไหหม่า(海馬)

ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม?

ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม?

Status: Ongoing
หลังตกภูเขาตายก็ได้มาเกิดใหม่ในร่างชายาอ๋องผู้ถูกเนรเทศที่กำลังคลอดบุตร​ แถมได้อยู่ในบ้านอันรกร้างมีแค่ที่ดินเปล่าๆ​ ผืนหนึ่งและระบบตัวช่วยชาวสวนที่จ้องแต่จะหักแต้มหากขี้เกียจ ต่อจากนี้ฉันจะทำยังไงดี?เรื่องย่อ: หลังพลัดตกภูเขาลงมาตาย​ วิญญาณของเฉียวเยี่ยนก็ได้มาเข้าร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งที่กำลังท้องแก่ใกล้คลอดบุตร​อย่างไม่ทันตั้งตัว​ พอตั้งตัวได้ก็ต้องปวดหัวกับเรื่องที่พบเจอ​ ได้แก่…​ 1.ตนเป็นชายาอ๋องที่มีความผิดฐานบังคับจิตใจสามีจนถูกเนรเทศ​มาอยู่ในบ้านโกโรโกโสแห่งนี้​ 2.ตนมีลูกกับเขาผู้นั้นแล้ว​ และยังเป็นลูกแฝด​ชายหญิง 3.ตนมีระบบปลาเค็มคอยเป็นผู้ช่วยในภารกิจต่างๆ​ ติดตัวมาด้วย​ แต่ดูเหมือนจะเป็นเจ้าหนี้นอกระบบมากกว่า​ ถ้าไม่ทำงานสร้างเนื้อสร้างตัวก็จะโดนหักแต้มเฉียวเยี่ยนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องงัดวิชาความรู้ทั้งหมดมาใช้ในการทำสวน​ หาเลี้ยงลูก​ สร้างฐานะให้ตัวเอง… ลำพังตัวข้าคนเดียวก็ทำได้โดยไม่ต้องพึ่งสามีอ๋องโบ้ผู้นั้นกระมัง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท