ตอนที่ 191 อี้จื่อจิ้นผู้เสียสติ
ตอนที่ 191 อี้จื่อจิ้นผู้เสียสติ
มันเทศกับพริกในหมู่บ้านม่ายเซียงกับหมู่บ้านจิ่วหลีพัวก็เข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวเช่นกัน ในช่วงนี้ พวกชาวนาจะตื่นก่อนรุ่งสาง พกเครื่องมือและตรงไปยังสวน
เหล่าบุรุษรับหน้าที่ขุดมันเทศ ส่วนเหล่าสตรีต่างเก็บพริกใส่ตะกร้าบนหลัง มื้อกลางวันกับมื้อบ่ายไม่กลับไปกินที่บ้าน จะมีเด็กที่โตหน่อยในบ้านทำอาหารมาส่งให้
หากไม่มีเด็กที่ทำอาหารเป็น ก่อนออกจากบ้านพวกเขาก็จะนำหมั่นโถวเย็นกับขนมแป้งทอดเย็นสองสามชิ้นติดตัวไปด้วย รับประทานพร้อมกับผักดองเพื่อประทังชีพไปสองมื้อ
หลังจากผ่านการปลูกเมื่อปีที่แล้ว พวกเขาก็ได้สั่งสมประสบการณ์ จนปลูกพืชในปีได้สะดวกและชำนาญขึ้นมาก ปริมาณผลผลิตก็มากขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ มันเทศหัวหนึ่งใหญ่สุดอยู่ที่ประมาณสองถึงสามชั่ง ซึ่งเพียงพอเป็นอาหารให้ทั้งครอบครัวมื้อหนึ่ง
ผลผลิตของพริกก็สูงมากเช่นกัน ครอบครัวหนึ่งต้องใช้เวลาไปสองวันต่อหนึ่งหมู่ถึงจะเก็บพริกเสร็จ
มันเทศกับพริกที่เก็บเกี่ยวได้ทั้งหมดจะถูกกองไว้ตรงถนนข้างแปลง และจะมีขบวนรถมาขนออกไป นอกเหนือจากที่พวกชาวบ้านเก็บไว้เองแล้ว ทั้งหมดจะถูกขนส่งไปยังเมืองหลวง
เรือนกระจกของเฉียวเยี่ยนกำลังเก็บเกี่ยวอย่างเฟื่องฟู่ ในขณะที่ในจวนของเหล่าชนชั้นสูงที่สร้างเรือนกระจกตามกลับมีสภาพน่าสังเวช บางคนถึงขั้นเกือบล้มละลายเพราะสร้างเรือนกระจกเลยทีเดียว
อี้จื่อจิ้นยังไม่ยอมแพ้ ควักเงินจำนวนมากลงทุนไปกับเรือนกระจกอีกครั้ง จนกระทั่งท่านอัครเสนาบดีเริ่มมีความเห็นต่าง รู้สึกว่าการลงทุนเงินกับเรือนกระจกนั้นเป็นการเสียเงินไปเปล่าๆ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์นัก
เขาปลอบใจตัวเองอยู่ในใจ จวนอัครเสนาบดีของพวกเขามีวิชาของตระกูลที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษอยู่แล้ว และมันหาใช่การทำการเกษตรไม่
แต่อี้จื่อจิ้นตอนนี้ดูคล้ายคนเสียสติก็ไม่ปาน ไม่ว่าบุพการีจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร นางก็จะมุ่งไปสู่เส้นทางความมืดมิดอยู่อย่างนั้น แม้กระทั่งย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านไร่โดยตรงเพื่อศึกษาวิถีการทำสวนด้วยตัวเอง
ในใจนางมีความคิดอยู่ในส่วนลึกมาตลอดแค่เพียงอย่างเดียว เหตุที่เฉียวเยี่ยนชนะใจมู่ฉินเจินได้ นั้นต้องเป็นเพราะนางรู้วิธีการทำสวน เพราะนางพบวิธีที่แตกต่าง ไม่เหมือนกับคนอื่น ถึงทำให้เขาเกิดความรู้สึกแปลกใหม่ขึ้นมา
ดังนั้นนางก็ต้องเรียนรู้การทำสวนให้เป็น และต้องทำให้ดีกว่าเฉียวเยี่ยนด้วย!
ด้วยการอาศัยแรงกระตุ้นกับความแน่วแน่ นางจึงปล่อยให้เฉียวเยี่ยนมีชีวิตที่สงบไปก่อนระยะหนึ่ง ไม่ไปสร้างปัญหาให้นาง
ความจริงแล้วเฉียวเยี่ยนก็นับถืออี้จื่อจิ้นเช่นกัน นับถือตรงที่นางมีความตั้งใจมั่นคงดุจเหล็กกล้า
ทุกครั้งที่มู่ฉินเจินเห็นนางก็มักจะมองนางด้วยสีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง ถึงขั้นทำให้นางปล่อยไก่ครั้งแล้วครั้งเล่า หากเปลี่ยนเป็นคนทั่วไปแล้ว อย่าว่าแต่รักเลย ไม่เปลี่ยนมาเป็นชังก็ดีถมเถแล้ว
ทว่านางมิเพียงไม่ยอมแพ้ แต่ยังบ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ น่าเสียดายที่ยุคนี้เป็นยุคโบราณ หากเป็นสมัยปัจจุบัน นางน่าจะถูกส่งไปที่โรงพยาบาลจิตเวชนานแล้ว
คุณหนูผู้มั่งคั่งคิดทึกทักเองว่าอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเกษตรสองเล่มก็ถือว่าเข้าใจการปลูกผักแล้ว เลยชี้นิ้วสั่งพวกชาวนาทำงานอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า ทำให้พวกเขาทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง
พวกเขาต่างเป็นชาวนาที่เช่าที่ทำมาหากิน ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง ทุกปีต้องจ่ายค่าเช่าที่ดิน ปลูกพืชในที่ดินของจวนอัครเสนาบดี ตอนนี้เป็นอย่างไรล่ะ ที่ดินถูกคุณหนูผู้ยิ่งใหญ่ยึดไปสร้างเรือนกระจกจนไม่มีที่ให้เพาะปลูกแล้ว
เรื่องที่พวกชาวบ้านในหมู่บ้านลวี่หลัวอาศัยเรือนกระจกของซู่หวางเฟยร่ำรวยขึ้นมาพวกเขาต่างก็รู้ และอิจฉาอย่างมาก เดิมทีคิดว่าตัวเองจะสามารถมีชีวิตที่ดีเหมือนอย่างพวกเขาได้ แต่ผลที่ได้ก็คือมีเจ้านายต่างคนกัน ค่าตอบแทนก็ต่างกันลิบลับเช่นกัน
เมื่อใดที่ปลูกผักแล้วไม่งอก อี้จื่อจิ้นก็โยนความรับผิดชอบมากดทับหัวพวกเขา มิเพียงไม่จ่ายค่าจ้าง แต่ยังเรียกใช้ให้พวกเขาทำงานด้วย!
แม้จะโมโหเพียงใดแต่ก็มิกล้าเอ่ยปาก เพราะในบ้านไม่มีอะไรจะกินแล้วน่ะสิ!
ทว่าอี้จื่อจิ้นกลับจมจ่ออยู่ในโลกของตัวเอง คนที่ไม่แม้แต่จะรู้ด้วยซ้ำว่าจอบหนักเท่าใดกลับเอาแต่สั่งกลุ่มชาวนาให้ปลูกผัก แม้พวกชาวนาจะรู้ว่าวิธีการปลูกเช่นนี้ผักจะเติบโตได้ไม่ดี แต่พวกเขาก็มิกล้าขัด
ไม่อยากคิดเลยว่าถึงครานั้นหากผักไม่งอกออกมา พวกเขาก็คงไม่วายต้องรับผิดชอบอีก
ตอนนี้เป็นช่วงการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง พื้นที่เรือนกระจกของเฉียวเยี่ยนมีรถม้ารถลากแวะเวียนไปมาทุกวัน จนหมู่บ้านใกล้เคียง รวมถึงคนที่เดินผ่านไปมาต่างก็อิจฉาอย่างมาก ในเมืองหลวงก็เกิดกระแสนับถือเลื่อมใสในตัวนางขึ้น
แต่ในเรือนกระจกที่อี้จื่อจิ้นสร้างกลับไม่มีอะไรเจริญเติบโต มีเพียงผักกาดขาวไม่กี่ต้นที่เติบโตมาแบบแคระแกร็นน่าเกลียด ในชั่วพริบตาเดียว จวนอัครเสนาบดีก็กลายเป็นตัวตลกของคนทั้งเมืองหลวง
ที่เฉียวเยี่ยนรู้เรื่องนี้ ก็เพราะฮุ่ยเซียงชอบไปฟังเรื่องนินทาทุกวัน หลังฟังจบก็กลับมาเล่าเลียนแบบอย่างสมจริงให้นางฟัง
ท่าทางพึงพอใจนั้น หากมีหางงอกออกมาได้ เกรงว่าคงชี้ขึ้นฟ้าไปแล้ว
ข้ารับใช้คนอื่นในตำหนักก็ได้ใจอย่างมาก ยามออกไปเดินบนถนนใหญ่ก็จะเชิดหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ปล่อยให้พวกเจ้าเลียนแบบ ปล่อยให้พวกเจ้าแอบเรียนทักษะของหวางเฟยเรา ตอนนี้อับอายขายขี้หน้าแล้วสินะ!
แต่กระแสเก็บเกี่ยวพืชยังไม่ทันหมดไป ก็มีการเก็บเกี่ยวชุดใหญ่ที่ทำให้คนทั่วเมืองหลวงประหลาดใจขึ้นมาอีกครั้ง!
ลูกท้อ ลูกท้อมากมายมหาศาล!
รถม้าบรรจุลูกท้อหลายคันขนส่งมายังเมืองหลวง ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นท้อน้ำผึ้ง ลูกโต สีสด มองดูแล้วน่าอร่อยและดูฉ่ำน้ำมาก
ขณะที่รถเคลื่อนผ่านถนนในเมืองหลวง ผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาหยุดดู ครั้นเห็นตะกร้าลูกท้อบนรถม้าเป็นตั้งๆ ทุกคนต้างอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ
บนรถม้ามีสัญลักษณ์ของตำหนักอ๋องซู่ แค่ทุกคนเห็นก็รู้แล้วว่านี่ต้องเป็นของที่ซู่หวางเฟยผลิตออกมาเป็นแน่
ทว่านางไปเก็บลูกท้อน้ำผึ้งที่ไหนมาเยอะแยะปานนี้? และไม่เคยได้ยินเลยว่าใกล้ๆ เมืองหลวงจะมีต้นลูกท้อน้ำผึ้งเลยนะ!
พวกคนบนถนนต่างพากันคาดเดา บางคนบอกว่าซู่หวางเฟยไปกวาดซื้อมาทุกที่เป็นจำนวนมาก
ทว่าความคิดนี้ก็ถูกคนปัดทิ้งทันที เพราะลูกท้อพวกนี้ยังมีใบท้ออยู่เลย ซึ่งมันดูสดใหม่มาก หากเป็นการซื้อมา เมื่อขนส่งมาถึงเมืองหลวงจะต้องเน่าเสียแล้ว
ทุกคนคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ แต่ละคนแสดงความเห็นที่เป็นทฤษฏีออกมา บอกว่าเฉียวเยี่ยนเป็นปีศาจ หรือไม่ก็เป็นเทพเซียนผู้ทรงอิทธิฤทธิ์
กระนั้นไม่นาน ความจริงก็แพร่ออกมา
ที่แท้ลูกท้อพวกนี้มาจากสวนป่าท้อในหมู่บ้านจิ่วหลีพัวนี่เอง
คนจำนวนมากไม่รู้จักหมู่บ้านจิ่วหลีพัวดี แค่คิดว่ามีต้นท้อก็ออกผลท้อได้ แต่คนที่รู้สถานการณ์ในหมู่บ้านจิ่วหลีพัวคนแรกก็กระโดดออกมาแก้ข่าวปลอม
เห็นๆ กันอยู่ว่าในสวนป่าท้อหมู่บ้านจิ่วหลีพัวล้วนเป็นท้อขน จะออกผลมาเป็นท้อน้ำผึ้งไดอย่างไร!
เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป ทุกคนก็ประหลาดใจอีกครั้ง และคิดว่านี่เป็นข่าวปลอม
แต่คนที่แพร่ข่าวกลับตบอกรับรองว่าข่าวของเขาคือเรื่องจริง เพราะน้องของลูกพี่ลูกน้องลูกป้าสามของเขาแต่งเข้าไปในหมู่บ้านจิ่วหลีพัว และเห็นซู่หวางเฟยเปลี่ยนต้นท้อขนเป็นต้นท้อน้ำผึ้งกับตาตัวเอง
พวกผู้คนต่างส่งเสียงฮือฮากันเกรียวกราว คาดไม่ถึงว่าจะมีคนเชื่อว่าซู่หวางเฟยไม่เป็นปีศาจก็เป็นเซียนอย่างที่ว่า
ไม่เช่นนั้นใครเล่าจะนำกิ่งต้นท้อน้ำผึ้งไปทาบกับกิ่งต้นท้อขนแล้วยังมีชีวิตรอดได้?
เฉียวเยี่ยนทำเป็นฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาต่อข่าวภายนอกพวกนี้ ก่อนพาทั้งครอบครัวไปเก็บลูกท้อที่หมู่บ้านจิ่วหลีพัว
คราวนี้พวกเขาแอบออกไปจากเมืองหลวงอย่างเงียบๆ เพราะฮ่องเต้เฒ่าเสด็จตามไปด้วย เมื่อพิจารณาสถานะที่พิเศษของเขา ก็ยิ่งต้องปกปิดที่อยู่อย่างเงียบเชียบ
สองสามวันนี้ฝ่าบาทบอกแก่ข้าราชบริพารว่าประชวร แม้แต่ว่าราชกิจในยามเช้าก็ยกเลิก เรื่องบ้านเมืองจึงมอบให้มู่ฉินเจินจัดการแทนชั่วคราว และด้วยเหตุนี้ มู่ฉินเจินจึงมิอาจตามไปหมู่บ้านจิ่วหลีพัวด้วยกันได้
ไม่กี่เดือนก่อนฮองเฮาไปที่สวนป่าท้อแล้ว กลับมาก็เล่าให้ฝ่าบาทฟังว่าทิวทัศน์สวยงามเพียงใด จนทำให้ฝ่าบาทจั๊กจี้พระทัยมาเนิ่นนานแล้ว
ลูกท้อชุดแรกที่ขนส่งมาเฉียวเยี่ยนเก็บไว้แค่พอรับประทานในครอบครัว ส่วนที่เหลือก็ส่งไปในพระราชวัง
ฮ่องเต้เฒ่าเห็นลูกท้อน้ำผึ้งทั้งใหญ่ทั้งแดง ก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือผลบนต้นท้อขน ใจที่อยากจะไปเยือนหมู่บ้านจิ่วหลีพัวก็ยิ่งร้อนรนขึ้น
เฉียวเยี่ยนคิดว่าฮ่องเต้กับฮองเฮาต่างก็ไปเยือนแล้ว จึงพามารดากับพี่ชายไปด้วย ประจวบเหมาะทั้งครอบครัวจะได้ไปผ่อนคลายพอดี น่าเสียดายที่ท่านอ๋องไม่สามารถไปด้วยได้
กระนั้นเรื่องบ้านเมืองจะทำเป็นเล่นมิได้ แม้นนางจะอาลัยเพียงใด ก็มิควรรบกวนเวลาทำงานของเขา
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
มีความพยายามแต่ไม่มีความรู้ มันก็เป็นการกระทำที่สูญเปล่านะคุณหนูอี้
ไหหม่า(海馬)