ตอนที่ 203 ก่อตั้งกองคาราวาน
ตอนที่ 203 ก่อตั้งกองคาราวาน
เมื่อคำพูดนางออกมา ท่านอ๋องบางคนก็ยิ่งอารมณ์เสียมากขึ้น “เจ้าว่าข้าปัญญาอ่อนรึ!”
เจ้ามิเพียงไม่ชอบดอกไม้ที่ข้ามอบให้ แต่ยังรังเกียจที่ข้าปัญญาอ่อนด้วย!
เฉียวเยี่ยน “…”
ไฉนถึงได้รู้สึกว่าที่นางง้ออยู่หาใช่สามี แต่เป็นเด็ก และเป็นเด็กโตอายุยี่สิบเจ็ดปีกันนะ
แต่จะทำอย่างไรได้? ใครใช้ให้เขาเป็นสามีที่รักกันล่ะ
“เอาล่ะๆ ดอกไม้ที่ท่านเก็บมาสวยที่สุด ในโลกหล้านี้ที่ท่านเก็บมาสวยที่สุดแล้ว”
เฉียวเยี่ยนโน้มศีรษะเขามาลูบผมเหมือนลูบหัวสุนัข มู่ฉินเจินฟุบอยู่บนบ่านาง และแอบยกยิ้มขึ้นเมื่อลับสายตานาง
……
เดือนสี่ สตรอเบอรีในเรือนกระจกยังอยู่ในช่วงเก็บเกี่ยว ตอนนี้สตรอเบอรีมีไม่พอต่อความต้องการแล้ว เพราะบรรดาพ่อค้ามั่งคั่งที่อยู่ด้านนอกหลายคนต่างเข้ามาในเมืองหลวงโดยเฉพาะเพื่ออยากลองชิมสตรอเบอรีอันแสนวิเศษนี้
ยามนี้อากาศอบอุ่น ทำให้เฉียวเยี่ยนนึกถึงแผนการหนึ่งเมื่อปีก่อน ในที่สุดก็สามารถเริ่มปฏิบัติจริงได้แล้ว
นางเตรียมจะสร้างกองคาราวานของโรงงานเฉียวจี้เอง
ตอนนี้สินค้าของโรงงานเฉียวจี้ได้ส่งไปขายทางทิศใต้กับทิศเหนือโดยกองคาราวานในความร่วมมือแล้ว ส่วนกองคาราวานเฉียวจี้จะรับหน้าที่ขนส่งไปทางตะวันออกกับตะวันตก ขยายอิทธิพลไปทั่วทั้งบ้านเมือง
ผู้สมัครที่ดีที่สุดสำหรับกองคาราวานยังคงเป็นทหารปลดประจำการ
ทหารบางคนมีสมรรถภาพร่างกายและทักษะดีมาก แต่เมื่ออายุถึงเกณฑ์ ก็ต้องออกไปจากค่ายทหาร
เฉียวเยี่ยนอยากเรียกให้พวกเขามารวมตัวกัน ให้เป็นกองคาราวานขนาดใหญ่
ทว่าการเปิดเส้นทางการค้าในเขตแดนทางทิศตะวันตกนั้นไม่ง่ายเช่นนั้น เขตแดนทางทิศตะวันตกไม่สงบเหมือนเมืองหลวง มีโจรชุกชุม มีกองคาราวานมากมาย สินค้าที่กองคาราวานขนมาจำนวนมากจะกลายเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่ง ซึ่งเป็นเส้นทางอันตรายอย่างยิ่ง
หากไม่ระวัง สินค้าก็จะเสียหายผู้คนก็จะล้มตาย กล่าวได้ว่างานนี้เป็นงานเสี่ยงตายงานหนึ่ง
เฉียวเยี่ยนบอกความคิดตัวเองกับมู่ฉินเจิน มู่ฉินเจินเห็นด้วยอย่างมาก และช่วงนี้มีทหารปลดประจำการที่จะออกจากค่ายทหารไปพอดี หากหางานที่เหมาะให้กับพวกเขาได้ เขาก็จะวางใจไปไม่น้อย
ตอนที่มู่ฉินเจินไปที่ค่ายทหาร ก็บอกงานนี้ให้แก่พวกนายพล แล้วให้พวกเขาแจ้งทหารปลดประจำการใต้บังคับบัญชาที่เตรียมจะออกจากค่าย หากมีคนยินยอม ก็ให้มาสมัคร
สิ่งที่ทำให้เฉียวเยี่ยนคาดไม่ถึงก็คือ ทหารปลดประจำการเกือบหนึ่งร้อยนาย มีสองในสามส่วนที่มาสมัคร ที่เหลือพวกนั้นส่วนใหญ่พะวงเรื่องทางบ้าน มิอาจเดินทางไกลได้
เฉียวเยี่ยนมีชื่อเสียงมากในค่ายทหาร ทหารปลดประจำการชุดก่อนๆ ถูกนางจัดหางานให้ พวกเขาต่างได้ยินมาว่า สหายร่วมรบในนั้นหลายคนได้แต่งงานไปแล้ว บ้านก็สร้างใหม่ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้แต่ลูกก็มีแล้ว
ทั้งหมดนี้เป็นคุณงามความดีของหวางเฟย นางให้รายได้ที่มั่นคงแก่พวกเขา ให้เงินทุกเดือนสองตำลึง บางครั้งก็ได้มากกว่าเดิม ซึ่งไล่ตามรายได้ครึ่งปีของคนธรรมดาได้แล้ว
ในตอนที่พวกเขายังไม่ปลดประจำการก็หวังว่าจะมีงานมั่นคงทำหลังเกษียณได้ และตอนนี้ก็มีแล้ว มันช่างเปรมปรีดิ์นัก
แม้ท่านอ๋องจะเอ่ยก่อนแล้วว่างานกองคาราวานไม่ได้สบาย ต้องพบเจอกับพวกอันธพาล แถมยังอาจจะเสียชีวิตได้
กระนั้นพวกเขาก็มิกลัว หลังจากเคยชินกับชีวิตบ้าดีเดือดในค่ายทหารแล้ว จู่ๆ จะให้พวกเขากลับไปทำนาที่บ้าน พวกเขากลับจะไม่เคยชินเอาเสียมากกว่า
มิสู้ท่องไปในโลกภายนอก พบเจอกลุ่มโจรก็ฆ่าพวกเขาไม่ให้เหลือซาก นับว่าเป็นการทำคุณงามความดีให้แก่บ้านเมืองแล้ว
ทหารปลดประจำการที่สมัครมาร่วมกองคาราวานมีทั้งหมดหกสิบสองนาย เฉียวเยี่ยนยังคงทำตามกฏเช่นเดิม หาท่านหมอมาตรวจร่างกายให้พวกเขาก่อน คนที่มีโรคเรื้อรังหรือไม่เหมาะกับการเดินทางไกลล้วนถูกคัดออกหมด
มีทหารปลดประจำการสองสามนายที่ได้รับบาดเจ็บเพราะไปรบ แม้ตอนนี้ร่างกายจะฟื้นฟู่กลับมาเหมือนเดิมแล้ว ทว่ายังมีอาการหลงเหลืออยู่ มิอาจเข้าร่วมการเลือกในรอบนี้ได้
พวกเขาหูลู่หางตกอย่างผิดหวัง กระนั้นไม่นาน คำพูดของเฉียวเยี่ยนกลับทำให้พวกเขาฟื้นคืนชีวิตอีกครั้ง
แม้จะไปเป็นกองคาราวานไม่ได้ แต่พวกเขาสามารถเข้าไปทำงานในกิจการอื่นๆ ของนางได้
ปีนี้ เฉียวเยี่ยนวางแผนจะขยายโรงงานกับเรือนกระจก ถึงตอนนั้นต้องการคนงานชุดใหญ่ เหลือคนพวกนี้เอาไว้ก็กำลังเหมาะพอดี
สุดท้ายเหลืออยู่ในกองคาราวานห้าสิบคนพอดี เฉียวเยี่ยนก็แต่งตั้งผู้คุมงานคนหนึ่งในโรงงานมาเป็นหัวหน้าใหญ่ของกองคาราวาน ทำหน้าที่นำพวกเขาขนส่งสินค้าไปยังเขตแดนทางตะวันตก
ผู้คุมงานอยู่ในโรงงานมาตั้งแต่ก่อตั้ง และรู้จักสินค้าทุกอย่างในโรงงานเป็นอย่างดี
สภาพอากาศระหว่างขนส่งสินค้าสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอด ซึ่งทักษะในการรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ของเขานั้นค่อนข้างสูง ความเป็นไปได้สูงสุดก็คือรับรองได้ว่าสินค้าไม่เสื่อมสภาพ
อีกทั้งเมื่อไปถึงเขตแดนทางทิศตะวันตกแล้วจะเปิดเส้นทางการค้าอย่างไร ก็จำเป็นต้องมีหัวสมองทางธุรกิจบ้าง
ทหารปลดประจำการชุดนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวนาโดยกำเนิด รู้จักตัวอักษรไม่มาก ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการทำกิจการเลย มีความกล้ามีฝีมือก็จริง แต่ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำ
หลายปีก่อนมู่ฉินเจินอยู่ในค่ายทางซีเป่ยมาตลอด และมีกิจการของตัวเองอยู่ในเขตซีเป่ย เมื่อขนส่งสินค้าเข้าไปได้แล้ว ก็เริ่มนำเสนอจากในร้านตัวเองก่อนได้
เนื่องจากตัวเลขความเสี่ยงของกองคาราวานค่อนข้างสูง ดังนั้นเงินเดือนที่เฉียวเยี่ยนให้จึงค่อนข้างสูงด้วย เงินเดือนพื้นฐานสามตำลึงต่อเดือน หลังจากสินค้าขายออกไปได้แล้วก็ยังได้ค่าส่วนแบ่งอีก ส่วนผู้คุมงานก็จะยิ่งได้สูงขึ้น
เมื่อได้ยินจำนวนเงินเดือนนี้ กลุ่มชายฉกรรจ์ก็ตกใจ แค่ส่งสินค้า หนึ่งเดือนได้เงินสามตำลึง? แถมยังได้เพิ่มอีก?
พวกเขากลัวว่าหวางเฟยจะเสียเปรียบเอานะสิ!
ทว่าต่อมาก็ยังมีสิ่งที่พวกเขาตกใจอีก
หวางเฟยเหนียงเหนียงให้ชุดใหม่แก่พวกเขาคนละสองชุด อาวุธก็ทำมาจากเหล็กกล้าบริสุทธิ์
ตอนอธิบายข้อควรระวังให้ฟังก็ยิ่งเน้นย้ำว่า สินค้าเสียหายได้ แต่ชีวิตจะเสียไปมิได้ เมื่อเจอศัตรูที่ต่อสู้ไม่ไหวก็ทิ้งสินค้าไปได้เลย การรักษาชีวิตไว้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
คำพูดนี้ทำให้คนในกลุ่มทั้งห้าสิบคนต่างแสดงออกทางสีหน้า ในบรรดาพวกเขามีคนเคยออกมาจากสำนักคุ้มภัย สำนักคุ้มภัยเชื่อในหลักการที่ว่า คนคุ้มภัยอยู่คนอยู่ คนคุ้มภัยตายคนตาย แม้ต้องดิ้นรนสุดชีวิตก็ต้องปกป้องให้ได้
แต่ยามนี้เมื่อได้ยินคำพูดของหวางเฟยเหนียงเหนียง กลับทำให้พวกเขาปวดใจจนอยากหลั่งน้ำตาออกมา
หลังจากอบรมสมาชิกกองคาราวานไปสองสามวัน พวกเขาก็เริ่มออกเดินทางได้แล้ว
รถม้าสิบกว่าคัน เรียงต่อกันเป็นแถวยาวรอลำเลียงสินค้า
สินค้าถูกลำเลียงขึ้นบนรถทีละตะกร้า พวกสมาชิกกองคาราวานต่างมองจนตาลาย แต่ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกรับผิดชอบที่อยู่ในใจก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
สินค้ารอบนี้มีปริมาณมาก หากเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น ความเสียหายของหวางเฟยเหนียงเหนียงต้องมหาศาลเป็นแน่ พวกเขาต้องทำตัวให้กระฉับกระเฉงเข้าไว้ อย่าได้ทำลายความไว้วางใจของหวางเฟยเหนียงเหนียงเป็นอันขาด
เส้นมันเทศกับฮั่วกัวตี่เลี่ยวที่บรรจุซองค่อนข้างลำเลียงใส่รถได้ง่าย วางไว้อย่างเป็นระเบียบ แล้วใช้ผ้าใบกันน้ำมาคลุมก็เป็นอันเสร็จ แต่พวกที่เป็นขวดโหลต่างๆ ต้องเสียเวลาจัดเรียงสักหน่อย
มิเพียงต้องระวังแรงสั่นสะเทือน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ขวดโหลชนกันแตก แต่ยังต้องระวังการระบายอากาศ เพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าเสื่อมสภาพด้วย
เมื่อถึงวันที่กองคาราวานออกเดินทาง เฉียวเยี่ยนไปส่งพวกเขาถึงนอกเมือง คนห้าสิบคนสวมชุดอย่างเดียวกัน เสื้อผ้าบนอกซ้ายมีสัญลักษณ์ของโรงงานเฉียวจี้ ขบวนด้านหน้าสุดเป็นธงขนาดใหญ่ที่มีตัวอักษรสีดำบนพื้นสีแดง และบนนั้นก็มีสัญลักษณ์ของโรงงานเฉียวจี้เช่นกัน
ทัพขบวนดูฮึกเหิมเกียงไกร ทหารประจำการห้าสิบคนมีดาบยาวคาดเอวไว้ ท่าทางดูเงียบเคร่งขรึม แค่เห็นก็ดูไม่น่าไปยุแหย่ด่วย
ผู้คนสองข้างทางต่างหยุดชะงักทุกอย่าง และตกใจกลัวอานุภาพนี้มาก
มันดูยิ่งใหญ่เกรียงไกรเกินไปหรือไม่?
คำถามนี้เฉียวเยี่ยนเคยคิดแล้ว แต่ขบวนของพวกเขาก็ยิ่งใหญ่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จะเกรียงไกรมากแค่ไหนก็ไม่เกรียงไกรไปกว่านี้แล้ว เพราะยังเป็นที่หมายหัวของกลุ่มโจรเช่นเดิม
มิสู้ทำให้มันเกรียงไกรขึ้น ให้พวกเขาได้เห็นความแข็งแกร่ง แบบนี้หนึ่งผ่านสิบ สิบผ่านร้อย(1)เดิมทีไม่เก่งกาจอะไร ก็ยังถูกโม้อย่างโอ่อ่าได้
ก่อนที่พวกโจรจะลงมือ ก็ต้องหยุดคิดอยู่หลายตลบบ้างแหละ
………………………………………………………………………………………………………………………….
(1)หนึ่งผ่านสิบ สิบผ่านร้อย หมายถึงเรื่องราวแพร่กระจายโดยเร็ว
สารจากผู้แปล
ไม่เชื่อว่าจะได้เห็นด้านปัญญาอ่อนของท่านอ๋องนะคะ
กิจการยิ่งใหญ่สุดๆ เฉียวจี้ยิ่งใหญ่ เกรียงไกร นัมเบอร์วัน ตัวแม่ ตัวมัม ตัวมารดา ตัวบุพการี
ไหหม่า(海馬)