ตอนที่ 210 ยาถูกขโมย
ตอนที่ 210 ยาถูกขโมย
อี้จื่อจิ้นกระโดดลอยท่ามกลางอากาศ กระโปรงผ้าโปร่งสยายลอยขึ้นยามที่การร่ายรำมาถึงจุดสำคัญ ตามด้วยเสียงปรบมือของแขกดังเกรียวกราว และมีคนไม่น้อยที่ตะโกนว่าเยี่ยมยอด
ในตอนที่ทุกคนคิดว่าการร่ายรำกำลังจะจบลง กลับมีเสียงขลุ่ยตี๋(1)อันไพเราะดังขึ้นนอกห้องโถง
ทันทีที่เสียงขลุ่ยตี๋ดังขึ้น เสียงกู่ฉินเมื่อครู่ก็พลันกังวานแจ่มใสรับกับเสียงขลุ่ยตี๋ และท่าทางร่ายรำของอี้จื่อจิ้นก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
ทุกคนทึ่งกับการเปลี่ยนแปลงนี้ พลางชะเง้อมองออกไปนอกห้องโถง แม้แต่ฮ่องเต้เฒ่าก็ยังฉงนว่าผู้ใดเป็นคนเป่าขลุ่ยตี๋
เสียงขลุ่ยตี๋ค่อยๆ ดังใกล้เข้ามา ด้านนอกมีคุณชายผู้สูงศักดิ์ดุจลมเย็นจันทร์กระจ่างเดินเข้ามา เขามองไปที่อี้จื่อจิ้นบนเวทีด้วยรอยยิ้มระบายเต็มใบหน้า และอี้จื่อจิ้นเองก็เงยหน้ามองเขาเช่นกัน ทั้งสองมองกันและกัน ในดวงตามีความสนิทสนมที่อธิบายไม่ถูก
เป็นมู่เจ๋อจิ่นจริงๆ ด้วย!
ท่านอ๋องผู้ไม่ปรากฏตัวออกมานานวันนี้กลับปรากฏตัวออกมา อีกทั้งวิธีการปรากฏตัวยังดูยิ่งใหญ่สมฐานะเช่นนี้อีก
พริบตาที่เฉียวเยี่ยนเห็นมู่เจ๋อจิ่น ความฉงนที่มีเมื่อครู่ก็สลายหายไปจนสิ้น
ไยนางจึงรู้สึกว่าฉากตรงหน้ามันเหมือนกับคนที่มีแผนการในใจกำลังจงใจล่อลวงหญิงสาวล่ะ?
อี้จื่อจิ้นกับมู่เจ๋อจิ่น คนหนึ่งเป่าขลุ่ยตี๋ อีกคนร่ายรำ ช่างเข้าขากันอย่างราบรื่น จนใครที่ได้เห็นต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นการจับคู่ที่สวรรค์สรรค์สร้างขึ้น
ครั้นการแสดงจบลง มู่เจ๋อจิ่นก็เก็บขลุ่ยตี๋ รออี้จื่อจิ้นลงจากเวที จากนั้นค่อยๆ คารวะองค์ฮ่องเต้ “ลูกขออวรพรให้เสด็จพ่อมีโชคลาภดุจทะเลบูรพา อายุยืนยาวเสมือนเขาทักษิณ”
ฮ่องเต้เฒ่ายังคงงุนงง เป็นเพราะไม่ได้เจอโอรสองค์นี้มานานจริงๆ และจู่ๆ เขาก็มาปรากฏตัวในตอนนี้ จึงไม่คุ้นชินเสียเท่าใดนัก
ฮองเฮาลอบดึงชายแขนเสื้อชายชราเรียกสติเขากลับมา ฮ่องเต้เฒ่าถึงได้ตรัสขึ้น “เจ๋อจิ่นกลับมาแล้ว รีบลุกขึ้นเถิด”
จากนั้นก็สั่งหวังกงกงจัดที่นั่งให้มู่เจ๋อจิ่น
พวกขุนนางต่างก็มีสีหน้างุนงง ท่านอ๋องที่ไม่เคยโผล่ออกมาหลายปีผู้นี้จู่ๆ ก็ปรากฏตัวออกมา เป็นเพราะเรื่องอะไรกันแน่?
หลังจากที่มู่ฉินเจินเห็นมู่เจ๋อจิ่น เขาก็มีความเห็นเดียวกับเฉียวเยี่ยน และคิดว่าการกระทำเช่นนี้ของอีกฝ่ายต้องเป็นเรื่องไม่ธรรมดา
ก่อนหน้านี้เขาส่งคนไปสืบหาสถานการณ์ของอีกฝ่ายแล้ว แต่ก็คว้าน้ำเหลว นอกจากเรื่องร่างกายอ่อนแอมีหลายโรคที่ทุกคนต่างรู้ดี ก็ไม่มีเรื่องอื่นใดอีก
การแสดงของอี้จื่อจิ้นจบลงก่อนเข้ารับพระราชทานรางวัลจากฮ่องเต้ จากนั้นก็กลับไปนั่งข้างมารดา ทว่าสายตาประสานกับมู่เจ๋อจิ่นเป็นครั้งคราว
เฉียวเยี่ยนสัมผัสได้ถึงความผิดปกติในนั้น คุณหนูท่านนี้คงไม่เปลี่ยนใจไปซุกอ้อมกอดคนอื่นหลังจากที่เพิ่งล้มเหลวในการสารภาพรักกับท่านอ๋องของนางหรอกใช่ไหม?
แน่นอนว่าต่อให้เป็นเช่นนั้นจริง นางก็ไม่มีสิทธิ์ไปยุ่ง แต่คงต้องฉลองด้วยซ้ำที่มีสตรีผู้ถวิลหามู่ฉินเจินน้อยลงไปอีกหนึ่งคน
แต่ว่า แค่มองมู่เจ๋อจิ่นก็รู้แล้วว่าเป็นคนไม่ดี เขามาพัวพันกับอี้จื่อจิ้นเพื่ออะไรกันแน่?
งานเลี้ยงดำเนินไปจนสิ้นสุดตอนใกล้ถึงยามจื่อ ตั้งแต่กลับมาจากวัง เด็กทั้งสองต่างพากันหลับไหลประหนึ่งแมวน้อย
เฉียวเยี่ยนกับมู่ฉินเจินแบ่งกันอุ้มคนละคน และคุยถึงเรื่องในงานเลี้ยงกันเสียงเบา
พวกเขาไม่รู้ว่ามู่เจ๋อจิ่นจะทำอะไร แต่ที่แน่ๆ ก็คือต้องเตรียมป้องกันไว้ก่อนจึงจะเหมาะสม!
……
ฮ่องเต้เฒ่าเชิญทูตต่างอาณาจักรมาไม่น้อย ซึ่งช่วยขับเคลื่อนกิจการของเฉียวเยี่ยนเป็นอย่างดี
พวกเขาได้กินลูกท้อเชื่อมที่ผลิตจากโรงงานเฉียวจี้ในงานเลี้ยงแล้ว จึงพากันคิดว่าก่อนจะกลับเมืองตนเองค่อยซื้อกลับไปด้วย
แต่เมื่อพวกเขาสอบถาม ก็พบว่าสินค้าของเฉียวจี้ไม่ได้มีเพียงอาหารบรรจุขวด ยังมีพวกฮั่วกัวตี่เลี่ยว เส้นมันเทศ ขวดโหลผักดองต่างๆ ซึ่งพวกเขาต่างไม่เคยกินมาก่อน
เมื่อซื้อมาชิมทีละอย่างก็พบว่ายิ่งชื่นชอบ โดยเฉพาะทูตสองสามคนที่มาจากดินแดนอันหนาวเย็นแห้งแล้งชวนหดหู่ ต่างก็ตกหลุมรักเครื่องเทศหม้อไฟที่ทั้งเผ็ดทั้งชาจนหมดสิ้น
ภูมิลำเนาเกิดของพวกเขาล้วนมีอุณหภูมิกลางวันและกลางคืนแตกต่างกันมาก ทั้งยังมีหิมะตกมากถึงแปดเก้าเดือนต่อหนึ่งปี หากมีหม้อไฟกินในยามหนาวจัดและมีหิมะตกโปรยปรายได้ ก็คงจะรู้สึกสบายไม่น้อย
ครั้นนึกดังนี้ พวกเขาก็อยากสั่งซื้อสินค้ากับเฉียวเยี่ยน อยากกว้านซื้อสินค้าทุกอย่างที่ผลิตจากโรงงานแล้วขนกลับไป
บางคนถึงกับวางแผนเสร็จสรรพว่าหลังจากกลับไปแล้วจะขายสินค้าเหล่านี้ต่อ เพื่อรับส่วนต่างราคาขาย
อย่ามองว่าพวกเขาเป็นถึงทูตประจำอาณาจักรเลย ความจริงแล้วประชากรในอาณาจักรเล็กๆ ของพวกเขายังเทียบไม่ได้กับประชากรในเมืองเล็กๆ ของอาณาจักรเทียนลี่เลยสักนิด
พวกเขามีอาชีพเลี้ยงสัตว์เพื่อยังชีพ ทรัพยากรทางการเงินย่อมมั่งคั่งไม่เท่าใด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต่างจากคนทั่วไปที่ยากจนพอๆ กัน
และอาณาจักรใหญ่อื่นๆ อีกหลายแห่งที่มีอำนาจเทียบเท่าเทียนลี่ก็ต้องการร่วมมือกับเฉียวเยี่ยนระยะยาว ขนสินค้าของนางจากที่นี่กลับดินแดนของตน แล้วขายออกไป
เฉียวเยี่ยนเต็มใจอย่างยิ่งที่จะทำกิจการนี้ และลงนามในเอกสารหลายฉบับกับพวกเขา ขนส่งสินค้าไปยังตลาดแลกเปลี่ยนที่ชายแดน และกองคาราวานของพวกเขาจะไปรับสินค้าที่ตลาดแลกเปลี่ยนนั้น
ราชวงศ์เทียนลี่ห้ามไม่ให้กองคาราวานต่างชาติเดินทางเข้ามาในเมืองอย่างเสรี และกองคาราวานที่เข้ามาในเมืองต้องผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียด ดังนั้น ฮ่องเต้องค์ก่อนๆ จึงก่อตั้งตลาดแลกเปลี่ยนตรงเขตเชื่อมสองอาณาจักรขึ้นมา
ตลาดแลกเปลี่ยนเปรียบเสมือนกับท่าเรือใหญ่กับท่าเรือเล็ก สามารถขายสินค้าของเมืองตัวเอง และนำเข้าสินค้าของเมืองอื่นๆ ได้
……
วันเวลาผ่านไปเข้าสู่เดือนหก ดอกท้อที่บานสะพรั่งในสวนป่าท้อที่หมู่บ้านจิ่วหลีพัวก็กำลังจะปิดม่านอำลา
ตอนนี้พวกคนงานเข้าใจขั้นตอนทั้งหมดในการดูแลป่าท้อแล้ว เมื่อถึงเวลาก็เริ่มผสมเกสรเทียมให้ดอกท้อ ไม่ต้องให้เฉียวเยี่ยนมาพาพวกเขาไปทำด้วยตัวเองแล้ว
ตอนนี้นางไปที่สวนป่าท้อน้อยครั้งมาก นอกเสียจากว่าได้รับจดหมายที่ผู้คุมงานส่งมาบอกในเรื่องที่พวกเขาจัดการไม่ได้ นางถึงจะไปด้วยตัวเอง
ฝนในปีนี้เหมือนจะมากกว่าปีก่อนๆ ตั้งแต่เดือนห้ามาจนกระทั่งถึงเดือนหกก็สามารถนับวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสได้
วันนี้วันที่ห้าต้นเดือนหก ก็ยังคงเป็นวันฝนตกเช่นเคย
เมื่อถึงวันฝนตก เฉียวเยี่ยนก็ไม่ชอบออกไปจากบ้าน เพราะเส้นทางในสมัยโบราณไม่ก้าวหน้าเหมือนสมัยปัจจุบัน ทันทีที่ออกจากบ้าน รองเท้าทั้งสองข้างล้วนเปรอะไปด้วยโคลน
ทั้งลื่นทั้งเฉอะแฉะ นางจึงชอบพักอยู่ในบ้านมากกว่า
พวกเด็กๆ ไปสำนักศึกษาแล้ว มู่ฉินเจินก็ถูกฮ่องเต้เฒ่าเรียกเข้าวังไปช่วยงาน เหลือนางเพียงคนเดียวที่ไม่มีงานอะไรทำ
เมื่อว่างงานก็รู้สึกเบื่อ นางจึงซื้อนิยายรักกับระบบมาสองเล่มเพื่ออ่านเล่น
แม้บทละครพื้นเมืองของยุคโบราณจะมีไม่น้อย แต่คำบรรยายวรรณกรรมเหล่านั้น ต้องรอให้นางแปลด้วยภาษาจีนโบราณที่เหลืออยู่ของตัวเองก่อน ซึ่งลำบากกว่าการอ่านจับใจความภาษาจีนอีก
ภาษาสมัยใหม่ยังดีกว่าเสียอีก ทั้งเข้าใจง่าย และเข้าถึงอารมณ์ได้ฉับไว
นางนอนบนตั่งเตี้ย อ่านนิยายประธานจอมเผด็จการพร้อมกินมันฝรั่งทอดไปด้วย หัวเราจนไหล่สั่นสะท้านไปมา
ขณะที่นางหัวเราะอย่างหนักหน่วงกับเนื้อเรื่องในนวนิยายเรื่องนี้จนน้ำตาเล็ด ฮุ่ยเซียงก็รีบมารายงานว่าซูเนี่ยนหว่านกับเฉียวจิ่นมาที่นี่ และดูเหมือนพวกเขาจะมีเรื่องเดือดร้อน
เฉียวเยี่ยนที่กำลังหัวเราะถูกขัดจังหวะกระทันหันก็ลุกขึ้นจากตั่งเตี้ย และออกไปดูสถานการณ์
เป็นอย่างที่ฮุ่ยเซียงพูดจริงๆ ทั้งสองคนดูกระวนกระวาย และเมื่อซูเนี่ยนหว่านเห็นเฉียวเยี่ยน สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปราวกับเจอที่พึ่งยามยาก
“เสี่ยวเยี่ยน ยาของพี่ชายเจ้าถูกขโมยไปแล้ว!”
เฉียวเยี่ยนก็นึกว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตายอะไร ครั้นได้ยินว่ายาถูกขโมยไป ก็ถอนหายใจยาวออกมา
“เรื่องยาหาใช่เรื่องใหญ่อะไรเสียหน่อย ที่ข้ายังพอมีอยู่บ้าง”
ทว่าสีหน้าของซูเนี่ยนหว่านยังคงกระวนกระวายเช่นเดิม “เหตุใดจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เล่า ข้ารู้ว่ายาพวกนั้นราคาไม่ถูกแน่ ทั้งยังต้องแพงมากด้วย!”
ตั้งแต่ได้เจอกับบุตรสาวอีกครั้ง นางก็ค้นพบความแตกต่างหลายอย่างบนตัวนาง
นางกลายเป็นคนมีความสามารถ รอบรู้ทุกเรื่องที่พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อน กระนั้นนางก็พยายามข่มใจตัวเองไม่ให้คิดมาก ต่อให้อีกฝ่ายจะเปลี่ยนไปอย่างไร นางก็ยังเป็นลูกสาวของตนอยู่
อาการป่วยของลูกชายนางทุเลาลงได้ก็เพราะยาที่เสี่ยวเยี่ยนให้ ซึ่งนางไม่รู้ว่าลูกสาวได้ยานี้มาอย่างไร แต่แน่นอนว่ามันต้องเป็นยาที่หายากและราคาแพง
เฉียวเยี่ยนปลอบนาง “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องกังวล แม้ยานี้จะแพง แต่ต่อให้คนอื่นขโมยไปกินได้ก็ไร้ประโยชน์ กลับกันจะทำให้ร่างกายแย่ลงเสียอีก”
…………………………………………………………………………………………………………………………
(1)ขลุ่ยจีนที่เป่าทางแนวขวาง ตัวอย่างที่เห็นชัดได้แก่ขลุ่ยเฉินฉิงของเว่ยอู๋เซี่ยนในเรื่องปรมาจารย์ลัทธิมาร
สารจากผู้แปล
อ๋องรุ่ยต้องมีแผนอะไรซ่อนอยู่แน่นอน แล้วใช้คุณหนูอี้เป็นหุ่นเชิด
ใครขโมยยาพี่เฉียวจิ่นไปล่ะนั่น
ไหหม่า(海馬)