ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? – ตอนที่ 217 นางกล้าคิดได้อย่างไร

ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม?

ตอนที่ 217 นางกล้าคิดได้อย่างไร

ตอนที่ 217 นางกล้าคิดได้อย่างไร

อัครเสนาบดีไม่มีใจจะสนใจทั้งสอง ในเวลานี้จิตใจของเขาจดจ่ออยู่บนเอกสารที่หลันหนิงส่งมาให้เขาฉบับนั้น ครั้นเห็นราคาซื้อ สีหน้าเขาก็แทบจะกลายเป็นสีเขียว!

สายตาเขาจดจ้องตัวอักษรราคาซื้อ ‘สองร้อยห้าสิบตำลึง’เขม็ง!

เขามีเหตุผลเต็มเปี่ยมในการสงสัยว่าเฉียวเยี่ยนกำลังด่าเขาแล้ว!

สองสามวันก่อนเขาได้ยินเรื่องที่เฉียวเยี่ยนกำลังกว้านซื้อเรือนกระจก จึงไปสอบถามราคาโดยเฉพาะ

หลังจากรู้ว่าซื้อในราคาสามร้อยตำลึงต่อหนึ่งหมู่ เขาก็อารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว กระนั้นก็ไม่กล้าฝันว่าจะได้เงินมากมายมาไว้ในมือ ขายได้เล็กน้อยก็นับว่าดีแล้ว ดังนั้นจึงตั้งใจจะเสนอราคาต่ำ

แต่ไม่คิดเลยว่าเฉียวเยี่ยนจะฉีกหน้ากันเช่นนี้!

สองร้อยห้าสิบตำลึง! นางกำลังด่าจวนอัครเสนาบดีของพวกเขาว่าเป็นไอ้พวกหน้าโง่ชัดๆ!

หลันหนิงมองสีหน้าไม่สบอารมณ์ของสองสามีภรรยาก็รู้สึกสะใจอยู่ในใจ ก่อนหยิบกาน้ำชาขึ้นมารินน้ำชาให้ตัวเองอย่างไม่สนหน้าใคร และไม่ทำตัวเองเป็นคนนอกเลยแม้แต่น้อย

อัครเสนาบดีฝืนระงับโทสะเอาไว้ และพยายามรักษาเกียรติของอัครเสนาบดีแห่งชาติ

“ในเมื่อซู่หวางเฟยไม่มีความจริงใจในการทำกิจการ เช่นนั้นก็เชิญกลับไปเถิด”

หลันหนิงปรายตาขึ้นมองเขา นัยน์ตาเยือกเย็นคู่นั้นไม่มีความอบอุ่นใดๆ ปกตินางรับงานเป็นมือสังหาร บนตัวจึงแฝงไปด้วยกลิ่นอายเข่นฆ่า เพียงอัครเสนาบดีมองสบกับสายตานาง​ เขาก็รู้สึกหนาวสะท้านขึ้นทันใด

หลู่ซื่อยังคงเปี่ยมล้นด้วยโทสะมาจนถึงตอนนี้ แต่เนื่องจากสามีตัวเองอยู่ด้วย จึงระงับอารมณ์ของตัวเองไว้ไม่ให้วู่วามพุ่งเข้าไปฉีกปากนังหยาบช้าคนนี้

นางถลึงตาใส่หลันหนิงไปหลายครั้ง แววตาดั่งลูกศรแหลมคมอาบพิษนับพันทิ่มแทงนางจนเป็นรูพรุน

นางยื่นมือไปหยิบเอกสารในมืออัครเสนาบดีมา อยากจะดูว่าเนื้อหาในนั้นคืออะไรถึงทำให้เขาโมโหเช่นนี้

สายตากวาดมองเอกสารอ่านอย่างรวดเร็ว ครั้นอ่านถึงราคาซื้อสองร้อยห้าสิบตำลึง นางก็กลั้นอารมณ์ไว้ไม่ไหว ชี้หน้าหลันหนิงด้วยอาการโมโหจนสั่นเทาไปทั่วร่าง “จะรังแกคนอื่นเกินไปแล้ว!”

“ใครก็ได้! ไล่นังบ้านี่ออกไปให้ข้าที!”

สิ้นเสียงหลู่ซื่อ พวกชายฉกรรจ์ในจวนที่คอยอยู่นอกโถงด้านหน้าก็พุ่งเข้ามา ทำท่าจะลากหลันหนิงออกไป

หลันหนิงเขวี้ยงถ้วยชาในมือลงบนพื้น แววตาเย็นชาดุดัน รอบกายปลดปล่อยกลิ่นอายข่มขู่ออกมา ถ้วยกระเบื้องแตกส่งเสียงดังสนั่น เศษลอยกระจัดกระจายไปทั่วสารทิศ มิเพียงทำให้อัครเสนาบดีกับหลู่ซื่อตกใจเท่านั้น แม้แต่ชายฉกรรจ์ในจวนที่จะเข้ามาจับกุมก็ตกใจเช่นกัน

พวกเขาไม่เคยเห็นข้ารับใช้ที่กำเริบเสิบสานเช่นนี้เลย นี่มิใช่ข้ารับใช้แล้ว แต่เป็นอันธพาลหญิง!

หลันหนิงลุกขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนถ่ายทอดคำพูดของเฉียวเยี่ยนเสียงแผ่วเบา “หวางเฟยของเราอยากร่วมมือกับจวนของท่านด้วยความจริงใจเต็มเปี่ยม ในเมื่อจวนของท่านไม่เห็นด้วย เช่นนั้นกิจการก็จบลงแต่เพียงเท่านี้”

“ข้าขอถ่ายทอดคำพูดหวางเฟย กิจการครานี้นางจะคุยเพียงครั้งเดียว หากทางจวนของท่านไม่เห็นด้วย ต่อไปทางเราก็จะไม่ร่วมมือกับทางจวนของท่านอีก อย่างไรเสียกิจการของหวางเฟยเราก็มีมากมาย มีเงินทองเข้ามาทุกวัน ไม่มีเวลามาเสียให้กับเรื่องไม่จำเป็นเหล่านี้หรอก”

อี้จื่อจิ้นที่แอบอยู่หลังม่านได้ยินทั้งหมด ก็โมโหจนอกกระเพื่อมขึ้นลง กัดฟันจนเกิดเสียงดังกรอดๆ

โดยเฉพาะตอนได้ยินประโยคสุดท้าย ใบหน้านางพลันเจ็บชาราวกับถูกคนตบเป็นร้อยครั้ง

หมายความว่าอย่างไร? กำลังจะบอกเป็นนัยว่านางเสียเงินสร้างเรือนกระจกไปเปล่าๆ หรือ?

ไยการร่วมมือกับจวนอัครเสนาบดีของนางถึงได้กลายเป็นเรื่องไม่จำเป็นไปเสียล่ะ?

นางโกรธกริ้วอย่างมาก แหวกม่านออกแล้วพุ่งออกไป

“กลางวันแสกๆ เช่นนี้ กลับประพฤติตัวเช่นโจรผู้ร้าย สองร้อยห้าสิบตำลึงต่อหนึ่งหมู่ ทำไมซู่หวางเฟยไม่บอกให้ยกให้นางไปเปล่าๆ เสียเลยล่ะ?”

หลันหนิงเห็นคนโมโหมาอีกหนึ่ง ก็หยักยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยอย่างนิ่งเฉย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็ขอขอบคุณคุณหนูอี้แทนหวางเฟยแล้วกัน”

ขอแค่เจ้ากล้าให้ ข้าก็กล้ารับ!

อี้จื่อจิ้น “…”

ทั้งโถงพลันตกสู่ความเงียบ นอกจากหลันหนิงที่มีสีหน้าเรียบนิ่งแล้ว คนที่เหลือมีสีหน้าบิดเบี้ยวประหนึ่งกินอาจมสุนัขเข้าไปก็มิปาน

นางกล้าคิดได้อย่างไร?

อัครเสนาบดีโกรธมากจนแทบหายใจไม่ออก สำลักชาที่เพิ่งดื่มเข้าไปออกมาและไอโขลกรุนแรง พลันบริเวณนั้นก็เกิดความโกลาหลขึ้นทันใด

หลู่ซื่อลูบหลังให้เขาไม่หยุด อี้จื่อจิ้นก็มีสีหน้าทั้งร้อนรนทั้งกระวนกระวายใจ พลางตะโกนใส่ชายฉกรรจ์ในจวน “ยังไม่รีบไล่ทุบตีนางออกไปให้ข้าอีก จะเก็บนางไว้ฉลองปีใหม่หรือไร?”

เมื่อได้ยินคำนี้ หลันหนิงก็กระปรี้กระเป่าขึ้นมา หยอกเย้าทางฝีปากพอแล้ว ในที่สุดก้ถึงคราวออกกำลังกายกล้ามเนื้อเสียที

พวกชายฉกรรจ์ในจวนได้สติกลับมา ก็พุ่งเข้าไปจะจับหลันหนิงอย่างก้าวร้าว หลันหนิงเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งวาดฝ่ามือออกมา และโจมตีใส่อกพวกเขาอย่างรวดเร็ว

พวกชายฉกรรจ์ในจวนหลบไม่ทัน ทั้งหมดต่างรู้สึกแค่ว่าอกเจ็บแปลบ จากนั้นก็ล้มลงบนพื้นอย่างแรง อยากจะลุกขึ้นมาอีกครั้งก็กลับไม่เป็นดั่งใจ

หลังจัดการทุกคนเสร็จด้วยกระบวนท่าเดียว ในโถงด้านหน้านอกจากนาง คนที่เหลือต่างก็นิ่งอึ้ง ไม่อยากจะเชื่อทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

ด้วยเหตุนี้ ท่ามกลางสายตานิ่งค้างของทุกคน นางก็เอามือไพล่หลัง เดินออกมาจากโถงด้านหน้าตรงไปยังหน้าประตูใหญ่ด้วยท่าทางสบายๆ

อัครเสนาบดียิ่งกริ้วเข้าไปใหญ่ แววตาวาวโรจน์ โกรธจนความดันขึ้น ก่อนล้มหมดสติไป หลู่ซื่อกับอี้จื่อจิ้นถึงได้สติกลับมา และรีบเรียกหาหมอกันพัลวัน

หลังจากทำให้ทุกคนในจวนอัครเสนาบดีโมโหจนวุ่นวายอลหม่านสำเร็จ หลันหนิงก็อารมณ์ดีมาก และเดินอย่างช้าๆ กลับตำหนักอ๋องซู่ไปรายงานกับเฉียวเยี่ยน

เฉียวเยี่ยนได้รับผลลัพธ์เช่นนี้ก็พึงพอใจอย่างมาก และยิ่งนึกยินดีมากที่ในตอนนั้นตนมีสายตาเฉียบแหลม

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ยามปราศจากความเย่อหยิ่งในตัวนางไป เรื่องคงจบไม่สวยเช่นนี้หรอก

……

ทุกอย่างสิ้นสุดลง นอกจากเรือนกระจกของจวนอัครเสนาบดีแล้ว ที่เหลือเฉียวเยี่ยนกวาดซื้อมาหมดในราคาที่ต่ำ รวมทั้งหมดเกือบหนึ่งร้อยหมู่ แค่เรือนกระจกชุดนี้ก็ทำให้นางประหยัดต้นทุนไปเกือบแสนตำลึง เพียงนอนฝันตอนกลางคืนก็สามารถตื่นขึ้นมาด้วยรอยยิ้มได้

เรือนกระจกของคนพวกนี้สร้างขึ้นตามแบบที่สร้างในพระราชวังราวกับแกะ จึงไม่มีปัญหาใหญ่อะไร เฉียวเยี่ยนส่งผู้คุมงานเรือนกระจกของหมู่บ้านลวี่หลัวไปตรวจสอบแต่ละเรือนกระจก หลังไหนไม่สมเหตุสมผลก็ให้รีบซ่อมแซม ปรับแก้ทันที

เรือนกระจกชุดนี้นางวางแผนจะนำมาใช้เพาะเห็ด ในราชวงศ์เทียนลี่ยังไม่มีเห็ดที่เพาะด้วยฝีมือคนมาก่อน ส่วนใหญ่ที่กินกันล้วนเป็นเห็ดที่เกิดตามป่า

นางสามารถซื้อหัวเชื้อเห็ดกับระบบได้ ถึงตอนนั้นเหลือแค่ดำเนินการเพาะเลี้ยง หลังจากเห็ดงอกออกมาก็สามารถนำไปขยายต่อได้

นางวางแผนจะเพาะเห็ดหอม เห็ดนางฟ้าและเห็ดเขากวาง เห็ดพวกนี้เติบโตได้ดีในอุณหภูมิระหว่างยี่สิบห้าองศาถึงสามสิบองศา เหมาะแก่การเพาะเลี้ยงในฤดูร้อนที่สุด

ส่วนเห็นเข็มทองที่พวกคนสมัยใหม่นิยมรับประทานกันต้องเติบโตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิห้าถึงหกองศา ตอนนี้ยังไม่มีเครื่องปรับอากาศกับอุปกรณ์ควบคุมความเย็น นางจึงสร้างสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิต่ำขนาดนั้นออกมาไม่ได้

เมื่อได้ครอบครองเรือนกระจกแล้ว เฉียวเยี่ยนก็ส่งคนไปตรวจสอบซ่อมแซมทันที หลังจากมั่นใจว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ก็เริ่มดำเนินการฆ่าเชื้อในเรือนกระจก

ช่วงเวลาที่ดำเนินการฆ่าเชื้อในเรือนกระจก เฉียวเยี่ยนก็เพาะเห็ดของนางอยู่ในเรือนกระจกของตำหนัก ทุกวันยุ่งจนฟ้ามืดสลัว

หัวเชื้อเห็ดที่ซื้อมากับระบบยังเป็นหัวเชื้อที่อยู่ในหลอดทดลอง ต้องนำมันไปปลูกถ่ายบนอาหารเพาะก่อน หลังจากเห็ดงอกออกมาแล้วค่อยนำไปขยายต่อ

อาหารเพาะที่เลือกใช้ในการเพาะเห็ดคือพวกเศษไม้ รำข้าวสาลี นำพวกมันมาผสมเข้าด้วยกันแล้วเติมสารอาหารและน้ำในปริมาณที่เหมาะสม ให้อาหารเพาะมีความชื้นมากพอ แต่มิควรให้มีการสะสมน้ำ

นำอาหารเพาะที่ผสมเสร็จแล้วใส่ลงในขวด จากนั้นนำไปนึ่งฆ่าเชื้อด้วยอุณหภูมิสูง กำจัดแบคทีเรียออกไปให้ได้มากที่สุด ไม่เช่นนั้นพื้นผิวของอาหารเพาะจะถูกแบคทีเรียปนเปื้อนก่อนที่เชื้อรากินได้จะเติบโตออกมา

ขวดโหลที่ใส่อาหารเพาะเป็นขวดโหลกระเบื้อง การผลิตเชื้อรากินได้ทางอุตสาหกรรมสมัยใหม่ล้วนใช้หลอดแก้ว ซึ่งสามารถเห็นการเจริญเติบโตของเชื้อราผ่านผนังขวดได้

ทว่าในสมัยโบราณไม่มีปัจจัยนี้ จึงทำได้เพียงใช้วัสดุที่ใกล้เคียงมากที่สุดเท่านั้น

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ขายเรือนกระจกไม่ออก ทุนก็จมไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทุบทิ้ง ทีนี้เข็ดหรือยังล่ะคุณหนูอี้

เสี่ยวเยี่ยนนี่มีของเล่นใหม่ๆ มาเรื่อยๆ เลยนะ

ไหหม่า(海馬)

ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม?

ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม?

Status: Ongoing
หลังตกภูเขาตายก็ได้มาเกิดใหม่ในร่างชายาอ๋องผู้ถูกเนรเทศที่กำลังคลอดบุตร​ แถมได้อยู่ในบ้านอันรกร้างมีแค่ที่ดินเปล่าๆ​ ผืนหนึ่งและระบบตัวช่วยชาวสวนที่จ้องแต่จะหักแต้มหากขี้เกียจ ต่อจากนี้ฉันจะทำยังไงดี?เรื่องย่อ: หลังพลัดตกภูเขาลงมาตาย​ วิญญาณของเฉียวเยี่ยนก็ได้มาเข้าร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งที่กำลังท้องแก่ใกล้คลอดบุตร​อย่างไม่ทันตั้งตัว​ พอตั้งตัวได้ก็ต้องปวดหัวกับเรื่องที่พบเจอ​ ได้แก่…​ 1.ตนเป็นชายาอ๋องที่มีความผิดฐานบังคับจิตใจสามีจนถูกเนรเทศ​มาอยู่ในบ้านโกโรโกโสแห่งนี้​ 2.ตนมีลูกกับเขาผู้นั้นแล้ว​ และยังเป็นลูกแฝด​ชายหญิง 3.ตนมีระบบปลาเค็มคอยเป็นผู้ช่วยในภารกิจต่างๆ​ ติดตัวมาด้วย​ แต่ดูเหมือนจะเป็นเจ้าหนี้นอกระบบมากกว่า​ ถ้าไม่ทำงานสร้างเนื้อสร้างตัวก็จะโดนหักแต้มเฉียวเยี่ยนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องงัดวิชาความรู้ทั้งหมดมาใช้ในการทำสวน​ หาเลี้ยงลูก​ สร้างฐานะให้ตัวเอง… ลำพังตัวข้าคนเดียวก็ทำได้โดยไม่ต้องพึ่งสามีอ๋องโบ้ผู้นั้นกระมัง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท