ตอนที่ 282 เสาเหล็กกลายเป็นเข็ม
ตอนที่ 282 เสาเหล็กกลายเป็นเข็ม
มู่ฉินเจินมองตัวอักษรดำบนกระดาษขาวในมือตัวเอง พลางเพิกเฉยต่อท่าทางหยิ่งทะนงของชายชรา เขาแน่ใจแล้วว่าถึงอย่างไรตนก็จะต้องลงนาม
ช่างเถิด ลงนามก็ลง ยอมอ่อนข้อให้เฒ่าทารกคนนี้สักครั้งหนึ่ง
อันที่จริงท่านอ๋องไม่ได้มาถามความคิดเห็นของชายชรา แต่ส่วนใหญ่แค่มาบอกพระองค์ ต่อให้พระองค์ไม่อนุญาต ก็ไม่สามารถหยุดเขาจากการไล่ตามภรรยาได้
แต่ใครใช้ให้ชายชราคนนี้ยิ่งมีผมหงอกมากขึ้นเรื่อยๆ จนเห็นแล้วชวนสงสารนักกัน?
เขาหยิบพู่กันขึ้นมา ตวัดปลายพู่กันลงนามชื่อตัวเองลงบนกระดาษ ขณะที่พระเนตรฮ่องเต้เฒ่าเบิกกว้าง มุมโอษฐ์แสยะยิ้มขึ้นมา
ปล่อยให้เจ้าเด็กบ้าออกไปสนุกสนาน แลกมากับการได้องค์รัชทายาท การต่อรองนี้ช่างคุ้มนัก!
ด้วยมีแผนที่จะลงไปเจียงหนาน มู่ฉินเจินกับเฉียวเยี่ยนจึงเร่งรีบจัดแจงงานที่อยู่ในมือ
กิจการต่างๆ ของเฉียวเยี่ยนได้เติบโตเต็มที่แล้ว ผู้ดูแลงานแต่ละคนที่อยู่ภายใต้การดูแลของนางสามารถรับผิดชอบหน้าที่ตัวเองได้แล้ว นางจึงวางใจมอบงานทั้งหมดให้พวกเขา
สองสามีภรรยาเตรียมจะออกเดินทาง ดังนั้นย่อมต้องพาเด็กทั้งสี่ไปด้วย
ลงไปเจียงหนานครั้งนี้ คาดว่าตอนปีใหม่ถึงจะกลับมาได้ หากทิ้งเด็กๆ ไว้ที่บ้าน ไม่ต้องพูดว่าพวกเขาจะงอแงสร้างปัญหา แม้แต่เฉียวเยี่ยนกับมู่ฉินเจินก็ยังอาลัยอาวรณ์
เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ขอลาหยุดยาวกับทางสำนักศึกษา เด็กน้อยทั้งสี่เก็บสัมภาระน้อยของตัวเองอย่างตื่นเต้น
เจ้าปลาอ้วนยัดเสื้อผ้าสวยๆ กับของเล่นลงไปในถุงใบใหญ่ นอกนั้นยังมีอาวุธน้อยที่คนอื่นมอบให้นาง เสี่ยวอันอันก็ทำตามพี่สาว เลือกชุดกระโปรงสวยๆ ยัดเข้าไปในสัมภาระใบใหญ่เช่นกัน
ระบบตัวน้อยไม่ต้องเก็บข้าวของใดๆ ทั้งนั้น ของของนางล้วนเก็บไว้ในห้องเล็กๆ ของตัวเองหมดแล้ว
ตั้งแต่ออกมาเป็นคน นางก็ตระหนักว่าห้องเล็กๆ ที่นางเคยอาศัยอยู่นั้นกลายเป็นมิติเคลื่อนที่ได้ตามใจชอบ ซึ่งสามารถเก็บของไว้ในมิตินั้นได้ ทว่าพื้นที่ค่อนข้างเล็กเกินไป เก็บสิ่งของไว้ไม่ได้มากนัก
ส่วนสัมภาระของเสี่ยวฉวนเอ๋อร์ค่อนข้างแตกต่างจากของสามสาวน้อย นอกจากของใช้ในชีวิตประจำวันของตัวเองแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นหนังสือ
เฉียวเยี่ยนมองหนังสือสามเล่มใหญ่ที่ลูกชายของนางเตรียมไว้ ก่อนกุมหน้าผากอย่างจนใจ เด็กที่ประพฤติดีเกินไป เชื่อฟังเกินไปก็ทำให้เป็นกังวลได้ นางหวังว่าคนตัวเล็กจะเล่นให้มากกว่านี้หน่อย
เวลาส่วนใหญ่ในทุกวันเขาก็เอาแต่อ่านตำราเรียน จนจะกลายเป็นหนอนหนังสือน้อยไปแล้ว
เนื่องจากไปค่อนข้างนาน ของที่นำไปด้วยจึงมีมาก เฉียวเยี่ยนจึงใช้เวลาไปสามวัน บรรจุสัมภาระจนเต็มสามคันรถ
ก่อนออกเดินทาง ทั้งครอบครัวล้อมวงกินข้าวด้วยกัน จากนั้นครอบครัวเฉียวเยี่ยนหกคนก็นั่งรถม้าจากเมืองหลวงไป ขณะซูเนี่ยนหว่านกับฮองเฮาร้องไห้น้ำตาไหลพรากอยู่เบื้องหลัง
ครั้งนี้พวกเขาพาคนไปไม่มาก มีฮุ่ยเซียงกับแปดองครักษ์ติดตามเท่านั้น ความจริงฮ่องเต้เฒ่าเตรียมกองทัพไว้ให้พวกเขาแล้ว ทว่าสักคนหนึ่งก็ไม่พาไป
เฉียวเยี่ยนกับมู่ฉินเจินสองคู่รักมีกำลังรบมหาศาล ในสถานการณ์ปกติจึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครทำร้ายพวกเขา พวกเขาไม่ไปทำร้ายใครก็ดีมากแล้ว
ฮุ่ยเซียงกับพวกองครักษ์รับผิดชอบดูแลเด็กๆ ทั้งสี่ และเป็นคนวิ่งเต้นรับจัดการเรื่องแทนด้วย
ตอนนี้เด็กทั้งสี่มารวมอยู่ด้วยกัน ความสามารถในการก่อเรื่องจึงดูน่าทึ่งมาก คนหนึ่งวิ่งไปทางนู้นคนหนึ่งวิ่งไปทางนี้ การตามพวกเขาที่ก่อเรื่องเป็นเรื่องที่เหนื่อยมาก ดังนั้นองครักษ์แปดคนก็น่าจะรับมือพวกเขาไหว
……
วันที่ยี่สิบแปดเดือนห้า อากาศปลอดโปร่งแจ่มใส ดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้า รถม้าของครอบครัวเฉียวเยี่ยนกำลังเคลื่อนไปอย่างช้าๆ
แม้รถม้าของตำหนักอ๋องซู่จะกว้างขวาง ทว่าตั้งแต่มีเด็กสี่คนอยู่ในบ้าน ผู้ใหญ่เด็กต่างอัดกันอยู่ในรถม้า ซึ่งดูแออัดมาก
ดังนั้นเฉียวเยี่ยนจึงจัดรถม้าแยกต่างหากให้กับเด็กทั้งสี่ โดยมีฮุ่ยเซียงไปกับพวกเขา ในขณะที่นางกับมู่ฉินเจินดื่มด่ำไปกับโลกที่มีแต่เราสองคน
แม้โลกของทั้งสองคนจะดี ทว่ามีชายหน้าหนาบางคนไม่ค่อยซื่อสัตย์ เข้ามาคลอเคลียบดเบียดนางโดยไม่พูดอะไรสักคำ จนเอวแก่ๆ ของนางแทบยืดตรงไม่ไหวแล้ว
รถม้าสั่นโคลงเคลงไปมา เฉียวเยี่ยนหน้าแดงก่ำ นอนจ้องมองหลังคาด้วยสายตาว่างเปล่าอยู่ในรถม้า
ในขณะที่มู่ฉินเจินมีสีหน้าพึงพอใจและจัดแจงเสื้อผ้าให้นางอย่างอารมณ์ดี
เมื่อเห็นท่าทางนิ่งค้างของนางก็รู้สึกว่าน่ารัก จึงอดก้มไปหอมแก้มนางไม่ได้ ทว่าเฉียวเยี่ยนกลับผลักหน้าเขาออกห่างไปฉาดหนึ่งด้วยความหวาดกลัว
“ท่านเล่นพอแล้วหรือยัง? มัวแต่ทะนงในความเยาว์วัยเช่นนี้ ระวังเสาเหล็กกลายเป็นเข็มเมื่อไหร่แล้วจะเสียใจ!”
นางจับคอเสื้อตัวเองไว้แน่น และจ้องมองเขาอย่างโกรธเคือง
ทิวทัศน์ข้างนอกสวยงามมากจนนางอยากจะออกไปเดินเล่น ทว่าชายที่ไม่รู้จักควบคุมตัวเองคนนี้กลับลากนางมาเชื่อมสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยา เหนื่อยจนปวดเอวปวดขาไปหมด และไม่ได้ออกจากรถม้าไปไหนทั้งวัน
มู่ฉินเจินเหลือบมองนางอย่างเงียบๆ และเคาะหัวนางเบาๆ “จะฝนจนเป็นเข็มไหมนั้นต้องลองดูถึงจะรู้ สามีมีความสุขมากที่จะพูดคุยเรื่องนี้กับฮูหยิน”
เฉียวเยี่ยนกลอกตาไปหลายครั้ง รีบกุมหน้าอกลุกขึ้น พลางพ่นลมหายใจออกมาอย่างโกรธเคือง “ฮึ่ม! บุรุษล้วนเป็นสัตว์กินเนื้อจริงๆ มีเนื้อก็ลืมภรรยาตัวเอง!”
มู่ฉินเจินรู้ว่านางกำลังมีอารมณ์ฉุนเฉียว จึงย้ายไปนั่งข้างๆ นาง แล้วจับหน้านางหันกลับมา ก่อนเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “โกรธรึ? หรือตอนนั้นเจ้าไม่มีความสุข?”
ขณะกล่าว เขายังทำท่าทางครุ่นคิด เฉียวเยี่ยนเห็นก็หน้าแดงปลั่ง บนหัวแทบมีไอน้ำร้อนพ่นออกมาเหมือนกาต้มน้ำร้อน
นี่มันคำสัปดนอะไรกันน่ะ?
เขากล้าถามได้อย่างไรว่านางไม่มีความสุข? เช่นนั้นเขาไม่ลากนางไปศึกษาอีกสักสองสามรอบล่ะ
มู่ฉินเจินลูบดวงหน้าขึ้นสีเลือดฝาดของนาง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ แกล้งเจ้าเล่น เจ้าอยากขี่ม้าไม่ใช่หรือ? ไปกันเถิด ข้าจะพาเจ้าไปขี่ม้า”
เฉียวเยี่ยนแยกม่านออกดูครู่หนึ่ง มันผ่านเที่ยงวันไปแล้ว ไม่ได้ร้อนอะไรมาก เหมาะแก่การขี่ม้าเป็นอย่างยิ่ง
นางผลักมู่ฉินเจินออกไปอย่างเย่อหยิ่ง จัดแจงเสื้อผ้าของตัวเอง “ข้าไม่ต้องการให้ท่านพาไปหรอก ข้าขี่เองได้!”
พูดจบ นางก็พ่นลมหายใจใส่มู่ฉินเจินอีกครั้ง และผลักเขาออกจากรถม้า “ท่านออกไป ข้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้า! คนนอกห้ามมอง!”
มู่ฉินเจินคนนอกถูกผลักออกไปนอกม่านรถ และเหลือบมองหน้ากันอย่างอึดอัดกับเกาจัวหยวนที่กำลังขับรถอยู่ข้างนอก
เกาจัวหยวนมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขของท่านอ๋อง ในใจก็มีแมลงนับพันตัวบินว่อนไปทั่ว
ไม่ได้การแล้ว! เขาต้องหาเพื่อนสักคนพูดคุยสักหน่อย แตงโมลูกใหญ่ขนาดนี้ ไม่ควรมีเขาที่กินคนเดียว!
ท่านอ๋องของเขาเป็นสัตว์ร้ายสวมเสื้อผ้าจริงๆ ภายนอกดูเย็นชาดื้อรั้น แต่ลับหลังกลับเป็นหมาป่าที่กินเนื้อแต่ไม่คายกระดูก
เพ้ย! หมาป่าผู้มักมาก!
แม้การเคลื่อนไหวของเจ้านายทั้งสองจะเบา แต่ก็ไม่สามารถหยุดพวกเขาผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ที่มีหูตาเฉียบแหลมไปได้ แค่เสียงเพียงเล็กน้อยนั้น บวกกับการจินตนาการอีกเล็กน้อย ก็รู้ได้ว่าทั้งสองกำลังทำอะไรอยู่
นี่เป็นสาเหตุที่เฉียวเยี่ยนโกรธ ชายบ้ากามไร้ยางอาย นางยังอยากได้หน้าอยู่นะ!
นี่มันคือการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงที่ไม่เหมาะสมระหว่างกลางวันแสกๆ รึ?
แม้พวกเขาจะพยายามลดเสียงอย่างเต็มที่ แต่มันก็ไม่อาจเล็ดรอดไปจากหูคนขับรถอยู่ข้างนอกได้
เฉียวเยี่ยนเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกมาจากรถม้า โดยไม่แม้แต่จะชายตาแลมองมู่ฉินเจิน นางเลือกม้าออกมาตัวหนึ่ง พลิกตัวขึ้นไปนั่ง และขี่ไปอย่างสบายๆ
นางต้องขอบคุณที่ตัวเองมีร่างกายแข็งแกร่ง ไม่เช่นนั้นตอนนี้คงลุกขึ้นมาขี่ม้าไม่ได้ หลังจากถูกกระทำครั้งแล้วครั้งเล่าขนาดนั้น
เดิมทีมู่ฉินเจินอยากอุ้มนางออกจากรถม้า แต่เมื่อเห็นนางไม่ชายตาแลตัวเอง ก็เกาจมูกอย่างเก้อเขิน
เกาจัวหยวนที่อยู่แนวหน้าในการกินแตงโมพยายามกลั้นมุมปากตัวเองไม่ให้ยกขึ้น รอจนกระทั่งมู่ฉินเจินหันกลับไปแล้ว เขาก็แสยะมุมปากที่กลั้นเอาไว้ทันที เผยให้เห็นฟันสีขาวและรอยยิ้มโง่เขลา
ท่าทางหัวเราะและไม่กล้าส่งเสียงออกมานั้น ช่างตลกขบขันจริงๆ
เขากำลังหัวเราะเต็มที่ พลันเสียงเย็นของมู่ฉินเจินก็ดังขึ้นข้างหู “ในเมื่ออยากหัวเราะขนาดนั้น เจ้าก็หัวเราะให้มากกว่านี้อีกหน่อยสิ!”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อุ๊ย เขาทำอะไรกันสองคนน่ะ กิจกรรมนอกบ้านเหรอ ทำบ่อย ๆ ระวังขนาดจะหดลงอย่างที่อาเยี่ยนว่าไว้นะท่านอ๋อง /แปลไปอุดจมูกไป เลือดลมไหลเวียนดีจริงๆ ค่ะตอนนี้/
เกาจัวหยวนโดนอีกแล้ว สนามอารมณ์ของท่านอ๋องชัดๆ
ไหหม่า(海馬)