ตอนที่ 328 พิธีจวาโจว
ตอนที่ 328 พิธีจวาโจว
เฉียวเยี่ยนกินข้าวเที่ยงในบริเวณลานก่อสร้างเสร็จ ก็พาหลันหนิงกับองครักษ์สองคนเตรียมบุกภูเขารกร้าง
เนื่องจากมีคนในพื้นที่ก่อสร้างจำนวนมาก จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะได้กินอาหารดีๆ สักมื้อ อาหารจึงเป็นหมั่นโถวธัญพืชสองสามก้อน บวกกับอาหารจานเนื้อหนึ่งจานและผักดองเล็กน้อย
แม้จะบอกว่าเป็นอาหารจานเนื้อ แต่เมื่อแบ่งไปถึงปากของคนงานทุกคนแล้ว อาจจะได้แค่คนละชิ้นเดียวเท่านั้น
เฉียวเยี่ยนจำสิ่งเหล่านี้ไว้ในใจ เตรียมกลับไปแล้วให้คนส่งของมา อย่างน้อยต้องเตรียมผักดองแต่ละอย่างในโรงงาน กับผักสดและเนื้อสัตว์ต่างๆ สักสองสามคันรถ
ยังไม่ทันได้เข้าไปถึงตัวภูเขา เฉียวเยี่ยนก็พบว่าภูเขาที่เรียกกันว่ารกร้างนั้นมันรกร้างจริงๆ
ชั้นดินค่อนข้างบาง มีทรายค่อนข้างมาก พรรณไม้สูงใหญ่จึงเติบโตขึ้นมาไม่ได้ มีเพียงไม้พุ่มเตี้ยและหญ้าบางต้นเท่านั้น ตอนนี้เป็นฤดูกาลที่พืชพรรณต่างๆ งอกงามพอดี มองจากระยะไกลแล้วก็ดูเหมือนเนินเขาที่ปกคลุมไปด้วยหญ้าเขียวขจี
หลังจากเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วภูเขาพักหนึ่ง เฉียวเยี่ยนก็พบว่าทรัพยากรหญ้าเลี้ยงสัตว์ที่นี่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ สามารถนำมาใช้เป็นพื้นที่ปศุสัตว์ได้ หากเลี้ยงพวกแกะหรืออะไรสักอย่างก็นับว่าเหมาะมาก
อีกทั้งภูเขาสองลูกนี้ยังบรรจบกันเป็นหุบเขา มีแม่น้ำไหลผ่าน จึงไม่ขาดแคลนแหล่งน้ำ หากสร้างกระท่อมสำหรับคนเลี้ยงสัตว์สองสามหลังที่นี่ ก็จะไม่ขาดแคลนอาหารและเครื่องดื่ม
ภูเขารกร้างสองลูกนี้น่าจะมีพื้นที่ราวๆ สี่ห้าสิบหมู่ หากใช้เลี้ยงแกะหมด ถึงตอนนั้นนางก็ไม่ขาดแคลนเนื้อแกะแล้ว อีกทั้งยังสามารถจัดหาเนื้อแกะสดให้กับภัตตาคารได้อีกด้วย
ตอนนี้มีภัตตาคารสองแห่งแล้ว กิจการก็เฟื่องฟูทุกวัน ทำให้ต้องใช้วัตถุดิบเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะของจำพวกเนื้อแกะนี้ ซึ่งในเมืองหลวงมีคนเลี้ยงแกะไม่มากนัก ดังนั้นจึงมีสินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการอยู่บ่อยครั้ง
หลังจากตัดสินใจแล้ว เฉียวเยี่ยนก็วางแผนหาคนมาสร้างกระท่อมสองสามหลังกับคอกแกะในภูเขา จากนั้นหาคนงานที่มีประสบการณ์ในการต้อนแกะสักสองสามคน แล้วซื้อฝูงแกะมาชุดหนึ่ง แบบนี้ปัญหาทั้งสองด้านก็คลี่คลายแล้ว
นอกจากเลี้ยงแกะแล้วก็ยังสามารถเลี้ยงหมูได้ เพียงนำแม่หมูกับลูกหมูปล่อยไว้ในภูเขา ให้พวกมันวิ่งหาอาหารไปรอบๆ หมูที่เลี้ยงด้วยวิธีนี้อร่อยกว่าหมูที่เลี้ยงในคอกมาก
ตอนที่เฉียวเยี่ยนอยู่ในยุคปัจจุบัน นางเคยเห็นคลิปวิดีโอเศรษฐกิจอันหนึ่งกล่าวถึงการเลี้ยงหมูจิ๋วบนภูเขา
น่าเสียดายที่สมัยเทียนลี่ไม่มีหมูจิ๋ว แต่หมูสายพันธุ์เก่าของที่นี่ก็มีขนาดโตเต็มวัยไม่ใหญ่มากนัก เนื้อแน่น รสชาติดีกว่าหมูขาวตัวใหญ่ในสมัยใหม่มาก
หลังจากกลับจากสถานที่ก่อสร้าง เฉียวเยี่ยนได้ส่งคนสองสามคนไปสร้างกระท่อมกับคอกแกะที่พื้นที่รกร้าง จากนั้นส่งคนไปซื้อแกะและหมูทั่วทุกที่
เมื่อมู่ฉินเจินได้ยินว่านางจะเลี้ยงแกะ เขาก็แนะนำคนที่เหมาะสมหลายคนให้กับนาง
หลายปีก่อนเขาประจำการอยู่ในค่ายที่ซีเป่ย ที่ซีเป่ยส่วนใหญ่เลี้ยงปศุสัตว์มาก พวกทหารอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน จึงเรียนรู้ทักษะการเลี้ยงปศุสัตว์มาบ้าง
ในค่ายมีทหารหลายนายที่กำลังจะปลดประจำการ ดังนั้นให้มาทำงานนี้จึงเหมาะสมนัก
เฉียวเยี่ยนย่อมเต็มใจ ดังนั้นปัญหาของคนงานจึงได้รับการแก้ไขแล้ว
……
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบเดียวก็ใกล้จะสิ้นปีอีกแล้ว ปีนี้ชีวิตของเฉียวเยี่ยนไม่ได้เปลี่ยนไปจากปีก่อนๆ มากนัก นอกเสียจากปลูกผักหาเงินเลี้ยงลูก บวกกับถูกสามีรักโปรดปราน
วันที่หนึ่งต้นเดือนสิบเอ็ด เป็นวันเกิดหนึ่งขวบของเสี่ยวอวี๋เป่าลูกคนที่ห้า ตามกฎของเมืองหลวง วันเกิดครบหนึ่งขวบจะต้องจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ และต้องจัดพิธีจวาโจว[1]ด้วย
ทว่าเฉียวเยี่ยนคร้านจะรับมือกับคนนอก จึงเชิญฮ่องเต้กับฮองเฮาจากในวัง คนในครอบครัวนาง และสหายสนิทไม่กี่คนมาเท่านั้น
เสี่ยวอวี๋เป่าวัยหนึ่งขวบยังคงเป็นเด็กชายตัวจ้ำม่ำ เดินเตาะแตะส่ายไปมา สวมเสื้อผ้ากางเกงผ้าฝ้ายหนาๆ เหมือนนกเพนกวินน้อย
ตอนนี้คนตัวเล็กเรียกคำง่ายๆ ออกมาได้บ้างแล้ว เช่นเตี่ยเตียเรียกตีตี เจี่ยเจียเรียกเฉี่ยเฉีย เกอเกอเรียกว่ากัวกัว มีเพียงคำว่าแม่เท่านั้นที่เรียกได้ชัดเจนหน่อย
ตอนนี้กิจกรรมโปรดของสี่พี่น้องคือสอนน้องชายเดินในบ้าน
เฉียวเยี่ยนปูพรมหนาไว้ในบ้าน ตรงมุมโต๊ะมุมเก้าอี้ต่างๆ ก็ห่อเอาไว้ เพื่อให้เด็กๆ สามารถเล่นได้ในบ้านได้อย่างเต็มที่
เด็กทั้งสี่ถือของเล่นกล่อมน้องชายไว้ในมือคนละชิ้น แต่ละคนหมอบไปทางเดียวกัน โดยให้น้องชายอยู่ตรงกลาง จากนั้นพยายามหลอกล่อน้องชายอย่างเต็มที่ ดูว่าน้องชายจะไปหาใคร
เสี่ยวอวี๋เป่ายืนอยู่ตรงกลาง มองพี่ชายพี่สาวตัวเองส่ายของเล่นล่อเขาไม่หยุด มีความสุขจนน้ำลายไหลออกมา มองทางนี้ที ทางนั้นที ทุกอันเขาล้วนชอบหมด
เมื่อไม่รู้ว่าจะเลือกใคร เขาก็นั่งจุ้มปุ๊กลงกับพื้น จากนั้นหลับตาพริ้มราวกับเหนื่อยมาก เอาแต่ส่งเสียงโดยไม่ทำอะไร
ทุกครั้งที่เป็นเช่นนี้ พวกพี่น้องก็จะคิดว่าน้องชายไม่สบายตรงไหนหรือไม่ จึงเข้าไปล้อมเขาทันที จากนั้นเสี่ยวอวี๋เป่าฉวยโอกาสนี้ คว้าของเล่นในมือของพวกพี่ๆ มากอดไว้ในอ้อมกอด และยิ้มจนตาหยีเป็นเส้น
หลังจากถูกหลอกมาหลายครั้ง พี่ๆ ทั้งสี่พบว่าน้องชายฉลาดเป็นพิเศษ ถึงขั้นแกล้งทำตัวน่าสงสารและหลอกพวกเขา
เฉียวเยี่ยนยังพบว่าลูกชายคนเล็กของนางฉลาดมาก ปกตินางไปห้องบัญชีตรวจสมุดบัญชีแล้วพาเขาไปด้วย เขาก็ไม่ร้องไม่งอแงอะไร
นั่งอยู่ในอ้อมแขนนาง พยายามใช้มือตัวเองถือบัญชีเล่มหนึ่ง ไม่ว่าจะถือกลับหัวหรือถือถูกทาง และไม่สนใจว่าจะรู้เรื่องหรือไม่ แต่ท่าทางจริงจังนั้น ราวกับสนใจตัวอักษรที่เต็มไปด้วยเงินเหล่านี้มาก
วันจับจวาโจววันนั้น ฮ่องเต้กับฮองเฮาเสด็จออกนอกวัง ครอบครัวสกุลเฉียวมาที่ตำหนักองค์รัชทายาทแล้วเช่นกัน แม้แต่อันซีโหวฮูหยินกับลูกสะใภ้ก็มาด้วย
เว่ยอวิ๋นซูคลอดลูกแล้ว ลูกคนแรกเป็นเด็กผู้หญิงมีหน้าตาเหมือนเฉียวจิ่น เห็นแล้วดูสงบเรียบร้อย และน่ารักน่าเอ็นดูมาก
พี่เฉียวได้ลูกสาวแล้วก็มีความสุขมากทุกวัน เฝ้าอยู่หน้าเปลเด็กของลูกสาว หอมแก้มน้อยแล้วหอมเท้าน้อย ทำให้เว่ยอวิ๋นซูอิจฉาอย่างยิ่ง
และในที่สุดอันซีโหวฮูหยินก็ได้หลานสาวตัวน้อยที่นางอยากได้มาตลอด นางมีความสุขมากและแอบปลื้มปีติอยู่ในใจ โชคดีที่หลานสาวตัวน้อยมีหน้าตาเหมือนลูกเขย ไม่อย่างนั้นหากเหมือนลูกสาว ต้องเป็นปีศาจน้อยไร้ประโยชน์เป็นแน่
เสี่ยวอวี๋เป่าตัวเอกตัวน้อยของวันนี้แต่งตัวเป็นมงคลมาก เสื้อผ้าสีแดงแวววาว ขับให้ใบหน้าน้อยยิ่งดูนุ่มนิ่มอมชมพูยิ่งขึ้น
เมื่อฮ่องเต้กับฮองเฮามาถึง พวกเขาก็กอดพวกเด็กๆ ก่อน ตอนนี้เด็กๆ โตกันแล้ว พวกเขาที่แก่ชราลงอุ้มพวกเขาไม่ได้แล้ว จึงทำได้เพียงกอดแล้วลูบหัวน้อยๆ เท่านั้น
เจ้าก้อนแป้งอารมณ์ดีมีรูปร่างล่ำสันเป็นพิเศษ อุ้มอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่าเมื่อยมือแล้ว
ทว่าสองคนแก่ก็มีความสุขมาก อุ้มแล้วมิอาจปล่อยลงได้ เด็กน้อยทั้งนุ่มนิ่มทั้งมีกลิ่นหอมน้ำนม จนพวกเขาแทบอยากเอาไปเลี้ยงในวังสักสองสามวัน
พิธีจวาโจวเริ่มต้นขึ้น เฉียวเยี่ยนให้คนรวบรวมสิ่งของต่างๆ มากมายมาล่วงหน้า สิ่งล้ำค่าทั้งสี่ในห้องหนังสือ[2] ดาบ กระบี่ ปืน หอก ขนมอาหารแสนอร่อย ผงชาด เครื่องครัว และสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน
เจ้าก้อนแป้งถูกผู้เป็นพ่ออุ้มไว้ในอ้อมแขน เมื่อเห็นทุกคนจ้องมองมาที่เขาก็มีท่าทางเขินอาย ก่อนฝังใบหน้าบนหน้าอกผู้เป็นพ่อ พลางเอามืออ้วนๆ ปิดหูน้อยไว้ ทำท่าทางราวกับว่าพวกท่านไม่เห็นข้าหรอก
ท่าทางน่ารักนี้ทำให้ทุกคนหัวเราะ มู่ฉินเจินหอมหัวคนตัวเล็ก และวางเขาลงบนพื้น ก่อนคุกเข่าลงอธิบายให้เขาฟังอย่างตั้งใจ
เจ้าก้อนแป้งฟังจนรู้งูๆ ปลาๆ ก้าวขาสั้นไปมาด้วยความงุนงง และวิ่งไปเลือกของจากกองที่อยู่ข้างหน้าตัวเอง
พวกผู้ใหญ่ต่างคาดเดาว่าเด็กชายจะเลือกอะไร มู่ฉินเจินเดาว่าลูกชายจะเลือกดาบใหญ่ เขามีร่างกายแข็งแกร่งมาก หากวันหน้าฝึกฝนวรยุทธ์ จะต้องมีฝีมือไม่ธรรมดาแน่
และเฉียวเยี่ยนเดาว่าคนตัวเล็กจะเลือกของกิน เพราะลูกชายคนนี้ของนางเป็นจอมตะกละ ไม่อย่างนั้นคงไม่กินจนตัวเองอ้วนจ่ำม่ำแบบนี้หรอก
พวกผู้ใหญ่ต่างก็คาดเดา ทว่าเหมือนเจ้าก้อนแป้งจะมีความคิดเป็นของตนเอง เห็นเขาเบื่อจะยืน ก็หมอบลงพื้นไปเสียเลย พลางมองนั่นที นี้ที สุดท้ายก็คลานไปหาจอบเล็กๆ แล้วกอดจอบเล็กไว้ในอ้อมแขน เด็กน้อยยิ้มจนตาหยี น้ำลายเส้นหนึ่งไหลออกมา ท่าทางนั้นดูเหมือนคนโง่เล็กน้อย
เมื่อเห็นคนตัวเล็กเลือกจอบ พวกผู้ใหญ่ก็พากันหัวเราะขึ้นมา ช่างสมกับที่เฉียวเยี่ยนเป็นคนคลอดออกมาจริงๆ มีงานอดิเรกเหมือนกันหมดเลย
เฉียวเยี่ยนทั้งประหลาดใจทั้งมีความสุข รอเจ้าก้อนแป้งโตขึ้นอีกหน่อย หากเขาชอบการเกษตรจริงๆ นางจะมอบทักษะทั้งหมดของนางให้เขา และให้เขาสร้างประโยชน์ให้กับผู้คนต่อไป
[1] พิธีจวาโจว (抓周) คือ พิธีเสี่ยงทายอนาคตเด็กตอนอายุครบขวบปีแรก โดยจะนำของเสี่ยงทายอนาคตต่างๆ มาให้เด็กจับ
[2] สี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ ได้แก่ กระดาษ หมึก พู่กัน แท่นฝนหมึก
……………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เย้ เฉียวเยี่ยนมีผู้สืบทอดแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าวิชาชีพของตัวเองจะสูญหายแล้ว
ไหหม่า(海馬)