ตอนที่ 347 สังหารยกครอบครัว
ตอนที่ 347 สังหารยกครอบครัว
เฉียวเยี่ยนผู้เป็นหัวหน้าครอบครัววิ่งไปแล้ว ที่เหลือน้อยใหญ่ย่อมตามไป และเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบเฝ้าอยู่หน้าประตูครัว พลางพากันมองเข้าไปข้างใน
เฉียวเยี่ยนมองน้ำแกงในหม้อตุ๋น ครั้นหันหน้าไปเห็นห้าพ่อลูกยืนเรียงกันเป็นแถว พลันหัวเราะดังลั่นทันที ความอับอายเมื่อครู่ได้หายไปจนสิ้น
นางออกคำสั่งกับห้าพ่อลูก “ไปหยิบชามและตะเกียบมา เตรียมกินข้าว!”
ทั้งห้าคนรับคำสั่ง องค์รัชทายาทนำลูกทั้งสี่ไปหยิบอาหารที่ภรรยาทำมาจัดวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นทั้งครอบครัวก็นั่งล้อมวงกันทานอาหารที่หาโอกาสได้ยาก
ฮุ่ยเซียงที่ยืนอยู่ตรงมุมทำตัวเหมือนมนุษย์ล่องหนตลอดเวลา รู้สึกว่าตัวเองเป็นสาวใช้ส่วนตัวที่เป็นส่วนเกิน ดูเหมือนไท่จื่อเฟยของนางจะไม่ต้องการนางแล้ว
ดูสิ อบรมสั่งสอนองค์รัชทายาทกับเหล่าลูกๆ ได้อย่างดีขนาดนี้!
เมื่อมู่ฉินเจินกินอิ่มดื่มพอแล้ว ก็เข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เฒ่าเพื่อรายงานผลปฏิบัติการ เมื่อฮ่องเต้เฒ่าเห็นโอรสตนกลับมาอย่างครบสามสิบสอง แม้ไม่ได้ตรัสอะไร ทว่าในพระทัยกลับยินดีมาก หนวดสองข้างรอบโอษฐ์ก็กระตุกสั่นอย่างมีความสุข
เมื่อฮองเฮาได้ยินว่าพระโอรสเข้าวัง ก็แทบรอให้เขามาทำความเคารพไม่ไหว จึงวิ่งตรงไปที่ห้องทรงอักษรหาเขา ดึงเขามาตรวจสอบอย่างละเอียด เพื่อยืนยันว่าไม่มีปัญหาอะไรนางถึงได้วางใจ
หลังจากพูดคุยเรื่อยเปื่อย มู่ฉินเจินก็เปลี่ยนหัวข้อ กลับไปเอ่ยเรื่องตามเดิม “คราวนี้จับนักโทษได้สิบเจ็ดคน มีชาวตงอิ๋งสิบเอ็ดคน ลูกได้สั่งให้กองทหารของเยวี่ยโจวเสริมกำลังการค้นหา และพยายามรีบจับคนตงอิ๋งที่แฝงตัวกับพวกชาวบ้านออกมาให้เร็วที่สุดแล้วพะยะค่ะ”
ฮ่องเต้เฒ่าพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เรื่องนี้เกี่ยวพันกว้างขวางนัก ต้องจับตาดูนักโทษทุกคนให้ดี และสอบสวนอย่างเคร่งครัด!”
“จริงสิ เราได้ออกคำสั่งให้ทางหน่วยงานหงลู่ซื่อส่งอี้จื้อกวนมาช่วยสืบสวนอย่างเต็มที่แล้ว”
……
ณ ตำหนักอ๋องรุ่ย
มู่เจ๋อจิ่นรู้ข่าวว่ามู่ฉินเจินกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว และกำลังระเบิดอารมณ์อยู่ในห้องหนังสือ ระหว่างทางเขาส่งคนมากมายไปซุ่มโจมตีพวกเขา แต่กลับล้มเหลวทั้งหมด ช่างน่าโมโหนัก!
อัครเสนาบดีในเวลานี้ก็อยู่ในห้องหนังสือกับมู่เจ๋อจิ่น ทั้งสองกำลังปรึกษากันเรื่องวิธีเก็บกวาดชะล้างผลที่ตามมา
เรื่องนี้เกี่ยวพันกว้างขวางมาก หากมู่ฉินเจินซักถามข่าวจากคนตงอิ๋งได้ เช่นนั้นความพยายามของพวกเขาที่ลำบากมานานแรมปีก็สูญเปล่าไปน่ะสิ!
ใบหน้าอัครเสนาบดีเต็มไปด้วยโทสะ ดูแล้วแก่ขึ้นไม่น้อย ตั้งแต่ตัดสินใจร่วมมือกับมู่เจ๋อจิ่น เขาก็รู้แล้วว่าทางเดินนี้ไม่ได้ง่ายเลย ทว่าเขาประเมินความยากลำบากนั้นต่ำเกินไป
ตอนนี้มู่ฉินเจินเพียงคนเดียวได้กลายเป็นปัญหาใหญ่ของพวกเขา
อยากสู้แต่สู้ไม่ได้ อยากฆ่าก็ฆ่าไม่ตาย แผนการที่วางมาอย่างยากลำบากก็ถูกเปิดโปง พวกเขาจะเอาอะไรไปพิสูจน์?
ท่านอัครเสนาบดีถอนหายใจ และเอ่ยปลอบใจตัวเอง “โชคดีที่เราลงมือก่อน ทางด้านอี้จื้อกวนได้ถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้หาคนที่คุยภาษาตงอิ๋งทั่วทั้งเมืองหลวงไม่ได้แล้ว ถึงคนตงอิ๋งเหล่านั้นจะสารภาพ ก็ไม่มีใครฟังเข้าใจ”
ส่วนคนอีกสองสามคนที่พวกเขาส่งออกไปนั้น ไม่ต้องกังวลเลย พวกเขาไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง
มู่เจ๋อจินไม่ตอบ ในดวงตาปรากฏไอเย็นชาออกมา ไม่ได้ เขายังต้องเตรียมแผนสำรองไว้
หากมู่ฉินเจินหาคนที่พูดภาษาตงอิ๋งได้ เช่นนั้นเขาคงอยู่ที่เทียนลี่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ต้องเตรียมทางหนีทีไล่เอาไว้ล่วงหน้า
เรื่องพวกนี้เขาย่อมไม่เอ่ยกับท่านพ่อตาอัครเสนาบดี เขาต้องการให้อัครเสนาบดีเป็นแพะรับบาปแทนเขา ช่วยยื้อเวลาให้เขา
ทั้งสองพูดคุยหารือกันอยู่ในห้องหนังสือ พลันมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น อี้จื่อจิ้นผลักเปิดประตูเข้ามา
ท้องของนางได้ยื่นออกมาเล็กน้อยแล้ว ขณะเดินก็ใช้มือกุมท้องเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาท ท่านพ่อ ข้าชงชามาให้ และนำมาให้พวกท่านลองชิมเจ้าค่ะ”
อัครเสนาบดีมองดูท้องน้อยนูนป่องของลูกสาว ในใจเหมือนได้รับการปลอบโยน หากเด็กในครรภ์เป็นผู้ชาย เช่นนั้นเขาจะพยายามขึ้นอีก จากนี้ไปใต้หล้าก็เป็นของตระกูลอี้พวกเขาแล้ว!
เขารับชามาจิบหนึ่งคำ ก่อนกำชับให้ลูกสาวดูแลลูกในครรภ์ให้ดี และในฐานะที่เป็นพ่อของลูก แม้ใบหน้ามู่เจ๋อจิ๋นจะเปื้อนด้วยรอยยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับไม่ได้ยิ้มอย่างจริงใจ มันเหมือนกับทำแบบขอไปที
หลังจากมู่ฉินเจินออกจากวัง ก็ส่งคนไปหาอี้จื้อกวนที่หน่วยงานหงลู่ซื่อ เตรียมสอบสวนนักโทษ
แต่เมื่อลูกน้องกลับมา ข่าวที่รายงานกลับเป็นดั่งฟ้าผ่ากลางแจ้ง
ครอบครัวของอี้จื้อกวนทั้งหมดหายไป ไม่เจอใครเลย ตอนนี้เหลือเพียงจวนที่ว่างเปล่า
ในจวนดูสะอาดสะอ้าน ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ราวกับว่าย้ายออกไปทั้งบ้าน
มู่ฉินเจินค้นหาทุกซอกทุกมุมของบ้าน ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จวนแห่งนี้น่าจะเป็นสถานที่เกิดเหตุ แต่คนก่อคดีกลับเก็บกวาดสถานที่เรียบร้อยหมด
โต๊ะเก้าอี้ม้านั่งทุกตัวเช็ดจนสะอาดสะอ้าน กระทั่งเตียงในห้องก็จัดอย่างเป็นระเบียบ แต่ยิ่งสะอาดเท่าใดก็ยิ่งดูมีปัญหา
ห้องของเจ้าบ้านมีคนรับใช้คอยทำความสะอาดจนไม่มีด่างพร้อย เหมือนจะดูสมเหตุสมผล ทว่าสถานที่ที่คนรับใช้อาศัยอยู่นั้นกลับถูกจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ เตียงไม่มีเกะกะ มันไม่ค่อยสมเหตุสมผลเลย
สถานที่ที่กลุ่มชายชาตรีอยู่ อย่างน้อยต้องมีกลิ่นบ้าง ก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นห้องพักคนรับใช้ในตำหนักองค์รัชทายาท ไม่รองเท้าเรียงกองเป็นภูเขาก็ผ้าห่มม้วนเป็นก้อน ผ้าปูที่นอนยับยู่ยี่ ซึ่งแตกต่างจากที่นี่อย่างสิ้นเชิง
ที่นี่สะอาดราวกับว่าไม่มีใครอาศัยอยู่หลังจากทำความสะอาดครั้งใหญ่
เกาจัวหยวนติดตามเจ้านายมาตรวจสอบคดีนี้ เมื่อเห็นห้องพักของพวกข้ารับใช้ ก็รู้สึกแปลกๆ เช่นกัน
เขาเป็นองครักษ์ข้างกายของท่านอ๋อง จึงได้รับการดูแลที่ดีอย่างมาก มีห้องเป็นของตัวเอง แต่คนรับใช้ในตำหนักล้วนนอนห้องพักด้วยกัน เขามักจะไปที่ห้องพักพวกเขาบ่อยๆ ถูกกลิ่นอับโจมตีจนอยากจะอาเจียนออกมา
มีหมดทั้งกลิ่นเท้าและกลิ่นเหงื่อ โดยรวมแล้วกลุ่มชายพวกนี้มีไม่กี่คนที่มีกลิ่นหอม
ที่นี้สะอาดสะอ้านหมดจดมาก เห็นได้ชัดว่าสถานที่เกิดเหตุได้รับการทำความสะอาดแล้ว!
มู่ฉินเจินสั่งลูกน้องตรวจสอบทุกที่ในจวนหลังนี้ให้ละเอียด ไม่ให้พลาดเบาะแสใดๆ ไป และไม่นาน ก็มีคนสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง
ในห้องนอนของลานบ้านหลัก มีองครักษ์พบคราบเลือดเลือนรางอยู่บนผ้าปูเตียง
เลือดเปรอะเปื้อนเป็นหย่อมๆ ราวกับเป็นคราบเลือดที่กระเซ็นเป็นฝอย
จากนั้นพวกเขาก็ค้นหาอย่างละเอียดต่อ และพบจุดเลือดเล็กๆ บนพรมหรือไม่ก็บนชั้นวางหนังสือ
จากหลักฐานที่เห็นทั้งหมด ก็สามารถสรุปได้ว่าครอบครัวอี้อวี่กวนได้ถูกสังหารยกครอบครัวแล้ว
หลังจากได้รับผลลัพธ์นี้ หัวใจของมู่ฉินเจินก็จมดิ่งลงเหว นัยต์ตาปลดปล่อยไอเยือกเย็นแผ่ออกมา
คนพวกนี้มองชีวิตไร้ค่านัก คนทั้งบ้านรวมนับสิบ พวกเขานึกอยากจะฆ่าก็ฆ่า ช่างชั่วช้าสามานย์นัก!
เขาต้องหาคนทำผิดออกมาให้ได้ ให้พวกนั้นได้ชดใช้ด้วยชีวิต!
มู่ฉินเจินเก็บอาการ ก่อนออกคำสั่งกับเกาจัวหยวน “ไปตรวจสอบทุกประตูเมือง ดูว่ามีรถน่าสงสัยออกจากเมืองไปหรือไม่”
ศพจำนวนมากมายเพียงนี้หากคิดจะเคลื่อนย้ายออกจากเมืองไป ขบวนต้องใหญ่ไม่น้อย
เกาจัวหยวนรับคำสั่ง รีบไปสอบถามข่าวคราวทันที ในขณะที่มู่ฉินเจินนำเรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวอี้อวี่กวนรายงานแกฮ่องเต้เฒ่า และไปคิดหาวิธีอื่นมาแก้ปัญหา
เมื่อรู้ข่าวนี้ ฮ่องเต้เฒ่าก็กริ้วไม่น้อย จึงออกพระราชโองการค้นหาทั่วทั่งเมือง หาคนร้ายมือสังหารครอบครัวอี้อวี่กวนให้ได้
หลังจากที่เฉียวเยี่ยนได้รู้ข่าวนี้ ใจนางพลันสั่นกลัวกับการได้สัมผัสความป่าเถื่อนของคนสมัยโบราณอีกครั้ง ชีวิตคนตั้งสิบชีวิต ถูกฆ่าในชั่วข้ามคืน
มู่ฉินเจินพยายามหาคนที่พูดภาษาตงอิ๋งได้อย่างเต็มที่ ทว่าผลที่ได้ไม่เป็นที่น่าพอใจ
เฉียวเยี่ยนก็ปวดหัวเช่นกัน แม้ในยุคปัจจุบันจะมีวิชาเอกภาษาญี่ปุ่นโดยเฉพาะ แต่นางไม่เคยเรียนเลยน่ะสิ มากสุดก็รู้จักแค่ปาเกอยาลู่ (เจ้าโง่)และอาซีปา(แม่งเอ๊ย) เท่านั้น
ตอนเย็น ทั้งครอบครัวนั่งดูดาวอยู่ในลานบ้าน แม้บิดากับมารดาจะเล่นกับพวกเขา แต่ลูกๆ ก็สัมผัสได้ว่า อารมณ์ของผู้ใหญ่ทั้งสองไม่ค่อยดีนัก
ระบบตัวน้อยเชื่อมโยงจิตกับโฮสต์ หลังจากรู้ว่านางมีเรื่องให้เครียด นางก็ยกอุ้งมือเล็กๆ ขึ้นอย่างอ่อนแรง และกระพริบตาโต “จะเป็นไปได้ไหม? ข้าพูดภาษาตงอิ๋งได้”
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ระบบก็คือตัว MVP ของตอนนี้ ต่อให้สังหารล่ามไปยกครอบครัวแล้ว แต่มีระบบอยู่ ยังไงพี่มู่ก็รู้คดีนี้อยู่ดีแหละ
ไหหม่า(海馬)