ตอนที่ 358 กลับบ้านช่วงปิดภาคเรียน
ตอนที่ 358 กลับบ้านช่วงปิดภาคเรียน
ถูกต้อง หลังจากประสบกับวิธีบั่นทอนจิตใจอันหลากหลายของผู้อำนวยการเฉียวในที่สุดคุณชายรองสวีก็หาสิ่งที่ตัวเองชอบเจอแล้ว นั่นคือการต้อนฝูงแกะ!
พูดให้ชัดคือการทำฟาร์ม!
คำว่าทำฟาร์มนี้เฉียวเยี่ยนก็เป็นคนสอนเขาเอง หลังจากได้ต้อนแกะกับคนงานมาสองวัน เขาก็รู้สึกว่าการทำงานนี้มีอิสระมาก และที่สำคัญคือมีประโยชน์ด้วย
ครอบครัวเขามีร้านค้าและร้านอาหารอยู่มากมาย หากในอนาคตเขาเช่าภูเขาสักลูกเพื่อเลี้ยงแกะและหมูได้ เมื่อเลี้ยงสำเร็จค่อยส่งมอบให้กับร้านอาหารของตัวเอง ก็จะลดค่าวัตถุดิบไปได้ไม่น้อย
อีกอย่างตอนนี้ทั้งอาณาจักรนอกจากเขตทางเหนือกับทางตะวันตกแล้วก็มีการทำฟาร์มขนาดใหญ่น้อยมาก หากภายภาคหน้าเขาเป็นพ่อค้าที่เชี่ยวชาญในการจัดหาวัตถุดิบ เขาก็สามารถทำเงินได้เช่นกัน
เขาไม่กล้าบอกความคิดนี้ให้คนในบ้านรู้ จึงไปบ่นพึมพำกับเฉียวเยี่ยน แต่ไม่คิดเลยว่าเฉียวเยี่ยนไม่เพียงแต่ไม่ขัดขวางเขา แถมยังเห็นด้วยอย่างมาก
ตั้งแต่เด็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกที่ความคิดของเขาไม่ถูกคนอื่นตำหนิติฉิน ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นในใจเล็กน้อย แทบอยากกลับบ้านไปเหมายอดเขาทั้งหมดมาเลี้ยงแกะทันที
ทว่าเฉียวเยี่ยนสาดน้ำเย็นใส่เขา ปลุกเขาขึ้นมาอีกครั้ง
การทำฟาร์มไม่ใช่บอกว่าจะเลี้ยงก็สามารถเลี้ยงได้เลย เขาจำเป็นต้องเข้าใจหลักการภายในของมันอย่างท่องแท้
เช่นการเลือกสายพันธุ์ วิธีการให้อาหาร การรักษาโรค กระทั่งการผสมพันธุ์และการดูแลหลังคลอดเขาก็ต้องเรียน
ชั่วขณะหนึ่ง เขาดูเหมือนถูกปลุกให้ตื่นขึ้น วิชาการเกษตรของโรงเรียนมีสอนการทำฟาร์ม แต่ก่อนหน้านี้เขาไม่สนใจเรียนเลย ตอนนี้ต้องพยายามไปเรียนเสริมแล้ว
เมื่อคนเกิดสนใจในเรื่องบางอย่าง ก็จะมีแรงจูงใจในการเรียนเป็นพิเศษ เมื่อก่อนคุณชายรองสวีแค่อ่านหนังสือก็ง่วงนอนแล้ว ตอนนี้กลับอ่านหนังสือการดูแลแม่หมูหลังคลอดอย่างสนุกสนาน
เมื่อพ่อแม่ของสวีอิงรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของลูกชายแล้ว ก็ปิติยินดีจนหลั่งน้ำตา และไม่สนใจว่าเขาจะเรียนอะไร ขอแค่เขามีเป้าหมาย ยอมพยายามอย่างเต็มที่ก็เพียงพอแล้ว
หลายปีผ่านมานี้ พวกเขาตระหนักได้ว่าเมื่อก่อนพวกเขาเข้มงวดกับเขามากเกินไป ถึงทำให้เขาเป็นคนดื้อรั้นขึ้นมา ตอนนี้จึงคิดเพียงแล้วแต่เขา
ได้ยินมาว่าเขาภายภาคหน้าเขาจะไปเหมายอดเขาเลี้ยงแกะเลี้ยงหมู สองสามีภรรยาจึงไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบไปหาที่ดินให้ลูกชายทันที ไม่ว่าจะเหมาะสมหรือไม่ก็ซื้อเอาไว้ก่อน ค่อยปล่อยให้ลูกชายเลือกในภายหลัง!
……
โรงเรียนอาชีวะส่งผลกระทบต่อนักเรียนเป็นอย่างมาก นักเรียนหลายคนที่ขี้อายแต่เริ่มแรกเข้าโรงเรียนก็เปลี่ยนไปอย่างมาก เปลี่ยนไปมีความมั่นใจและสดใสขึ้น
สองพี่น้องหูเหมียวเหมียวกับหูเฉียวเฉียวเป็นนักเรียนส่วนหนึ่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้
พวกนางสองพี่น้องมุมานะเรียนอย่างหนัก และได้ลงสมัครทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยของโรงเรียน ไปช่วยในครัวหลังโรงอาหาร ไม่เพียงแต่หาเงินพอสำหรับค่าครองชีพกับค่าเล่าเรียน แต่ยังเก็บเงินบางส่วนไปให้พ่อแม่ได้ด้วย
เนื่องจากผลการเรียนดี พวกนางยังได้รับทุนการศึกษาของโรงเรียนด้วย รางวัลที่หนึ่งได้เงินสิบตำลึง รางวัลที่สองได้แปดตำลึง และรางวัลที่สามได้เงินห้าตำลึง
หูเหมียวเหมียวสอบปลายภาคในปีการศึกษาแรกได้อันดับหนึ่งของโรงเรียนหญิง จึงได้รับทุนการศึกษาอันดับหนึ่ง หูเฉียวเฉียวก็ไม่เลวเช่นกัน สอบเข้าได้อันดับยี่สิบแรกของชั้นปี จึงได้รับทุนการศึกษาอันดับสาม ปีการศึกษาหนึ่งสองพี่น้องเก็บเงินให้ทางบ้านได้ถึงสิบห้าตำลึง!
ตอนนี้เป็นเดือนแปดแล้ว โรงเรียนกำลังจะปิดภาคเรียนฤดูใบไม้ร่วง นักเรียนที่ไม่ได้กลับบ้านสองสามครั้งในหนึ่งภาคเรียนต่างกระตือรือร้นที่จะกลับบ้าน แบกสัมภาระไว้บนหลังและกลับบ้านไป
เนื่องจากหูเหมียวเหมียวกับหูเฉียวเฉียวต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย จึงไม่ได้กลับบ้านเลยในภาคเรียนนี้ และพวกนางก็คิดถึงพ่อแม่มานานแล้ว
ตั้งแต่เช้าตรู่พวกนักเรียนเริ่มทยอยกันออกจากโรงเรียน พวกนางเองก็เช่นกัน แบกสัมภาระเข้าไปในเมืองก่อน ไปซื้อผ้าสองผืนที่ร้านขายผ้ามาทำเสื้อผ้าให้พ่อแม่ และไปซื้อเนื้อสองชั่งที่ร้านขายเนื้อ
หลังจากซื้อของเสร็จ ก็หาเกวียนกลับหมู่บ้าน เมื่อสองพี่น้องกลับถึงบ้านก็เป็นเวลากินข้าวเที่ยงแล้ว
หูอวี้หลินกับจางซื่อกำลังกินข้าวอยู่ เป็นโวโวโถวแป้งหยาบกับผักดองหนึ่งจาน สองคู่รักประทังชีวิตแบบนี้ไปทุกมื้อ
ด้วยความงุนงงหลังได้ยินเสียงลูกสาวเรียกพ่อแม่มาแว่วๆ พวกเขาจึงมองไปทางประตูอย่างร้อนใจ และเห็นว่าลูกสาวกลับมาจริงๆ
ไม่ได้เจอมาหลายเดือน พวกลูกๆ เติบโตขึ้นเยอะ และงดงามขึ้นมาก
อาหารและเครื่องดื่มในโรงเรียนดีมาก สองพี่น้องได้บำรุงร่างกายตัวเองช่วงหนึ่ง ผิวพรรณจึงเปลี่ยนมาดีขึ้น มีเนื้อหนังมังสาเพิ่มขึ้น ไม่ใช่สาวผมเหลืองกรอบผอมแห้งอีกต่อไปแล้ว
เมื่อจางซื่อเห็นลูกสาวกลับมา นางก็หลั่งน้ำตาด้วยความปิติยินดี ก่อนรีบลุกขึ้นไปต้อนรับ “เหตุใดถึงกลับมากันหมดเลยล่ะ และไม่บอกแม่กับพ่อเจ้าด้วย พวกเราจะได้ไปรับพวกเจ้า”
สองพี่น้องกอดออดอ้อนคนเป็นแม่ และน้ำตาไหลไม่หยุด หูอวี้หลินยืนอยู่ข้างๆ มองด้วยรอยยิ้มแหย
หลังจากสนิทสนมกันพอสมควรแล้ว สองพี่น้องก็หยิบของที่ซื้อให้พ่อแม่ออกมาทั้งหมด
หูอวี้หลินกับจางซื่อมองเนื้อกับผ้าที่พวกลูกสาวซื้อมา ทั้งรู้สึกซาบซึ้งใจและปวดใจ ผ้าดีๆ แบบนี้ต้องใช้เงินไปเป็นจำนวนไม่น้อย ต้องเป็นเพราะพวกลูกประหยัดกินและอดออมมาแน่ๆ
“ข้ากับแม่เจ้าสบายดี จะซื้อของพวกนี้มาทำไมกัน พวกเจ้าซื้อให้ตัวเองก็พอแล้ว”
หูอวี้หลินยิ้มๆ อยู่จนน้ำตาแทบจะไหลออกมา พวกลูกสาวมีความหวังแล้ว!
แต่ใครจะไปคิดล่ะว่ายังมีเรื่องประหลาดใจกว่านี้อีก!
สองพี่น้องหยิบเงินออกมาจากถุงเงิน เพราะกลัวถูกขโมยระหว่างทาง พวกนางจึงเย็บถุงเงินติดไว้บนเสื้อผ้า หลังแกะด้ายออกก็เผยให้เห็นแท่งเงินแวววาว
เมื่อนำเงินออกมาทั้งหมดแล้ว ก็พบว่ามีมากถึงสิบเจ็ดตำลึง
พวกเขามีทุนการศึกษาสิบห้าตำลึง เก็บเงินได้สามกว่าตำลึงระหว่างทำงานไปด้วย แต่วันนี้ใช้ไปบางส่วน และยังเหลืออีกสิบเจ็ดตำลึง
ทั้งหูอวี้หลินกับจางซื่อต่างก็ตกตะลึง มองกองเงินอยู่เนิ่นนานจนพูดไม่ออก และยังเป็นหูเหมียวเหมียวที่เป็นคนอธิบายให้พ่อแม่ฟัง
เมื่อได้ยินว่าพวกลูกสาวได้รับรางวัล ทั้งคู่ก็ดีใจสุดๆ เดี๋ยวก็ร้องไห้ เดี๋ยวก็หัวเราะ
การส่งลูกๆ ไปเรียนหนังสือในโรงเรียนตอนนั้น เป็นการตัดสินใจที่ฉลาดที่สุดในชีวิตพวกเขาแล้ว!
หูเหมียวเหมียวกับหูเฉียวเฉียวยังบอกข่าวดีอีกอย่างแก่พวกเขา ว่าพวกนางทั้งสองคนทำงานเย็บปักได้ดีมาก รอปีหน้าพวกเขาต้องเรียนงานเย็บปักต่อแน่นอน
อาจารย์สอนเย็บปักในโรงเรียนมีโรงงานเย็บปักเป็นของตนเอง และบอกว่ารอพวกนางเรียนจบแล้ว หากพวกนางยิ่งมีฝีมือพัฒนาขึ้น ก็จะจัดให้พวกนางเข้าไปทำงานในโรงงานเย็บปัก แบบนี้พวกนางก็ไม่ต้องกลุ้มใจกับชีวิตในอนาคตแล้ว
ครั้นหูอวี้หลินและภรรยารู้ว่าลูกสาวมีอนาคตที่ดี ความคับแค้นใจที่พวกเขาได้รับในอดีตก็เหือดหายไป
ส่วนหูอวี้กุ้ยกับภรรยาคู่นั้น เมื่อเจอกันก็คอยแต่พูดจาประชดประชัน แดกดันถากถาง หึ จากนี้ไป ลูกสาวของเราคือคนที่พวกเขาเอื้อมไม่ถึงหรอก!
เวลาปิดภาคเรียนหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกเด็กๆ เก็บกระเป๋ากลับไปโรงเรียนอีกครั้ง
เริ่มเปิดเรียนวันแรก ผู้อำนวยการเฉียวต้องจัดประชุมใหญ่ให้พวกอาจารย์กับนักเรียน แต่กลับไม่เคยคิดเลยว่า จะยังมีคนมาสร้างปัญหา
คนที่มาคือครอบครัวของหูอวี้กุ้ย ครอบครัวของหูอวี้กุ้ยเห็นเด็กสาวสองคนของครอบครัวของหูอวี้หลินกินดีอยู่ดี และได้ยินมาว่ายังได้ทุนการศึกษาอะไรสักอย่างนี่แหล่ะ พวกเขาจึงรู้สึกเสียใจ
ตอนนั้นน่าจะให้ลูกชายมาเข้าเรียนตั้งแต่แรก แบบนี้ ทุนการศึกษานั้นต้องเป็นของครอบครัวพวกเขาแน่นอน!
อีกอย่างทางโรงเรียนยังช่วยเลี้ยงดูเด็กให้พวกเขาด้วย ซึ่งช่วยประหยัดค่าอาหารไปได้ไม่น้อย
พวกเขาพาลูกชายทั้งสองมาที่หน้าประตูใหญ่โรงเรียน มองประตูใหญ่กับกำแพงอันโอ่อ่า ต่างก็เหม่อลอยเล็กน้อย
พวกอาจารย์ที่มารับสมัครนักเรียนในตอนนั้นไม่ได้โกหกจริงๆ โรงเรียนนี้ยิ่งใหญ่มาก ยิ่งพวกเขาได้เห็นก็ยิ่งจุกจนพูดไม่ออก ราวกับว่าพวกเขาพลาดเงินสองสามร้อยตำลึงไป
เมื่อเห็นพวกนักเรียนเข้าโรงเรียนไปอย่างคับคั่ง ครอบครัวนี้ก็อยากใช้โอกาสนี้แอบปะปนเข้าไปด้วย แต่เมื่อถึงหน้าประตูก็ถูกขวางเอาไว้
“หยุด พวกเจ้าเป็นใคร? ป้ายโรงเรียนล่ะ? ไม่มีป้ายโรงเรียนห้ามเข้าไปข้างใน!”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยร่างสูงใหญ่ขวางทางพวกเขาเอาไว้ และมีกลิ่นอายน่าเกรงขาม ทำให้ครอบครัวขี้ขลาดตกใจอย่างมาก
ป้ายโรงเรียน?
พวกเขามีสิ่งนั้นที่ไหนกัน!
หูอวี้กุ้ยมองไปรอบๆ เห็นพวกนักเรียนสวมป้ายไม้เล็กๆ ไว้บนลำคอ ป้ายโรงเรียนน่าจะเป็นเจ้าสิ่งนั้น
เขายิ้มอย่างประจบสอพลอใส่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และเอ่ยโกหก “รบกวนพี่ชายท่านนี้ช่วยผ่อนผันให้หน่อย เด็กๆ ลืมป้ายโรงเรียนไว้ พวกเราส่งเด็กเข้าไปก็กลับแล้ว”
แค่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมองครอบครัวนี้ก็คิดว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็ถามอย่างใจเย็นว่า”ไม่ได้พกมาก็ใช่ว่าจะไม่ให้เข้าไป บอกข้อมูลมาหน่อย อยู่ห้องไหน ชื่ออะไร อาจารย์ที่ปรึกษาคือใคร?”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อิจฉาล่ะสิครอบครัวหูอวี้กุ้ย ถึงขั้นยอมกลืนน้ำลายตัวเอง จะเข้าโรงเรียนนี้ง่ายๆ เหรอฝันไปเถอะ
ไหหม่า(海馬)