ตอนที่ 13 ระดับความรู้สึกดีของเจียงซูเสวียน
ตอนที่กู้ซีเฉียวกลับมาที่คฤหาสน์ตระกูลกู้ คนในบ้านทานมื้อค่ำเรียบร้อยแล้ว
คนรับใช้ขมวดคิ้วมองประตู เพราะจำได้ว่าตัวเองปิดประตูสนิทแล้วมิใช่หรือ
ซูหว่านเอ๋อร์นั่งอยู่ในห้องรับแขก หางตาของเธอเหลือบไปเห็นคนที่กำลังเดินเข้ามา รอยยิ้มเปื้อนหน้าหายวับในชั่วพริบตา เธอค่อยๆ วางสร้อยคอในมือด้วยท่าทีเย็นชา “ป้าหวัง เอารองเท้าเดินในบ้านให้คุณหนูเล็ก เธอไม่รู้ว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไร เธออยู่ที่นี่มาตั้งกี่ปีแล้วยังไม่รู้อีกหรือ พื้นนี่ก็เพิ่งถู กลับมาก็ไม่รู้จักเปลี่ยนรองเท้า คนข้างนอกเขาคงหาว่าฉันสอนไม่ดี”
เมื่อคนตระกูลซย่ากลับไปแล้ว ซูหว่านเอ๋อร์ก็เฝ้าจับผิดเธอ แม้เธอจะกล่าวเช่นนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าให้คนรับใช้นำรองเท้ามาให้จริงๆ โดยปกติแล้ว คนรับใช้เหล่านี้ก็เห็นตัวอย่างจากบรรดาเจ้านาย ในเมื่อตระกูลซย่าไม่อยู่ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องไว้หน้า!
กู้ซีเฉียวที่กำลังจะก้าวเดินหดเท้ากลับไป เธอก้มศีรษะ ขนตายาวไหววูบ
ร่างเพรียวบางยืนตัวตรงอยู่ที่หน้าประตู เธอค้อมตัวลงแช่มช้าก้มถอดรองเท้า และเดินเท้าเปล่าจากหน้าประตูขึ้นไปชั้นบน
เธอเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว คนรับใช้ยังไม่ทันจะขยับตัว เธอก็ขึ้นไปชั้นบนเสียแล้ว
แผ่นหลังของเธอเหยียดตรง ปอยผมที่ปรกลงมาบดบังสีหน้า เท้าเปลือยเปล่าเนียนใสประดุจหยกผอมจนเห็นกระดูกชัดเจน
ไม่ทราบว่าด้วยสาเหตุใด เธอที่มักจะเจียมเนื้อเจียมตัวเสมือนว่าไม่มีตัวตนอยู่ในบ้านหลังนี้ แต่ในเวลานี้กลับทำให้คนอื่นรู้สึกทนไม่ได้
เรือนร่างซูบผอมทำให้คนเห็นรู้สึกปวดใจ
เธอผอมบางเช่นนี้มานานแล้ว แต่จู่ๆ วันนี้กู้จู่ฮุยกลับทนไม่ได้เสียอย่างนั้น เขาวางถ้วยชาในมือ รอให้กู้ซีเฉียวเดินไปจนพ้นสายตาแล้วจึงขมวดคิ้วพลางกล่าว “กู้ซีเฉียวเพิ่งจะย้ายจากบ้านแม่บุญธรรมมาได้ไม่นาน แกคงยังไม่ชิน เรื่องเล็กๆ ปล่อยๆ ไปบ้างก็ดี อย่าไปบังคับแกถึงขั้นแกต้องถอดรองเท้าเดินเลย หว่านเอ๋อร์ ถึงอย่างไรแกก็เป็นลูกผม อะไรหยวนๆ ได้ก็หยวนๆ ไปเถอะ”
“กู้จู่ฮุย คุณอย่ามาทำเป็นพูดดีหน่อยเลย! คุณปู่พาเด็กคนนั้นกลับมาไม่ถามความเห็นของฉันสักคำ ฉันโกรธแต่ก็พยายามไม่พูดอะไร ของอะไรดีๆ ฉันก็ให้ไม่เคยขาดตกบกพร่อง ฉันทำผิดต่อเด็กคนนั้นงั้นรึ ตอนนี้ฉันก็สอนเธอเรื่องมารยาท ฉันตำหนิรุนแรงที่ไหนกัน ที่ฉันทำก็เพื่อตัวเด็กคนนั้น อีกหน่อยจะได้ไม่ทำให้ตระกูลกู้ต้องขายหน้า! เด็กคนนั้นกลับมาดึกๆ ดื่นๆ ไม่รู้ว่าไปทำอะไรอยู่ข้างนอก ทำไมคะ ฉันแค่สอนแกเท่านี้ คุณก็เป็นเดือดเป็นร้อนแล้วเหรอ เด็กคนนั้นก็เหมือนแม่ของแก เก่งแต่หว่านเสน่ห์!” ซูหว่านเอ๋อร์เย้ยหยันเสียงเย็นก่อนจะหนีขึ้นไปชั้นบน ไม่คิดจะสนทนากับกู้จู่ฮุยต่อ
กู้จู่ฮุยนิ่วหน้า เพราะรู้สึกว่าตนเองคงพูดแรงเกินไป
อีกอย่างการที่กู้ซีเฉียวยังอยู่ในบ้านหลังนี้ก็เป็นเหมือนเสี้ยนหนามในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ และเป็นมลทินในชีวิตของเขาด้วย กู้จู่ฮุยขมวดคิ้วมุ่น
เมื่อไตร่ตรองแล้ว ซูหว่าเอ๋อร์กล่าวไม่ผิด การที่กู้ซีเฉียวจะอยู่ที่นี่ เธอก็ต้องเรียนรู้มารยาทไว้บ้าง หากจะพูดกันตามตรง ทายาทของตระกูลกู้ก็มีเพียงเด็กสาวทั้งสอง หากกู้ซีเฉียวบกพร่อง ตระกูลกู้ก็จะพลอยเสียชื่อไปด้วย
แต่เด็กที่มาจากบ้านนอก ต่อให้เรียนวิชามารยาทจะดีได้สักแค่ไหนเชียว
ชื่อเสียงของอาจิ่นก็มิควรเสียหายเพราะกู้ซีเฉียว ตระกูลกู้ไม่เลี้ยงคนไร้ประโยชน์ หากตอนนี้อบรมสั่งสอนให้ดี อีกหน่อยอาจจะเพิ่มหนทางให้แก่ตระกูลกู้ก็เป็นได้
เนื่องจากกู้จู่ฮุยไม่ได้ใส่ใจกู้ซีเฉียวอยู่แล้ว ความคิดนั้นจึงวนอยู่ในหัวเพียงไม่นานก็หายไป
กู้ซีเฉียวกลับมาที่ห้องนอนของตัวเอง หลังจากผ่านหนึ่งชีวิตมาแล้ว เธอก็ใจกว้างขึ้นมาก เธอไม่ได้เก็บเรื่องเล็กเมื่อครู่มาเป็นอารมณ์
มาดูสิว่าใครจะหัวเราะดังกว่ากัน
“ระบบ ระดับความรู้สึกดีของเจียงซูเสวียนมีอยู่เท่าไหร่”
[เรื่องนั้น…ระบบไม่สามารถตรวจสอบได้…]
มือของกู้ซีเฉียวที่ถือเสื้อผ้าชะงักไป เธอเลิกคิ้ว “แปลกจริง มีเรื่องที่ระบบตรวจสอบไม่ได้ด้วยเหรอ”
[เดิมทีตัวฉันเป็นระบบที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด เพียงแต่เจียงซูเสวียนแปลกเกินไป บนร่างของเขาถูกห่อหุ้มด้วยกลุ่มหมอกขาว ฉันจึงไม่สามารถตรวจสอบความรู้สึกในใจได้] ระบบเศร้าสร้อย นี่เป็นครั้งแรกที่ระบบพบมนุษย์ที่มีลักษณะเช่นนี้
“ไหนครั้งแรกที่เจอเขา ระบบบอกว่าเขาเจตนาดี ยังจะให้จัดอยู่ในหมวดหมู่มิตรอยู่เลยไม่ใช่เหรอ” กู้ซีเฉียวหยิบชุดเดินเข้าไปในห้องน้ำ เปิดฝักบัวล้างตัว
ระบบลูบคางด้วยความสงสัย [ฉันแค่ปั้นเรื่อง เพราะตอนนั้นระบบไม่สามารถตรวจสอบเขาได้ จึงอยากให้คุณเพิ่มเขาในรายชื่อมิตรเพื่อจะใช้โอกาสนี้ตรวจสอบ แต่ว่าเฉียวเหม่ยเหริน ทำไมคุณถึงชื่อเพิ่มเจียงซูเสวียนทั้งที่ไม่เพิ่มชื่อของซย่าจื่อจวิ้นและเซียวอวิ๋นล่ะ]
“ไม่ใช่กงการของเธอ” ไม่นานในห้องก็เต็มไปด้วยไอสีขาวขุ่น กู้ซีเฉียวเอ่ยตอบเชื่องช้า
ระบบสำลัก
คืนนั้นกู้ซีเฉียวนั่งทำงานที่ครูสั่ง จากนั้นเธอก็นอนลงบนเตียงและเข้าสู่พื้นที่เสมือนจริง
เริ่มภารกิจคัดลายมือแล้วจึงทบทวนบทเรียน
เมื่อเช้าเธอใช้เวลาอยู่ในพื้นที่เสมือนจริงเกือบหนึ่งเดือน เธอได้รวบรวมความรู้วิชาคณิตศาสตร์ระดับมัธยม เนื่องจากในพื้นที่เสมือนจริงมีหนังสือครบทุกเรื่อง เธอใช้คะแนนสิบคะแนนแลกหนังสือระดับต้น ฉะนั้นเธอจึงมีหนังสือมัธยมระดับพื้นฐานครบทุกเล่มแล้ว
พื้นที่ในห้วงอากาศแทบไม่ต่างจากชีวิตจริง ถึงเวลาเล่นก็เล่น ถึงเวลาเรียนก็เรียน
เนื่องจากสูญเสียพลังไปไม่น้อย กู้ซีเฉียวจึงไม่ได้เข้าไปในพื้นที่เสมือนจริงในช่วงบ่าย แต่ใช้เวลาตลอดทั้งบ่ายไปกับการฟื้นฟูพลังจิตเพื่อจะสามารถกลับเข้าไปได้อีกครั้ง
พื้นที่เสมือนจริงเป็นพื้นที่ที่แยกขาดจากโลกโดยสมบูรณ์ นี่เป็นอีกครั้งที่เธอถูกขับออกมาอย่างไม่ปรานีปราศรัย
เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวยังรู้สึกว่าตัวเองจัดการสิ่งต่างๆ ไม่เรียบร้อย และยังมีหลายอย่างที่เธอยังไม่ได้ศึกษา ระบบบอกเองว่าเธอใช้เวลาไปเพียงเดือนครึ่ง ยังไม่สามารถเข้าใจอย่างถ่องแท้
[โปรดทราบ ระบบตรวจพบว่าพลังจิตของโฮสต์อยู่ในภาวะอ่อนกำลัง ระบบจะขับคุณสู่โลกแห่งความเป็นจริงในอีกสามวินาที!]
กู้ซีเฉียวนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเซียว เธอลูบหน้าผากพลางพิงหลังกับหัวเตียง
[เฉียวเหม่ยเหริน พลังจิตของคุณแข็งแกร่งไวมาก แต่เมื่อเช้าคุณใช้เวลาไปแล้วหนึ่งเดือน บวกกับตอนนี้อีกครึ่งเดือน ถึงแม้คุณจะมีเวลาว่าง แต่อย่างนั้นก็ไม่ควรหักโหม การตั้งใจศึกษาเล่าเรียนเป็นเรื่องดี แต่ความเหนื่อยล้าทางจิตจะส่งผลเสียต่อร่างกาย เหม่ยเหริน คุณต้องรักษาสุขภาพ อย่าหักโหมจนตัวตาย เพราะระบบยังต้องพึ่งคุณ!] ระบบสวดยาวเหยียด น้ำเสียงแข็งกระด้างแฝงไปด้วยความกังวล
กู้ซีเฉียวรับรู้ได้ “อือ ฉันเข้าใจแล้ว”
เสียงอ่อนโยนของเธอครั้งแรกทำเอาระบบซาบซึ้ง
วันถัดมาเธอต้องไปโรงเรียน คนขับรถยืนคอยท่าอยู่ที่หน้าประตู กู้ซีจิ่นที่นั่งอยู่เบาะหลังโบกมือให้กู้ซีเฉียว
“น้อง เมื่อวานเธอไปไหนมา พี่รออยู่ตั้งนานไม่เห็นเธอออกมาสักที” กู้ซีเฉียวขึ้นรถ กู้ซีจิ่นดึงมือเธอมาจับพลางถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย
กู้ซีเฉียวมองเข้าไปในตาของอีกฝ่าย ดูเหมือนว่ากู้ซีจิ่นจะเกิดมาพร้อมความสามารถในการแสดง แววตาของเธอดูเป็นของจริง และเนื่องด้วยสาเหตุนี้ ชาติที่แล้วเธอถึงไม่ทันได้ระวังตัว เพราะหากดูแต่การแสดงออกของอีกฝ่าย ผู้ใดจะคาดคิดว่าความรู้สึกดีที่กู้ซีจิ่นมีต่อตัวเองจะอยู่ในระดับ -48 กันเล่า
ฝีมือการแสดงดีขนาดนี้ ไม่เข้าวงการบันเทิงจะเสียของเอานะ
“ครูเรียกฉันไปพบ” กู้ซีเฉียวพิงเบาะพลางหลับตา
เธอไม่อยากสนทนาด้วย
กู้ซีจิ่นเห็นดังนั้น ใบหน้าของเธอก็ฉายแววสุดฉงน เธอสัมผัสได้ว่ากู้ซีเฉียวมีบางอย่างเปลี่ยนไป แม้เมื่อก่อนกู้ซีเฉียวจะไม่สนใจคนอื่น แต่สำหรับกู้ซีเฉียว พี่สาวคือคนที่ใกล้ชิดที่สุด แต่ตั้งแต่งานวันเกิดคืนนั้น เหมือนกับว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
หรือว่างานวันเกิดคืนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า กู้ซีจิ่นใคร่ครวญ หมู่นี้เวลาคุยกับซย่าจื่อจวิ้น เขามักจากแสร้งทำเป็นถามไถ่เรื่องของกู้ซีเฉียวอยู่บ่อยๆ นั่นทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งยวด แม้เธอจะรู้ว่าซย่าจื่อจวิ้นไม่มีทางคิดเป็นอื่น แต่ถึงอย่างไร เธอก็ไม่ต้องการให้เขาสนใจใครอีกนอกจากเธอ