ตอนที่ 25 ภาพวาดแบบนี้
หมดคาบกู้ซีเฉียวหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาเล่น
เซียวอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะชะโงกหน้ามามองว่าเธอกำลังเล่นอะไร แต่สิ่งที่เธอเห็นกลับเป็นตัวเลขสีเขียวๆ แดงๆ จำนวนมาก ดูเหมือนหุ้นที่พี่ชายของเธอชอบดูอยู่บ่อยๆ นั่นยิ่งทำให้เธอถามอย่างอดไม่ได้ “ทำอะไรอยู่น่ะ”
กู้ซีเฉียวเงยหน้า “จะสนใจทำไมกัน โอ๊ย เธอน่ะ ท่องกลอนในซือซัวให้ฉันฟังดีกว่า”
ในชั่วพริบตานั้น เดิมทีเซียวอวิ๋นตั้งใจจะบอกว่าเธอท่องไม่ได้ แต่จู่ๆ ปากของเธอกลับท่องได้อย่างลื่นไหล
ซือซัวเป็นกวีบทแรกที่กู้ซีเฉียวเขียนสรุปไว้ในสมุดเล่มนั้น เธออ่านไปได้เพียงไม่กี่รอบ ครูประจำชั้นก็เดินเข้ามา แม้แต่ตัวเธอเองยังรู้สึกว่าตัวเองยังจำไม่ได้ แต่ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น แค่อ้าปาก กลอนก็พรั่งพรูออกมาทั้งบท ผีหลอกแน่ๆ!
“หากอ่านไม่เข้าใจ สงสัยไม่กระจ่าง จงถามอาจารย์ผู้รู้ หากไม่ถาม รู้น้อยแต่แสร้งทำเป็นรู้ ไม่มีทางแจ้งใจ” กู้ซีเฉียวละสายตาจากโทรศัพท์ในมือพลางมองด้วยสายตาเหนื่อยหน่าย “เธอยังท่องบทนี้ไม่จบ เอาเถอะ คืนนี้กลับไปคัดมาสิบรอบ”
ครั้นกล่าวจบเธอหยิบสมุดสำหรับคัดออกมาจากกระเป๋า ส่งให้เซียวอวิ๋น
WTF? เซียวอวิ๋นอ้าปากค้าง
กู้ซีเฉียวหรี่ตามองเธอ “ก็เธออยากขอบคุณฉันไม่ใช่เหรอ”
เซียวอวิ๋นจนด้วยคำพูด สายตาที่มองไปยังกู้ซีเฉียวยังคงแปลกพิลึก
ตอนพักกลางวัน เซียวอวิ๋นที่ไม่เคยเฉียดกรายเข้าไปชั้นล่างของโรงอาหารกลับเดินเข้าไปที่นั่น หนำซ้ำยังทำหน้าที่ตักอาหาร ตักซุปและจองเก้าอี้ให้กู้ซีเฉียวประหนึ่งลูกสมุน ภาพหญิงสาวทั้งสองที่ยืนอยู่ด้วยกันดึงดูดสายตาหลายคู่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเดือนโรงเรียนที่ยืนอยู่ข้างๆ ความสนใจทั้งหมดในโรงอาหารจึงอยู่ที่คนทั้งสาม
อู่หงเหวินนั่งตรงเก้าอี้ด้านในสุด ใกล้ๆ กลุ่มของพวกเขามีนักเรียนจากห้องหัวกะทิอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งนำโดยกู้ซีจิ่น
คนกลุ่มนั้นกำลังสนทนากันเรื่องที่กู้ซีจิ่นถูกเชิญไปร่วมงานนิทรรศการภาพวาด ผลงานของเธอเข้าตาสถาบันวิจิตรศิลป์ของเมืองตั้งแต่อายุยังน้อย อีกทั้งยังได้รับโควตาพิเศษ เรื่องนี้เป็นกระแสโด่งดังถึงขนาดที่ครูใหญ่ในโรงเรียนยังออกปากชมผ่านเสียงตามสาย
นอกจากนี้ยังมีการจัดสัมภาษณ์สกูปพิเศษ ในตอนนั้นชื่อของ ‘กู้ซีจิ่น’ ถูกลือไปทั่วเมืองเอ็น
เด็กสาวอายุน้อยได้รับเกียรติอันสูงส่ง ก้าวหน้าไปไกลกว่าเด็กในรุ่นราวคราวเดียวกัน
เพื่อนในห้องมองกู้ซีจิ่นด้วยสายตาชื่นชม แต่ไร้ซึ่งความรู้สึกริษยา
กู้ซีจิ่นเป็นที่ดึงดูดความสนใจของคนรอบข้างจนกระทั่งกู้ซีเฉียวและเพื่อนอีกสองคนนั่งลงโต๊ะข้างๆ คนที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันเธออดหันเหความสนใจไปที่คนทั้งสามไม่ได้ กระทั่งไม่มีกะจิตกะใจจะทานอาหาร เพื่อนของอู่หงเหวินยกถาดอาหารมาขอร่วมโต๊ะของกู้ซีเฉียว
สายตาของกู้วีจิ่นเย็นเยียบฉับพลัน มือที่จับตะเกียบกระชับแน่นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
กู้ซีเฉียวกลายเป็นคนดังตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
จงหย่งซือเฝ้ามองปฏิกิริยาของกู้ซีจิ่น ทันทีที่เขาเงยหน้าก็เห็นกู้ซีเฉียวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะข้างหน้า ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น “ทำไมอู่หงเหวินถึงได้ไปนั่งตรงนั้น”
น้ำเสียงของเขาฟังดูไม่ดีเอาเสียเลย หนำซ้ำยังเจือไปด้วยความรังเกียจ
หากจะว่าไปแล้ว จงหย่งซือถือว่าเป็นคนที่ได้รับคะแนนนิยมไม่น้อย แม้คะแนนนิยมอาจไม่สู้อู่หงเหวิน แต่ก็มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันมากนัก เมื่อได้ยินชายหนุ่มกล่าวเช่นนี้ ความสนใจของคนบนโต๊ะก็ถูกกระตุ้นขึ้นทันที
“จงคนเก่ง ดูเหมือนนายจะไม่ค่อยชอบกู้ซีเฉียวเท่าไหร่นะ”
จงหย่งซือกระตุกมุมปากเย็นชา “ฉันเคยเจอผู้หญิงคนนั้นในห้องวาดรูป พรสวรรค์สักนิดก็ไม่มี คงได้ยินว่าอาจิ่นถูกเสนอชื่อไปรวมงานนิทรรศการ เธอถึงพยายามจะถีบตัวเอง หลงในลาภยศชื่อเสียง ใฝ่สูงแต่ฝีมือต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ไม่รู้จักเจียมตัว!”
“หยุดพูดเถอะ บางทีเขาอาจจะมีความสามารถจริงๆ ก็ได้” เมื่อได้ยินจงหย่งซือกล่าวเช่นนั้น สีหน้าของกู้ซีจิ่นก็ดีขึ้นมากทีเดียว
เธอเป็นดาวเด่นของโรงเรียนอีจง เธอมีซย่าจื่อจวิ้นคอยประคบประหงมอยู่ไม่ห่าง แฟนคลับผู้ภักดีของซย่าจื่อจวิ้นจึงดีต่อเธอด้วย และด้วยนิสัยของหญิงสาวและชาติตระกูลที่ดีจึงมีคนไม่น้อยที่ชื่นชอบเธอ เธอเป็นที่สนใจจนเคยชิน ฉะนั้นในเวลานี้ที่ความสนใจถูกแย่งไป เธอจึงรู้สึกไม่ยินดีเป็นธรรมดา แต่โชคดีที่คำพูดของจงหย่งซือช่วยปลอบประโลมให้อารมณ์ของเธอกลับสู่สภาพเดิมได้
ไม่ต้องรอให้ถึงวันพรุ่งนี้ เรื่องของกู้ซีเฉียวก็ลือลั่นไปทั่วอีจงแล้ว
“จะว่าไปแล้ว อาจิ่นกับกู้ซีเฉียวแซ่กู้เหมือนกันเลยนะ” เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นจากบนโต๊ะ
ในแวดวงชั้นสูงของเมืองเอ็น ชื่อของกู้ซีเฉียวเป็นที่รู้จัก แต่ในโรงเรียนอีจง ตระกูลกลับไม่เคยออกตัวรับรองสถานะของเธอเลยสักครั้ง ขนาดใบสมัครเข้าเรียนของเธอยังกรอกว่าเป็นบุตรกำพร้า กู้ซีจิ่นเองก็แทบจะไม่สุงสิงกับกู้ซีเฉียว ฉะนั้นแล้วคนที่ทราบสถานะที่แท้จริงของกู้ซีเฉียวจึงมีไม่มาก
ตามหลักเหตุผลแล้ว ไม่มีใครเอาเด็กธรรมดาไปเทียบชั้นกับเด็กอัจฉริยะอย่างกู้ซีจิ่น ทั้งคู่ต่างกันเกินไป ไม่มีความจำเป็นต้องเอาไปเทียบกัน
นี่เป็นครั้งแรกที่ชื่อของทั้งสองถูกเอ่ยถึงพร้อมกัน รอยยิ้มของกู้ซีจิ่นชะงักค้าง
จงหย่งซือทราบเรื่องทั้งหมด เขามองไปที่คนที่เอ่ยประโยคนั้นออกมา “เขาแซ่กู้หรอกเหรอ สร้างความอัปยศให้กับแซ่นี้แท้ๆ”
เมื่อเห็นสีหน้ารังเกียจของชายหนุ่ม คนบนโต๊ะก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงชื่อนั้นอีก ทุกคนวกกลับมาสนทนาเรื่องงานนิทรรศการภาพวาดของกู้ซีจิ่นต่อ
……
ช่วงที่ผ่านมากู้ซีเฉียวศึกษาเรื่องวิทยายุทธ์โบราณอย่างจริงจัง เธอไม่ได้เพียงแค่ทำได้ แต่ยังทำได้ดีเสียด้วย ร่างกายของเธอแข็งแกร่งขึ้นกว่าก่อน หูของเธอก็ดีขึ้นกว่าก่อนเช่นกัน ฉะนั้นเธอจึงได้ยินบทสนทนาบนโต๊ะอาหารของกู้ซีจิ่นตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ทว่าหญิงสาวไม่ได้เก็บมาใส่ใจ หลังจากทานอาหารด้วยความไวแสง เธอก็เดินกลับไปที่ห้องเรียนพร้อมกับเซียวอวิ๋น เด็กสาวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะข้างหลังถือถาดอาหารตั้งใจจะมานั่งด้วย แต่เมื่อเห็นกู้ซีเฉียวเดินออกจากโรงอาหารไปแล้ว เธอจึงทำได้เพียงแค่นั่งลงในอีกมุมหนึ่งของโรงอาหาร
ช่วงพักกลางวัน กู้ซีเฉียวฟุบนอนบนโต๊ะในห้องเรียน ส่วนเซียวอวิ๋นนั่งท่องกลอนอยู่ข้างๆ ด้วยความขมขื่น
เซียวอวิ๋นตั้งใจจะอู้ แต่น่าแปลกตรงที่ทุกครั้งที่เธอหยุดท่อง เตรียมจะหยิบข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ขึ้นมาทำ กู้ซีเฉียวจะลืมตาขึ้นมามองพลางเอ่ยเชื่องช้าพลางเอ่ย “อ่านต่อไป”
ขนาดแอบอู้ยังทำไม่ได้ เซียวอวิ๋นจึงทำได้เพียงจำใจท่องหนังสือต่อไป เพราะถึงอย่างไรตอนนี้กู้ซีเฉียวก็เป็น ‘ผู้มีพระคุณ’ ของเธอ แต่เมื่อยิ่งท่องไปเรื่อยๆ เธอยิ่งรู้สึกแปลกกับตัวเองว่าทำไมจู่ๆ ความจำของเธอก็ดีขึ้นแบบก้าวกระโดด ก่อนหน้าที่จะเข้าเรียนชั้นมัธยมต้น เธอเรียนที่ต่างประเทศมาโดยตลอด เธอไม่เคยศึกษาเกี่ยวกับประเทศจีนอย่างลึกซึ้งเลยสักครั้ง เพียงแค่กวาดตามองบทกลอนก็ทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยหน่ายแล้ว แต่ทว่าวันนี้เธอกลับรู้สึกสนใจเอาเสียดื้อๆ
เป็นเช่นนั้นอยู่สองสามวัน เซียวอวิ๋นอ่านจบเล่ม การพูดของเธอมีระเบียบแบบแผนขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นที่ประจักษ์ในสายตาคนภายนอก
การสื่อสารของเธอดีขึ้นถึงขนาดครูที่สอนวิชาทักษะภาษาที่เลิกหวังในตัวเธอไปแล้วเริ่มมีความหวังครั้งใหม่
กู้ซีเฉียวเห็นท่าทางภาคภูมิใจของเซียวอวิ๋นก็เคาะโต๊ะอย่างอดไม่ได้ “เฮ้ ครูภาษาชมแค่ประโยคเดียว เธออย่าได้ลอยเชียว ดูตัวหนังสือที่เธอเขียนสิ จากในห้องนี้ เธอเห็นใครเขียนได้น่าเกลียดกว่าเธออีกไหม เอาเป็นว่า เธอเอากลอนหลีเซามาท่องให้ฉันฟังดีกว่า”
“หลีเซาที่เธอลอกมาให้ฉันมันเป็นฉบับเต็ม เวลาเรียนในห้องครูไม่ได้ให้ท่องทั้งฉบับสักหน่อย” เซียวอวิ๋นทำแข็งขืน
“เกิดเป็นคนจีน แต่ดึงดันหัวรั้นไม่ยอมศึกษาวัฒนธรรมจีน ไม่ต่างอะไรกับพวกกินบ้านกินเมือง!” กู้ซีเฉียวเก็บหนังสือ หยิบโทรศัพท์มือขึ้นมาเปิดดูขณะที่เดินออกไป “วันนี้เธออยู่ท่องหนังสือในห้องเรียนต่อก็แล้วกัน เพราะถึงยังไงฉันก็บอกคุณลุงคนขับรถที่บ้านเธอไปแล้ว ยังไงเขาก็จะคอยเธออยู่ที่หน้าประตูโรงเรียน”
เซียวอวิ๋นมองร่างของกู้ซีเฉียวเดินห่างออกไปทุกชั่วขณะ ใบหน้าเย็นชานิ่วหน้าก่อนจะกลับสู่ความเมินเฉย หญิงสาวหยิบสมุดขึ้นมา เริ่มอ่านตะกุกตะกัก
กู้ซีเฉียวเดินลงมาถึงชั้นล่าง แต่เธอไม่ได้ออกไปนอกโรงเรียน แต่กลับตรงไปที่ห้องศิลปะ
วันนี้ในห้องศิลปะไม่มีคนอยู่
กู้ซีเฉียวกวาดตามอง เธออารมณ์ดี หญิงสาวหยิบกระดานวาดรูปออกมา บนกระดานแผ่นมันมีภาพเขียนที่ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์
ภาพนั้นใช้เทคนิคการภาพวาดเสมือนจริง ใช้พู่กันขนาดเล็กบรรจงร่างลายเส้นองค์ประกอบออกมาเป็นภาพหญิงสาวชนบท หญิงในภาพแลดูเรียบง่ายและใสซื่อ ความเย็นและความอุ่นในภาพตัดกันชัดเจน ความต่างนั้นทำให้คนมองรู้สึกทึ่ง เยือกเย็นสุขุมทว่าสง่างาม บนหน้าของหญิงสาวมีริ้วรอยตื้นๆ แววตาขุ่นมัวทว่าเจือไปด้วยไออุ่น คนที่มองภาพนั้นสัมผัสได้ว่าหญิงสาวในภาพเป็นคนใจดีและสมถะ ในมือของเธอถือเข็มและด้าย มีเม็ดเหงื่อผุดพรายอยู่บนหน้าผาก หากพิจารณาแล้ว เธอไม่ใช่คนสวยทว่ากลับดูเป็นคนจริงจัง
กู้ซีเฉียวนิ่งมองภาพนั้นเนิ่นนาน แล้วจึงค่อยๆ หยิบพู่กันขึ้นมาตั้งใจจะสานต่อภาพนั้นให้เสร็จ
ในขณะนั้นเอง โทรศัพท์มือถือในกระเป๋านักเรียนก็ส่งเสียง เธอหยิบออกมาดูแล้วพบว่าคนที่โทรมาคือเซียวอวิ๋น
“เพื่อนกู้ เธอลืมชีทเลขไว้ที่ห้องเรียน จะให้ฉันเอามันกลับบ้านไปด้วยหรือเปล่า เพราะยังไงพรุ่งนี้เธอก็มาที่บ้านฉันอยู่แล้ว” น้อยนักที่เซียวอวิ๋นจะพูดยืดยาวเช่นนี้
กู้ซีเฉียวคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ตอนนี้เธออยู่ไหน”
“กำลังลงบันได”
“งั้นเธอรอฉันตรงทางแยกหน้าตึกเอฟก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันเดินไป” กู้ซีเฉียววางพู่กันในมือ
ทางแยกอยู่ห่างไปไม่ไกล เดินเพียงไม่กี่นาทีก็ถึง กู้ซีเฉียวเพิ่งไปรับใบงานมาได้ไม่ทันไร เสียงของระบบก็ดังขึ้น
[คำเตือน! ตอนนี้กู้ซีจิ่นผู้เป็นบุคคลอันตรายยืนอยู่ใกล้รูปภาพของโฮสต์ โปรดระวังตัวด้วย!]
“เขาจะทำอะไรกับภาพนั้น” ฝีเท้าของกู้ซีเฉียวหยุดชะงัก
[ดูเหมือนว่าเธอกำลังชื่นชมภาพวาดของคุณ ไม่ทราบว่าต้องการให้ใช้มาตรการลงโทษกับกู้ซีจิ่นหรือไม่] ระบบไม่มีความรู้สึกดีต่อคนในตระกูลกู้เลยสักนิด เมื่อกล่าวถือบทลงโทษ น้ำเสียงของระบบก็เย็นชากว่าปกติหลายเท่า เห็นได้ชัดว่าระบบกระตือรือร้นอย่างยิ่ง
“ไม่ต้อง ภาพนั้นฉันยังวาดไม่เสร็จ เขาคงยังไม่กล้าทำอะไร” กู้ซีเฉียวสงบนิ่ง ก้าวเดินอย่างไม่รีบร้อน เธอให้เวลากู้ซีจิ่นได้ชื่นชมต่ออีกสักหน่อย
ตอนแรกกู้ซีจิ่นเฝ้าสงสัยว่าที่กู้ซีเฉียวไม่ยอมกลับบ้านหลายวัน เธอหายไปทำอะไรมาจึงสะกดรอยตามมาเรื่อยๆ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาโผล่ที่ห้องศิลปะ
เธอคิดมาตลอดว่ากู้ซีเฉียวคงเป็นอย่างที่จงหย่งซือให้คำจำกัดความเอาไว้คือ ไม่มีพรสวรรค์เลยสักนิด ทำตัวเป็นตัวตลกไปวันๆ แต่คิดไม่ถึงเลยว่า ภาพที่อยู่ตรงหน้าจะทำให้เธอรู้สึกทึ่งได้ถึงขนาดนี้
ยามที่ชมงานศิลปะ สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับแรกคือความรู้สึก สิ่งถัดมาคืออารมณ์ แต่ภาพวาดของกู้ซีเฉียวไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อการรับรู้ทางสายตาเท่านั้น แต่ยังทะลวงลึกไปถึงจิตวิญญาณของคน มันสะเทือนอารมณ์ยิ่งกว่างานภาพวาดสีน้ำมันของศิลปินชื่อดังตั้งไม่รู้กี่เท่า!
นี่จะเป็นฝีมือของกู้ซีเฉียวได้ยังไง ผู้หญิงอย่างนั้นจะวาดภาพแบบนี้ออกมาได้ยังไง!
ใบหน้าสวยของกู้ซีจิ่นบิดเบี้ยว เธอยังคงจดจ้องไปที่ภาพนั้น แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัว
ภาพวาดแบบนี้ มีแค่กู้ซีจิ่นอย่างเธอเท่านั้นที่จะวาดได้
ความคิดนั้นอยู่เหนือการควบคุมของสมอง
จริงสิ ใครบ้างจะไม่เชื่อว่ารูปนี้เป็นฝีมือของเธอ