ตอนที่ 46 ทรยศ
“ขึ้นไปอาบน้ำก่อนแล้วลงมากินข้าว” เมื่อเจียงซูเสวียนเห็นทั้งคู่เดินเข้ามา เขาจึงวางหนังสือในมือ
เขายังคงสงบนิ่งไม่ต่างจากปกติ เขาไม่ถามสักคำ กู้ซีเฉียวชำเลืองมองและพบว่าไฟในห้องครัวยังสว่างโร่ ในใจทั้งรู้สึกผิดและรู้สึกอบอุ่นในคราวเดียวกัน ร่างทั้งร่างของเธออุ่นขึ้นทันใด
“เอาหมาวางไว้นี่แหละ” เจียงซูเสวียนมองเจ้าสุนัข
กู้ซีเฉียววางฮาฮาลงอย่างเชื่อฟัง
ขาสั้นๆ ของฮาฮาเตรียมจะวิ่งตามเธอไป แต่เมื่อถูกเจียงซูเสวียนจ้องเช่นนั้น มันก็นิ่งและนั่งลงที่เดิม มันไม่ขยับไปไหนเลยสักนิด มีเพียงดวงตาใสที่สอดส่ายไปมารอบๆ
อินเซ่าหยวนเห็นว่าเจ้าสุนัขตัวนี้ดูตลกดีจึงอุ้มมันขึ้นมาเล่นขณะที่สนทนากับเจียงซูเสวียน
ฮาฮาเป็นสุนัขแสนรู้ มันนิ่งและมองเขาอย่างเชื่อฟัง
ตอนที่กู้ซีเฉียวเดินลงมา ป้าจางเตรียมอาหารไว้พร้อมแล้ว อินเซ่าหยวนนั่งกินคอยอยู่ที่โต๊ะ เขาเล่นกับสุนัขไปด้วยและกินข้าวไปด้วย เขาชำเลืองมองกู้ซีเฉียวที่เดินลงมาก่อนจะชะงักไปเล็กน้อย
เธอสวมชุดอยู่บ้านสีขาว พับแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นท่อนแขนขาวนวล ผมที่ยังชื้นถูกปัดไปด้านหลังเผยหน้าผากกลมมนสู่สายตา แก้มของเธอจึงยังคงแดงระเรื่อเนื่องจากเธอเพิ่งอาบน้ำเสร็จหมาดๆ
มือของอินเซ่าหยวนชะงักไป เขาลูบคาง จิตใจชายหนุ่มปั่นป่วนเพียงครู่หนึ่งก่อนจะหยุดลง “คนนี้ห้ามยุ่ง” เขาย้ำกับตัวเองเช่นนั้นหลายครั้งก่อนจะอดคิดไม่ได้ว่าแล้วพี่เจียงจะทนได้หรือ
“เฉียวเฉียว เจ้าสุนัขที่พากลับมาด้วยเชื่องมากเลยค่ะ ว่าแต่มันชื่ออะไร” ป้าจางส่งซุปให้กู้ซีเฉียวก่อนจะรับเจ้าสุนัขจากอินเซ่าหยวนไปอุ้ม
กู้ซีเฉียวดื่มซุปกลิ่นประหลาดจนเกลี้ยงชามก่อนจะตอบ “ชื่อฮาฮาค่ะ”
“ฮาฮา…ฟังดูแล้วคงตั้งส่งๆ สินะ” อินเซ่าหยวนวิเคราะห์ เขาพูดชื่อฮาฮาอีกสองสามหนแล้วนึกสนุก “งั้นเวลาเรียกมันตอนอยู่ข้างนอก คนอื่นจะไม่คิดว่ามันเป็นตัวตลกเหรอ”
“นี่นายหาเรื่องฉันใช่ไหม” กู้ซีเฉียววางชามที่ทานเสร็จแล้ว หันไปเชิดคางใส่ชายหนุ่ม เลิกคิ้วมองด้วยสายตาโอหัง
แบบนี้ใครจะทน อินเซ่าหยวนจ้องตา “ฉันต่อให้ ฉันใช้มือเดียว!”
“ไปล้างจาน” เจียงซูเสวียนวางหนังสือ นิ้วเรียวยาวเขี่ยหน้าหนังสือที่เหลืองเล็กน้อย “ไปนอนได้แล้ว”
ประโยคแรกกล่าวกับอินเซ่าหยวน ส่วนประโยคที่สองบอกกู้ซีเฉียว
รอจนกู้ซีเฉียวขึ้นไปแล้ว อินเซ่าหยวนมองเจียงซูเสวียนด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย “ทำไมถึงมาห้ามผม พี่มันคนลำเอียง!”
“นายจะสู้กับเด็กคนนั้นหรือ” เจียงซูเสวียนมองไปที่เขา แววตาขับประกายเย็นชา “หากจะสู้กันจริงๆ…ต่อให้มีนายสิบคนยังเอาชนะเธอคนเดียวไม่ได้”
เจียงซูเสวียนไม่ได้โกหก มีบางอย่างในตัวกู้ซีเฉียวที่เจียงซูเสวียนยังหาคำตอบไม่ได้ แม้เธอจะเพิ่งเข้าขั้นฝึกหัด แต่ดูเหมือนว่าเธอมีพลังแปลกๆ บางอย่าง พลังจิตแกร่งกล้า หากปะทุออกมา อย่าว่าคนตัวเล็กๆ อย่างอินเซ่าหยวนเลย เกรงว่าต่อให้เป็นเขาก็คงต้านทานไม่อยู่
“ว่าแต่ เธอเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ” อินเซ่าหยวนชะงักไป ปกติแล้วเขาเชื่อทุกอย่างที่เจียงซูเสวียนพูด ไม่เคยสงสัยในตัวเขาเลยสักครั้ง แต่ทว่าเรื่องนี้ยากที่จะเชื่อเกินไปหน่อย…
กู้ซีเฉียวก็แค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ธรรมดาๆ นอกจากสวยแล้ว เธอเก่งขนาดนั้นเชียว?
เจียงซูเสวียนไม่ได้สนใจอีกฝ่าย เขาเตรียมจะเดินขึ้นไปชั้นบน “ออกไปแล้วก็อย่าลืมปิดประตูด้วย”
แม้เมื่อคืนจะเข้านอนดึก แต่เช้าวันถัดมากู้ซีเฉียวก็ยังตื่นตรงเวลาเช่นทุกวัน เธอออกไปฝึกกระบวนท่าอู่ฉินซี่ที่ด้านนอก ผิวขาวใสของเธอมีเลือดฝาด แววตาสดใส จิตใจสงบนิ่ง ขณะที่เจียงซูเสวียนอ่านนิตยสารเสร็จเธอก็กลับเข้ามาพอดี
เขามองเธอและรู้สึกพอใจกับสภาพร่างกายของเธอในตอนนี้ ทั้งคู่ไม่ต้องสื่อสารอะไรมากมาย เขารอให้เธอทานมื้อเช้าให้เสร็จแล้วถึงจะขับรถไปส่งเธอที่โรงเรียน
ขณะรถจอดติดไฟแดง ชายหนุ่มกล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ทำไมเมื่อวานไม่โทรหาฉัน”
กู้ซีเฉียวชำเลืองมองไปที่ชายหนุ่ม เธอดูไม่ออกว่าเขากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน หญิงสาวลูบจมูกอย่างช่วยไม่ได้ “ตอนที่ออกมาจากบ้านเกือบๆ จะสี่ทุ่มแล้ว ตอนนั้นรู้สึกไม่ค่อยดีเลยอยากเดินคิดคนเดียวสักหน่อย”
“แล้วออกมายังไง” เจียงซูเสวียนเม้มปาก นัยน์ตาสีเข้มปกคลุมไปด้วยชั้นน้ำแข็ง
ตอนที่อินเซ่าหยวนไปเจอเธอก็ปาเข้าไปตีหนึ่งแล้ว เธอกำลังบอกว่าเดินเล่นเตร็ดเตร่ตามลำพังกลางดึกสามชั่วโมง?
“สะเดาะกลอนประตูใหญ่ออกมา” กู้ซีเฉียวกล่าว ความจริงเธอปีนออกมาได้ แต่เธอเลือกสะเดาะกลอน “ถ้าพวกนั้นไม่คิดจะส่งข้าวส่งน้ำ ตอนนี้ก็คงยังไม่รู้ว่าฉันหนีออกมา”
เจียงซูเสวียนไม่ได้กล่าวต่อ การเม้มปากของชายหนุ่มทำให้เขาดูดุดัน กู้ซีเฉียวรับรู้ได้ถึงแรงกดดัน
โชคดีที่ใกล้ถึงโรงเรียนแล้ว เธอรีบลงจากรถและโบกมือให้เขา เมื่อรถแล่นออกไปแล้ว เธอจึงเดินตรงไปที่ประตูโรงเรียน เซียวอวิ๋นกับอู่หงเหวินยืนอยู่ข้างเสาตรงประตูโรงเรียน คุยฆ่าเวลารอสมาชิกอีกคน
กู้ซีเฉียวหรี่ตามองทั้งคู่ ในหัวเฝ้าสงสัยว่าเธอควรหางานให้ตระกูลกู้ทำอะไรหน่อยหรือเปล่า
ตอนนี้ตระกูลกู้ยังคงเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลในเมืองเอ็น มีคนน้อยนักที่กล้าหาเรื่องพวกเขา แต่เพราะเธอกุมข้อมูลสำคัญของบริษัทกู้ไว้มากมาย ฉะนั้นการจะโจมตีตระกูลกู้จึงมิใช่เรื่องยาก
ก่อนหน้านี้ที่เธอไม่ทำอะไรตระกูลกู้เพราะเห็นแก่คุณปู่ เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้มีพระคุณ เธอไม่ควรเป็นคนอกตัญญู สาเหตุที่สองคือด้วยสถานะของเธอในตอนนั้นเธอไม่สามารถทำอะไรได้ ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ในเมื่อคนตระกูลกู้เกลียดเธอออกปานนั้น เธอก็ควรส่งของขวัญแก่พวกเขาหน่อยจริงไหม
เธอสะพายเป้ไว้บนหลัง ยกยิ้มมุมปาก ถึงเวลาต้องติดต่อมู่จงแล้ว
ขณะที่กู้ซีเฉียวโทรฯมา มู่จงอยู่ในโรงแรม
ช่วงนี้เขาและหวังปัวกำลังสาละวนอยู่กับเรื่องเปิดบริษัท ในช่วงแรกทุกอย่างเป็นไปด้วยความราบรื่น แต่เมื่อมาถึงขั้นสุดท้ายกลับพบปัญหา
มู่จงมีศัตรูเก่าชื่อว่า หลิวเหว่ยชิ่ง ย้อนกลับไปตอนนั้น ทั้งคู่ร่วมมือกันฟันฝ่าก่อตั้งบริษัทขึ้นมา แต่เมื่อประสบวิกฤต หลิวเหว่ยชิ่งหอบหิ้วความสำเร็จทุกอย่างที่ร่วมกันสร้างมาไปให้บริษัทคู่แข่งซึ่งก็คือ บริษัทต้าเฉิงเน็ตเวิร์ค
เรื่องนี้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อมู่จง ทำให้บริษัทของเขาถูกฟ้องล้มละลายในชั่วข้ามคืน หลิวเหว่ยชิ่งเป็นคนมีความสามารถและมีไหวพริบเป็นเลิศ จุดประสงค์ที่เขาทรยศมู่จงชัดเจนอยู่แล้วคือเขาต้องการก้าวหน้ามากกว่าที่เป็น และบริษัทต้าเฉิงเน็ตเวิร์คก็นับว่าเป็นเวทีที่ดี
สิ่งที่ทำให้เขาคิดเช่นนั้นคือ เขาได้ยินข่าวซุบซิบว่า ลูกสาวของเจ้าของต้าเฉิงเป็นดาราแถวสองของวงการ ซึ่งผู้ที่สนับสนุนเงินทุนลูกสาวของเขาคือคุณชายจากเมืองเอ็น หากเป็นคนธรรมดาเรื่องนี้คงไม่มีใครสนใจ แต่เพราะประวัติของคุณชายคนนั้นไม่ธรรมดา หุ้นของต้าเฉิงถึงได้ขึ้นเอาๆ ในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ นั่นเป็นเพราะว่าทุกคนในแวดวงนั้นล้วนเกรงอกเกรงใจคนคนนั้นเป็นที่สุด!
ดังนั้นสุดท้ายหลิวเหว่ยชิ่งจึงเลือกทรยศมู่จงและไปเข้ากับฝ่ายต้าเฉิง เมื่อต้าเฉิงยิ่งใหญ่ แล้วมู่จงจะสร้างอนาคตได้อย่างไร