ตอนที่ 52 สำนึกผิด
ซย่าจื่อหลานก้มหน้าต่ำ แววตาของเธอราวกับอาบด้วยยาพิษก็ไม่ปาน ตั้งแต่เล็กจนโตเธอไม่เคยถูกทำให้อับอายเท่านี้มาก่อน สายตาเย้ยหยันรอบๆ เป็นเหมือนดาบคมทิ่มแทงกลางหัวใจ เธอขบริมฝีปากแน่น ดันร่างของตัวเองให้ลุกขึ้น
แม้มือทั้งสองข้างจะแข็งทื่อประหนึ่งเป็นอัมพาต แต่ใบหน้ายังคงเปื้อนยิ้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอพยายามข่มความโกรธแค้นสุดฤทธิ์ “ดูหนังสือภาพไม่สนุกหรอก ไปเล่นบิลเลียดกันเถอะ”
มือของกู้ซีเฉียวที่กำลังพลิกหน้าหนังสือชะงักงัน ครู่หนึ่งก็เลิกคิ้ว ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร ปลายคางงามได้รูปเชิดขึ้นเล็กน้อย “จะสู้ได้เหรอ”
เมื่อเห็นว่าเรื่องเริ่มจะสนุก อินเซ่าหยวนจึงยืดหลังตรง ความสนใจล้นปรี่ เขาทราบแต่แรกแล้วว่าต่อให้มีซย่าจื่อหลานสิบคนก็สู้กู้ซีเฉียวคนเดียวไม่ได้ เขาถึงได้ปล่อยให้ซย่าจื่อหลานมาหาเรื่องหญิงสาว เพราะต่อให้ก่อเรื่องใหญ่โต เขาก็เชื่อว่ากู้ซีเฉียวจะไม่เป็นอะไร เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้เจียงซูเสวียนออกโรง เพราะเขาคนเดียวก็จัดการได้
คนตรงนั้นที่พอจะทราบว่ากู้ซีเฉียวมีความสัมพันธ์บางอย่างกับเจียงซูเสวียน แววตาที่มองไปที่ซย่าจื่อหลานจึงเต็มไปด้วยความสมเพช แววตาเดียวกันกับที่มองศพคนตาย นี่มัน…รนหาที่ตายชัดๆ!
ต้องรีบกลับไปบอกที่บ้านแล้วว่า ต่อไปนี้อยู่ให้ห่างตระกูลกู้กับตระกูลซย่าเข้าไว้ จะได้ไม่เสียโควตาเรื่องฐานและเผลอไปทำให้ใครไม่พอใจโดยไม่รู้ตัว
“ส่วนของเดิมพัน ยิ่งมากก็ยิ่งดี งั้นฉันลงหุ้นหลานเฉินสองเปอร์เซ็นต์” อินเซ่าหยวนเพิ่มของเดิมพันอย่างใจกล้า หลานเฉินคือบริษัทเอ็นเตอร์เทนเมนต์ของเขาเอง ตอนนี้สามารถเบียดเข้าไปอยู่ในอันดับสองของบรรดาบริษัทเอ็นเตอร์เทนเมนต์ได้ ประกอบกับชื่อเสียงของอินเซ่าหยวนและหุ้นสองเปอร์เซ็นต์ การเดิมพันคราวก็นี้นับว่าสูงลิบ
ซย่าจื่อหลานไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ อินเซ่าหยวนถึงมาร่วมวงด้วย แต่เธอยังคงสงบนิ่ง เพราะเธอเชื่อว่าอินเซ่าหยวนไม่มีวันชายตามองลูกนอกสมรสอย่างกู้ซีเฉียว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สีหน้าของเธอก็ผ่อนคลายมากขึ้น เธอมองไปที่อินเซ่าหยวนชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “งั้นฉันลงห้าล้าน”
แม้เงินห้าล้านมิอาจสู้หุ้นสองเปอร์เซ็นต์ แต่ก็นับว่าเป็นจำนวนเงินไม่น้อย นี่คือทรัพย์สินหมุนเวียนของครอบครัวทั้งหมดที่เธอมี ตระกูลซย่ามีทรัพย์สินน้อยกว่าตระกูลอื่นๆ แต่ต่อให้เธอจะไม่สามารถควักเงินสดก้อนโต แต่ทว่า…จำนวนเงินที่เธอลงย่อมมากกว่ากู้ซีเฉียวแน่นอน!
ซย่าจื่อหลานกวาดตามองไปที่กู้ซีเฉียวแล้วจึงยืดอกขึ้น มุมปากปรากฏรอยยิ้มเย็นชา
กู้ซีเฉียวล้วงบัตรใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าก่อนจะโยนลงโต๊ะพลางกล่าวด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ “ยี่สิบ…”
ซย่าจื่อหลานหลุดหัวเราะ กู้ซีเฉียวกล่าวต่อ “ล้าน…”
บัตรใบนี้เป็นบัตรที่ผู้จัดการสาขาเป็นคนเปลี่ยนให้เองเมื่อคราวก่อน
ทุกคนมองตาม เมื่อเห็นว่าสิ่งที่อยู่บนโต๊ะคือแบล็คการ์ดก็ได้รู้ว่ากู้ซีเฉียวไม่ได้คุยโตแต่อย่างใด สีหน้าซย่าจื่อหลานพลันคล้ำหม่น เธอมีเงินสดในมือยังไม่ถึงสิบล้านด้วยซ้ำ แต่กู้ซีเฉียวควักยี่สิบล้านได้หน้าตาเฉยเลยงั้นหรือ หรือต่อให้เป็นอาจิ่นก็คงไม่มีเงินสดมากมายขนาดนี้ใช่หรือไม่
ในวินาทีนั้น เธอรู้สึกได้ว่าทุกสายตากำลังจ้องเธอเป็นตาเดียว!
นิ้วของซย่าจื่อหลานสั่นระริก น่าโมโหจริง! เวลาเล่นบิลเลียดต้องใช้สมาธิอย่างมาก เธอแทงเปิดลูกแรกได้อย่างสวยงามแล้วจึงวางไม้ มองไปที่กู้ซีเฉียว
กู้ซีเฉียวมิได้กล่าวคำใด เธอหยิบไม้คิว ค้อมตัวแช่มช้า ฝ่ามือข้างหนึ่งแนบลงบนโต๊ะ สี่นิ้วแผ่ออกมั่นคง โต๊ะสักหลาดสีเขียวขับเน้นนิ้วมือขาวเรียว ท่วงท่างดงามของเธอสะกดสายตาหลายคู่
หญิงสาวหรี่ตา เล็งลูกบอลบนโต๊ะ แทงไม้แม่นยำ บอลกลิ้งกระทบกันก่อนจะกลิ้งลงตาข่าย
อากัปกิริยาของหญิงสาวงดงามเกินจะกล่าว นี่มิใช่การแสดงตบตา หากใครตาดีก็ทราบได้ทันทีว่าเธอมีของ
บริกรหญิงตัวเซก่อนที่เข่าทั้งสองข้างจะทรุดลงกับพื้น เธอหันไปมองหญิงสาวที่กำลังเดินตรงมา ในใจพรั่นพรึงอย่างยิ่งยวดที่ร่างของตัวเองไม่สามารถขยับได้!
กู้ซีเฉียวก้าวเยื้องเชื่องช้าเข้าไปหยิบไม้คิว พร้อมเตะไปที่ขาทั้งคู่ของบริกรหญิง ปืนเก็บเสียงขนาดพกพาที่ถูกทำขึ้นอย่างประณีตร่วงลงมาจากอกของบริกรหญิง
หลังจากจัดการบริกรหญิงเสร็จ กู้ซีเฉียวก็กลับไปที่โต๊ะบิลเลียดและเล่นต่อโดยไม่รีบร้อน แต่เห็นได้ชัดว่าคนอื่นๆ ตรงนั้นไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะดูการแข่งขันต่อแล้ว พวกเขามองไปที่บริกรหญิงสลับกับกู้ซีเฉียว ความกลัวท่วมท้นเต็มอก พวกเขาเกือบจะตายที่นี่แล้วใช่ไหม
หลังจากการแข่งขัน กรรมการประกาศว่ากู้ซีเฉียวชนะขาดลอย
กลุ่มคนดูส่งเสียงโห่ร้อง บรรดาชายหนุ่มเลือดร้อนตื่นตาตื่นใจกับฝีมือเก่งกาจของเธอ หากไม่ติดว่าอินเซ่าหยวนอยู่ตรงนั้น พวกเขาคงอุ้มกู้ซีเฉียวโยนขึ้นกลางอากาศเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะไปแล้ว!
เจียงซูเสวียนมายืนอยู่ที่ข้างประตูตั้งแต่ที่ทั้งคู่เริ่มแข่ง แต่ทว่ากู้ซีเฉียวไม่ทันได้สังเกต เมื่อเห็นว่าการแข่งขันสิ้นสุดลงแล้ว เขาจึงเดินเข้ามาหา ขณะที่ผ่านบริกรหญิง เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย กวาดสายตาเย็นวาบไปโดยรอบก่อนจะละสายตากลับมา
คนในบริเวณนั้นมองไม่เห็นว่าหลังจากที่เจียงซูเสวียนเดินผ่านไปแล้ว บนศีรษะของหญิงสาวมีกลุ่มควันสีดำลอยคลุ้งออกมา
ซย่าจื่อหลานทั้งรู้สึกโกรธแค้นและอับอาย เธอที่เตรียมจะเดินหนีไปเห็นเจียงซูเสวียน แววตาก็เป็นประกายขึ้นมาโดยพลัน “คุณเจียง!”
ในสายตาของเธอ เจียงซูเสวียนสำคัญกว่าใครทั้งหมดในที่นั้น เธอไม่รู้จักเจียงซูเสวียน ทว่ารู้จักอินเซ่าหยวน ทั้งเมืองนี้ไม่มีใครกล้าชักสีหน้าใส่คุณอิน แต่ทุกคนในตระกูลอินกลับให้ความเคารพคุณเจียง ฉะนั้นคนที่เห็นย่อมเข้าใจเป็นธรรมดา!
ใบหน้าของเจียงซูเสวียนเย็นชา เขาไม่สนใจคำพูดของซย่าจื่อหลาน เขาเดินตรงไปหยิบกระเป๋าเป้และบัตรของกู้ซีเฉียว เมื่ออินเซ่าหยวนเห็นเช่นนั้นก็รี่เข้ามาหา “งานยังไม่เริ่มเลย คุณอยู่ต่ออีกหน่อยไม่ได้เหรอ”
“ไม่ล่ะ หลังจากนี้นายจัดการเองก็แล้วกัน” เจียงซูเสวียนเอื้อมมือไปจับศีรษะของกู้ซีเฉียว “เจ้าเด็กนี่ใกล้จะสอบเอ็นทรานซ์แล้ว ฉันจะพาเธอกลับไปอ่านหนังสือ”
อ่านหนังสือ? ใครจะเชื่อ!
ช่วงนี้หัวสมองของอินเซ่าหยวนสนใจแต่เรื่องกู้ซีเฉียวเป็นพิเศษ เขารู้สึกได้ว่าเธอเป็นคนฉลาด คะแนนการสอบจำลองครั้งที่ผ่านมาของเธอแทบจะไม่ต่างจากคะแนนของลั่วเหวินหลั่ง เรียกได้ว่าเกือบเต็ม ลั่วเหวินหลั่งเป็นอัจฉริยะที่เขาหมายตาไว้ เขาจึงสนใจเรื่องของเด็กหนุ่มเป็นธรรมดา เขารอจังหวะว่าจะชวนให้เด็กหนุ่มมาทำงานด้วย
แล้วตอนนี้เจียงซูเสวียนบอกว่าจะพากู้ซีเฉียวกลับอ่านหนังสืองั้นหรือ อ่านหาพระแสงอะไรกัน คนอย่างเธอจำเป็นต้องอ่านหนังสือด้วยเหรอ
แม้ใจของเขาจะทราบดีและไม่อยากให้ทั้งคู่กลับไปเฉยๆ แต่อินเซ่าหยวนก็ไม่กล้าพอที่จะรั้งเจียงซูเสวียนไว้ ในเมื่อพี่เจียงบอกเองว่าจะพาเธอกลับไปอ่านหนังสือ ก็เป็นอันว่าตามนั้น!
คนที่เหลือในนั้นไม่มีใครกล้าส่งเสียง คนที่อยากดูความตื่นเต้นในตอนแรกกลัวจนหัวหด เพราะเกรงว่าจะมีปัญหากับเจียงซูเสวียน แต่เจียงซูเสวียนกลับมิได้ใส่ใจคนเหล่านั้น เขาเพียงแต่กวาดสายตามองนิ่งๆ ก่อนจะเดินจากไป
ซย่าจื่อหลานตามไป “คุณเจียงคะ!?”
เจียงซูเสวียนชะงักฝีเท้าพลางเอ่ยปากเชื่องช้าท่ามกลางรอยยิ้มยินดีของซย่าจื่อหลาน แต่ละคำเย็นชาราวกับน้ำแข็ง “ตระกูลซย่า ตัดออกได้เลย”
การที่ครอบครัวหนึ่งจะคงอยู่ต่อไปได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของทายาท ผลของการอบรมเลี้ยงดูเกิดจากการบ่มเพาะปลูกฝังทีละเล็กทีละน้อย เป็นอิทธิพลที่ได้รับจากบรรพบุรุษรุ่นก่อน ฉะนั้นสำหรับเขา พฤติกรรมของซย่าจื่อหลานจึงหมายถึงทั้งครอบครัวของเธอ
แน่นอนว่า คุณเจียงผู้นี้คือถือประโยชน์ส่วนตนเป็นหลัก
เมื่อทั้งสองเดินจากไปแล้ว สติของซย่าจื่อหลานยังคงเลื่อนลอย วันนี้เธอเสียหน้าต่อหน้าสาธารชน และนับตั้งแต่วันนี้ชื่อของเธอจะกลายเป็นเรื่องขำขันของวงการระดับสูงของเมืองเอ็น!
แต่สิ่งที่ทำให้เธอหวั่นใจที่สุดคือ กู้ซีเฉียวไม่ใช่คนโปรดของอินเซ่าหยวนแต่เป็นของคนผู้นั้น มิน่าล่ะมิน่าล่ะ…มิน่าล่ะ ตระกูลกู้ถึงได้กลายเป็นแบบนั้น มิน่าล่ะเธอถึงได้ควักเงินยี่สิบล้านออกมาง่ายๆ!
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าของเธอก็ซีดเผือด ความทรงจำมากมายไหลทะลักกลับเข้ามาในหัว เธอนึกเสียใจในสิ่งทำ ความพยายามที่เธอทุ่มเทไปทั้งหมดสูญเปล่าเพียงเพราะคำพูดของคนคนเดียว!