ตอนที่ 61 ลักพาตัว
ทั้งสองสาวไม่ได้ไปเดินเล่นแบบที่อินเซ่าหยวนเข้าใจ แต่ไปกดเงินที่ธนาคาร กู้ซีเฉียวเป็นคนจัดการเรื่องบัญชีของเซียวอวิ๋น จนตอนนี้พอจะมีเงินอยู่ส่วนหนึ่งในบัญชี เมื่อนายธนาคารบอกจำนวนเงินในบัญชีสมองของเซียวอวิ๋นก็นิ่งงันไป…จำนวนเงินนั้นเยอะกว่าที่เธอคาดไว้เสียอีก
เอาเข้าจริง…เธอไม่เคยมีเงินในบัญชีเยอะเท่านี้มาก่อน!
“เธอรีบร้อนถอนเงินออกมีอะไรหรือเปล่า” กู้ซีเฉียวเอ่ยถามเมื่อเดินออกจากธนาคารหลังจากที่ถอนเงินเสร็จแล้ว
เซียวอวิ๋นเอามือลูบกระเป๋าสะพายเบาๆ ด้วยท่าทางเหม่อลอย เธอไม่ได้ถอนออกมาจนหมดบัญชี ที่เหลือยังฝากอยู่ในบัตรเอทีเอ็ม เมื่อได้ยินที่กู้ซีเฉียวถามดังนั้น เธอก็ตกใจเล็กน้อย “ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ช่วงนี้พี่ชายฉันค่อนข้างร้อนเงิน ฉันก็แค่อยากจะช่วยเขาน่ะ”
ช่วงนี้อาที่เป็นญาติห่างๆ ของเธอก่อเรื่องขึ้นมาอีกแล้ว ทำเอาที่บ้านเดือนร้อนกันมาก พี่ชายและคุณปู่ปิดบังเรื่องนี้กับเธอและหลบไปคุยกันในห้องหนังสือแต่เธอดันมาได้ยินเข้าตอนที่ลงมากินน้ำกลางดึกระหว่างที่กำลังอ่านหนังสือทบทวนอยู่ เธอรู้ดีว่าทั้งสองคนไม่อยากให้เธอเสียสมาธิจากการเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย เธอจึงไม่ได้เอ่ยออกมาได้แต่เก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ
แต่ยิ่งเห็นคนทั้งสองทุกข์ใจเช่นนี้ มีหรือที่เซียวอวิ๋นจะทนนิ่งเฉยอยู่ได้ ทันทีที่สอบเสร็จเธอก็รีบดึงให้กู้ซีเฉียวไปบริษัทหลักทรัพย์ จากนั้นก็ไปเดินเรื่องที่ธนาคารต่อ
เมื่อรู้เรื่องครอบครัวของเซียวอวิ๋น กู้ซีเฉียวก็ได้แต่พยักหน้าเข้าใจพลางเอามือตบไหล่เซียวอวิ๋นเบาๆ “พี่ชายเธอจะแก้ไขสถานการณ์นี้ได้แน่ๆ”
“ฉันรู้” เซียวอวิ๋นเชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิ ใบหน้าเย็นชางดงามของเธอเต็มไปด้วยความภูมิใจ “เบื้องหลังที่มาของตระกูลเซียวมีหรือที่พวกเมื่อวานซืนพวกนั้นจะรู้ ไม่ประเมินตัวเองเลย เอ๊ะ เธอช่วยฉันถือกระเป๋าหน่อยนะ ฉันจะไปซื้อชานมสักแก้ว”
กู้ซีเฉียวรับกระเป๋าของเซียวอวิ๋นมาถือไว้ เธอหยุดยืนอยู่ริมถนนมองเซียวอวิ๋นที่วิ่งหายไปในฝูงชนแล้วหยิบมือถือมาเล่นแก้เบื่อ
บังเอิญกับที่มู่จงโทรศัพท์เข้ามาพอดี เธอรับสาย ที่มู่จงโทรมาก็เพราะเรื่องการเปิดบริษัท แม้ว่ากู้ซีเฉียวจะยกให้เขาเป็นคนจัดการเรื่องนี้ทั้งหมด แต่เขาก็ไม่วายโทรศัพท์มาอัพเดทความคืบหน้าให้กู้ซีเฉียวฟังทุกวันและถือโอกาสฟังความเห็นของเธอด้วย
“ฝ่ายดูแลตึกทำงานเร็วมาก ตอนแรกผมคิดว่าถ้าเราจะเปิดออฟฟิศช่วงวันที่สิบสองอาจจะกระชั้นชิดไป แต่พอดูจากความคืบหน้าแบบนี้ต่อให้เปิดพรุ่งนี้ก็ยังได้” มู่จงเอ่ยด้วยความตะลึง เพราะปกติฝ่ายดูแลตึกทั่วไปก็ไม่ได้ให้ความร่วมมือดีขนาดนี้ คิดไปคิดมาเขาจึงยกความดีความชอบให้กับกู้ซีเฉียวเพราะคนที่อยู่ในฝ่ายดูแลตึกคงจะรีบเร่งจัดการให้เพราะเห็นแก่หน้าเธอแน่ๆ
แต่จะว่าไป สิทธิพิเศษแบบนี้ก็ดีมากจริงๆ!
เมื่อมู่จงได้รับคำตอบที่แน่ชัดแล้วก็รีบไปเตรียมการเรื่องอื่นๆ อย่างสบายใจ การมีสิทธิพิเศษแบบนี้ยิ่งทำให้การก่อตั้งบริษัทเป็นไปได้อย่างราบรื่นมากขึ้นด้วย แต่บริษัทจะพัฒนาต่อไปได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเองแล้ว เมื่อเขาได้เห็นบรรดาพนักงานใหม่ที่เพิ่งรับเข้ามา ตัวเขาเองก็มั่นใจเกินร้อย
กู้ซีเฉียววางสาย มองไปยังคลื่นมหาชนตรงหน้าก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเซียวอวิ๋น
ไปซื้อชานมอะไรจะนานขนาดนี้ ต่อให้ต้องไปต่อคิวก็คงไม่นานเกินครึ่งชั่วโมงหรอกมั้ง
กู้ซีเฉียวเม้มปากเหลือบมองเวลาบนมือถือ รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ประจวบกับตอนนี้เป็นช่วงเวลาเร่งด่วนที่คนเลิกงานกัน ทั้งคนทั้งรถเยอะแยะไปหมด กู้ซีเฉียวหลับตาลง พยายามใช้พลังที่มีอยู่น้อยนิดเพื่อเปิดสัมผัสที่ห้าของเธอให้กว้างไกลขึ้น เพราะระบบกำลังอัปเกรดอยู่จึงไม่สามารถใช้งานได้ ไม่เช่นนั้นเธอคงระบุตำแหน่งของเซียวอวิ๋นจากแผนที่ได้ในพริบตาเดียวแล้ว
ทันใดนั้นดวงตาดำขลับลึกล้ำก็เปิดขึ้น เส้นผมเงางามพลิ้วไสวแม้ไม่มีลมมาปะทะ กู้ซีเฉียวหลุบตาลงก่อนจะค่อยๆ คลายมือจากกระเป๋าที่ถืออยู่
ผู้คนยิ่งขวักไขว่มากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เธอเดินอย่างเชื่อช้า ใบหน้าไร้อารมณ์เช่นยามปกติ
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงตะโกนดังออกมาจากฝูงชนว่า ‘มีคนโดนปล้น’ ทำเอาเหล่าบรรดาคนรอบๆ ที่ไม่รู้ว่าคนที่ปล้นเป็นใครล้วนตื่นตระหนก พยายามเบียดกันเพื่อเดินออกจากตรงนั้น กู้ซีเฉียวไหลไปตามคลื่นมหาชน ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าดวงตาทั้งสองของเธอนั้นดำสนิท ไม่มีการขยับเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับน้ำแข็งที่เย็นยะเยือกไปถึงกระดูก
กู้ซีเฉียวค่อยๆ เดินสลัดฝูงชนเข้ามาในตรอกเล็กๆ พลันมีเงาดำโฉบผ่านด้านหน้าของเธอไป
เธอหยุดอยู่ที่ปากตรอก มือทั้งคู่ขยับประสานอย่างว่องไว เมื่อมั่นใจว่าไม่มีผู้บริสุทธิ์เดินตามมาแล้วถึงจะคลายมือออก
วิชานี้ระบบเป็นคนสอนเธอให้สามารถสร้างห้วงตัดขาดขึ้นได้ด้วยตนเอง เพียงแต่เธอเรียนรู้ได้เพียงไม่นานเลยแค่พอจะกันคนธรรมดาได้ ไม่สามารถสร้างเกราะบังตาได้เหมือนที่ระบบทำ แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
เงานั้นตั้งใจล่อให้เธอตามมา แต่คนคนนั้นกลับไม่รู้เลยว่าสมองของเธอยังคงมีสติเต็มร้อย ไม่ได้รับผลกระทบจากพลังจิตที่เขาส่งมาเลยสักนิด
ในตรอกที่กู้ซีเฉียวเดินเข้าไปเป็นตรอกร้าง ปลายทางมีรถตู้คันหนึ่งจอดอยู่ แม้ว่าจะมองไม่เห็นว่ามีใครอยู่ในรถบ้าง แต่เธอมั่นใจว่าเซียวอวิ๋นอยู่ในรถคันนั้นแน่ๆ
กู้ซีเฉียวหรี่ตาเพ่งมอง เดิมทีเธออยากจะเข้าไปจัดการซัดคนพวกนั้นสักรอบแล้วค่อยพาเซียวอวิ๋นออกมา แต่เมื่อเห็นรถคันนั้นพลันเธอก็เปลี่ยนใจ
สัมผัสทั้งห้าที่ค่อนข้างไวต่อสิ่งผิดปกติของเธอทำให้เธอเห็นว่ารอบรถตู้คันนั้นเต็มไปด้วยไอสีดำลอยปกคลุมอยู่ เป็นพลังที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน เธอจึงอยากดูให้รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่
ชายร่างใหญ่สวมเสื้อกล้ามสีขาวค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้จากด้านหลัง ก่อนจะตีเข้าไปที่ท้ายทอยของสาวน้อยจนเธอสิ้นสติไป ชายคนนั้นหิ้วเธอด้วยมือเดียวไปทิ้งไว้ในรถแล้วปิดประตู ภายในรถตกอยู่ในความมืดมิด กู้ซีเฉียวค่อยๆ ลืมตาก็พบเซียวอวิ๋นนอนอยู่ข้างๆ เธอ ยังดีที่ไม่ได้บาดเจ็บเธอเลยวางใจลงได้เสียที
คนที่จับตัวพวกเธอทั้งสองคนมาคงนึกว่าพวกเธอเป็นเพียงสาวน้อยไร้เรี่ยวแรงดังนั้นจึงมากันเพียงสองคน ในตอนนี้คนที่นั่งอยู่ด้านข้างคนขับกำลังคุยโทรศัพท์ “ลูกพี่ จัดการเรียบร้อย! ผมเห็นพวกมันเข้าไปที่ธนาคารกันสองคนเลยถือวิสาสะจับอีกคนมาด้วย จับหนึ่งคนหรือสองคนก็จับอยู่ดี ยังไงตอนท้ายก็เป็นพวกเราที่ได้กำไรอยู่ดี ฮ่าๆๆ เดี๋ยวพวกเราจะรีบไปครับ”
ชายร่างใหญ่คนนั้นวางสายก่อนจะหันไปคุยกับคนที่กำลังขับรถอยู่
กู้ซีเฉียวพยายามแอบฟังจากห้องโดยสาร ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความเลวร้ายของพวกเขา และพอจะได้เบาะแสบางอย่างมาด้วย
มีคนออกเงินจ้างให้คนพวกนี้มาจับพวกเธอไปทำมิดีมิร้ายแล้วถ่ายคลิปไว้ด้วย
เล็บของเธอจิกลงบนมือจนเป็นแผล กู้ซีเฉียวเม้มปากแน่น ความเย็นชาบนใบหน้าราวกับก่อตัวเป็นชั้นน้ำแข็ง คนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังเป็นใครเธอคงไม่จำเป็นต้องคาดเดาแล้ว
รถแล่นมาหยุดลงที่ข้างอาคารร้างในชนบทแห่งหนึ่ง ชายร่างใหญ่คนนั้นอุ้มกู้ซีเฉียวขึ้นมา พาเธอเดินเข้าไปพลางคุยเล่นกับคนที่เฝ้าต้นทางว่า “ยัยหนูคนนี้หน้าตาดีจริงๆ ใบหน้าเล็กๆ อิ่มเอิบแบบนี้ ลาภปากพวกเราจริงๆ ฮ่าๆๆ”
คนเหล่านั้นเพียงโยนพวกเธอไว้ในห้องมืดห้องหนึ่งเพราะมั่นใจในฝีมือของตนเองจึงไม่ได้มัดพวกเธอเอาไว้ กู้ซีเฉียวรอจนพวกเขาเดินลับไปแล้วก็ค่อยๆ หยัดตัวขึ้นมาเดินสำรวจรอบๆ ห้อง ตอนนี้มืดแล้ว คนด้านนอกกำลังเล่นไพ่ส่งเสียงดังสนุกสนาน แต่ในห้องนี้กลับอบอวลไปด้วยกลิ่นอับชื้นแสบจมูก
อีกด้านหนึ่งคนในสถานีตำรวจเมืองเอ็นต่างตกอยู่ท่ามกลางความตึงเครียด เจียงซูเสวียนกระชากเนกไทออก จวิ้นอวี้มีสีหน้าหมองคล้ำ คนทั้งห้องต่างก้มหน้าหลบตาไม่กล้าสบสายตาแสนน่ากลัวคู่นั้น
เจียงซูเสวียนละสายตากลับแล้วโบกมือไล่ให้ทุกคนออกไป อินเซ่าหยวนมองเขาเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูดออกมา
รอจนทุกคนออกไปจนหมดแล้ว เจียงซูเสวียนจึงเดินไปหยุดที่ข้างหน้าต่างแล้วหยิบเอากระดาษขาวแผ่นหนึ่งมาพับเป็นนกกระดาษ เขาจ้องมองนกกระดาษตัวนั้นแล้วพลันประสานมือทั้งสองเป็นสัญลักษณ์บางอย่าง นกกระดาษตัวนั้นพลันขยับได้ขึ้นมาและพริบตาต่อมาก็บินออกไปด้านนอก
ใบหน้าของเจียงซูเสวียนในตอนนี้มีไอสังหารกลุ่มหนึ่งปกคลุม เขามองไปยังไอดำมืดที่รวมตัวกันปกคลุมอยู่บนท้องฟ้าของเมืองสายตาก็พลันเคร่งขรึมลง