ตอนที่ 66 ก้าวแรก
คุณปู่เซียวเริ่มลงมือทานอาหาร เนื่องจากคุณปู่ไม่สามารถกินของมันเลี่ยนได้ ดังนั้นอาหารส่วนใหญ่จึงไม่มันมาก เขาเริ่มจากการซดน้ำซุปเนื้อก่อนเป็นอย่างแรก เมื่อทำทีอยากกินหมูเปรี้ยวหวานแต่กลับโดนเซียวเฉิงปรามด้วยสีหน้าเรียบเฉย เมื่อพ่อบ้านเห็นสายตาของคุณชายใหญ่ก็รีบคีบเกาลัดให้กับคุณปู่แทนเนื้อหมู คุณปู่ทำหน้าขมขื่นขณะมองเกาลัดในชาม
“คุณปู่เซียว ลองทานนี่ดูค่ะ” กู้ซีเฉียวคีบแตงกวาหนึ่งชิ้นให้กับคุณปู่และเลื่อนเอาชามที่ใส่เกาลัดมาอยู่อีกด้านหนึ่งอย่างแนบเนียน “คุณพ่อบ้าน ครั้งที่แล้วคุณพ่อบ้านมองปราดเดียวก็มองโสมที่หนูเอามาให้ออก ดูท่าคุณพ่อบ้านคงมีความรู้เรื่องเภสัชวิทยาอยู่บ้างใช่ไหมคะ”
พ่อบ้านผงะไปแล้วพยักหน้ารับ “คุณหนูกู้พูดถูกแล้วขอรับ คุณท่านร่างกายไม่แข็งแรงดังนั้นผมจึงศึกษาการแพทย์แผนจีนติดตัวไว้อยู่บ้าง”
กู้ซีเฉียวเห็นเซียวอวิ๋นกินผัดปีกห่านไปหนึ่งคำกำลังตั้งท่าจะยื่นตะเกียบไปทางชามไข่น้ำแตงกวา ตอนนี้เองเธอจึงกดมืออีกฝ่ายเอาไว้ คิ้วและดวงตาเหมือนปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็ง รอยยิ้มบนใบหน้าเย็นชางงดงามเลือนหายไปในทันที “งั้นคุณพ่อบ้านก็คงจะพอรู้เกี่ยวกับอาหารแสลงที่อยู่บนโต๊ะนี้ใช่ไหมคะ”
เนื้อห่านกับไข่ไก่มีสรรพคุณทางยาที่ขัดกัน เมื่อกินร่วมกันจะเป็นยาพิษทำลายม้ามและกระเพาะ ส่วนถั่วลิสงกับแตงกวา เนื้อวัวและเกาลัดก็ไม่สามารถกินร่วมกันได้ คิดว่าพวกเขาต้องกินอาหารประเภทนี้มามากแล้วแน่ๆ หรือว่าไม่เคยสังเกตเห็นถึงความผิดปกติบ้างเลยจริงๆ หรือ
“เอ่อ…” พ่อบ้านหน้าถอดสี เขามองอาหารแต่ละอย่างบนโต๊ะ ไม่สามารถตอบสนองได้ในทันใด
ทันทีที่กู้ซีเฉียวพูดออกมาก็ทำเอาคนทั้งโต๊ะเงียบกริบ เซียวอวิ๋นและอู่หงเหวินเชื่อในสิ่งที่กู้ซีเฉียวพูดเป็นที่สุด เมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนั้นก็วางตะเกียบลงทันที ส่วนเซียวเฉิงยกมือถือขึ้นมาเสิร์ชหาข้อมูล หลังผ่านไปไม่กี่นาที ใบหน้าของเขาก็ดูตึงเครียดขึ้นมาทันที
“อาหารรสชาติใช้ได้เลย ทุกคนกินกันต่อเถอะ” คุณปู่เซียวที่นิ่งเงียบไปสักครู่ ถึงค่อยๆ เอ่ยปากพูด บรรยากาศบนโต๊ะอาหารอึมครึมเป็นอย่างมาก
อาหารที่ไม่ถูกกันก็แค่อย่ากินพร้อมกันก็น่าจะได้แล้ว
บรรดาคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะล้วนแต่เป็นคนฉลาด พวกเขารู้ดีว่าที่คุณปู่เซียวพูดเช่นนี้เพราะไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่นจึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นหยิบตะเกียบคีบอาหารกินต่อ ยังดีที่อู่หงเหวินเป็นพวกถนัดสร้างบรรยากาศครึกครื้น ไม่เช่นนั้นต้องมีคนดูออกว่ามีพิรุธตรงไหนแน่ๆ
กลับกันทางเซียวอวิ๋นกลับปรับสภาพอารมณ์ไม่ได้ เธอเป็นคนตั้งใจชวนเพื่อนทั้งสองมากินข้าวแท้ๆ คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ทำให้เธอรู้สึกผิดจริงๆ
“เรื่องวุ่นวายในบ้านเธอยังจัดการไม่เสร็จอีกหรือ” กู้ซีเฉียวพูดพลางตบบ่าปลอบใจเซียวอวิ๋น
“ใกล้แล้วล่ะ ครั้งนี้ต้องขอบใจเธอมากนะ” เซียวอวิ๋นพยายามปรับสภาพจิตใจตัวเองแล้วเหลือบมองไปที่อู่หงเหวิน “ขอบใจนายด้วย”
“พวกเราคนกันเองแท้ๆ เรื่องแค่นี้ไม่ต้องคิดมากหรอกนะ” อู่หงเหวินยังคงยิ้มเช่นเดิม “ถ้าต้องการความช่วยเหลือ เธอบอกมาได้เลย ถึงแม้ว่าฉันจะยังไม่ได้รับช่วงปกครองตระกูลอู่ แต่ก็พอจะสั่งคนในบ้านได้บ้าง บ้างเรื่องที่ตระกูลเซียวไม่กล้าทำ แต่ตระกูลเราไม่กลัวหรอกนะ”
ตระกูลเซียวเป็นครอบครัวที่ทำการค้าอย่างตรงไปตรงมา ขณะที่ตระกูลอู่ทำการค้าด้วยวิถีนักเลง ดังนั้นวิธีจัดการคนของตระกูลอู่จึงโหดกว่าตระกูลเซียวมาก
กู้ซีเฉียวทำท่าจะพูดอะไร แต่เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน ไม่รู้ว่าปลายสายพูดว่าอะไรบ้าง กู้ซีเฉียวอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยปากรับคำ
“วันนี้ไม่รบกวนเธอแล้ว เธอจัดการเรื่องในบ้านดีๆ เถอะ ฉันต้องกลับแล้ว” กู้ซีเฉียวหันไปโบกมือลาเซียวอวิ๋น
เซียวอวิ๋นไม่ได้รั้งให้เธออยู่ต่อ อย่างไรเสียเรื่องในบ้านก็ยังไม่จบ เธอมองเพื่อนทั้งสองเดินจากไป และกลับเข้าวิลล่าด้วยสีหน้านิ่งเฉย เมื่อเดินไปถึงห้องครัวสายตาเย็นชาคู่นั้นก็อาบย้อมไปด้วยสีแดงชั้นหนึ่งราวกับเลือด
เมื่ออยู่กับกู้ซีเฉียวนานวันเข้า เธอก็เริ่มมีความรู้สึกเหมือนคนทั่วไปมากขึ้น แต่ก็น่ากลัวมากขึ้นด้วย ตั้งแต่ครั้งที่กู้ซีเฉียวถูกลักพาตัวไป เธอกับอู่หงเหวินก็พอจะเข้าใจแล้วว่าความสามารถของพวกเขายังมีไม่มากพอและควรต้องฝึกให้แข็งแกร่งในทุกๆ ด้าน เช่นนี้จะได้ไม่เป็นภาระให้กับกู้ซีเฉียว ก้าวแรกนี้ คงต้องเริ่มจากการจัดการจัดระเบียบตระกูลเซียวเสียก่อน!
คนที่โทรหากู้ซีเฉียวคืออินเซ่าหยวน เขาจอดรถไว้ที่ทางแยกบนถนนไม่ไกลจากบ้านตระกูลเซียว คุณชายอินผู้เก่งกาจหัวก้าวหน้ากำลังก้มมองพื้นอย่างเสียไม่ได้ คิ้วหนาเข้มทั้งสองขมวดเป็นปม อ้าปากค้างอยู่แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
คนที่ยืนอยู่ข้างเขาคือเด็กสาววัยสี่ห้าขวบคนหนึ่ง เธอสวมผ้าปิดปากสีขาว ในมือถืออมยิ้มอันหนึ่ง
วันนี้อินเซ่าหยวนไปเป็นเกียรติให้แก่มู่จง บริษัทเล็กๆ เช่นนี้เพิ่งเปิดตัว ไม่มีคนใหญ่คนโตไปร่วมงานเลยด้วยซ้ำ แต่ก็พอจะมีผู้บริหารของบริษัทระดับกลางมาร่วมงานไม่น้อย ดังนั้นการปรากฏตัวของอินเซ่าหยวนก็พอจะทำให้เป็นที่ฮือฮาได้ รวมถึงยังจัดการปัญหาวุ่นวายบางอย่างได้ด้วยเช่นกัน ขณะที่กำลังจะออกมาจากงานเขาเห็นมู่จยาถงนั่งอยู่บนม้านั่งเพียงลำพัง ท่าทางของเธอดูน่าสงสารจับใจ ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะพาเด็กน้อยออกมา
หากแต่ด้วยความที่อินเซ่าหยวนไม่เคยดูแลเด็กน้อยมาก่อนเขาจึงไม่รู้ว่าตัวเองควรทำเช่นไร มู่จยาถงเป็นเด็กน้อยที่ดูเชื่อฟังเหลือเกิน เธอไม่พูดมากด้วย เพียงแต่เบิกดวงตาใสๆ จนกลมโต เห็นได้ว่าเธอกำลังคาดหวังถึงสิ่งต่างๆ ในโลกภายนอกมากเพียงใด
อินเซ่าหยวนเห็นเช่นนั้นก็ใจอ่อนยวบ เขาพาเธอไปเล่นในหลายๆ ที่ แต่กลับพบว่าเด็กน้อยใบหน้ายิ่งขาวซีดลงเรื่อยๆ อินเซ่าหยวนกลัวว่าเธอจะไม่สบายตรงไหนจึงพาเธอมาเจอกับกู้ซีเฉียว
“พี่กู้ หนูคิดถึงพี่จังเลย” มู่จยาถงมองกู้ซีเฉียวที่ขึ้นมานั่งบนเบาะหลัง ดวงตาทั้งคู่ก็เป็นประกาย มองเธอตาไม่กะพริบ
“เด็กดี ตอนนี้มีคนอยู่ด้วยไม่เยอะไม่ต้องใส่ผ้าปิดปากก็ได้จ้ะ” กู้ซีเฉียวกอดเธอไว้ในอ้อมแขน ปลดผ้าปิดปากของเด็กน้อยออก “กินข้าวหรือยัง”
มู่จยาถงแอบเหลือบมองอินเซ่าหยวน ใบหน้าขาวราวหิมะมีท่าทีลังเล แม้จะไม่พูดกู้ซีเฉียวก็เดาคำตอบออกจึงจ้องอินเซ่าหยวนเขม็งอย่างอดไม่ได้
อินเซ่าหยวนรู้ตัวว่าผิดจึงรีบโทรหาเลขาให้จองโต๊ะร้านอาหารให้แล้วยังไม่ลืมเอ่ยปากแก้ตัวว่า “ก็ฉันไม่รู้ว่าเด็กน้อยกินอะไรได้บ้างก็เลยพามาหาเธอไง ไม่งั้นฉันก็คงพาเธอไปกินข้าวแล้ว”
กู้ซีเฉียวไม่อยากถือสาเขา ได้แต่กุมมือมู่จยาถง ส่งพลังลึกลับเข้าไปในร่างกายของเด็กน้อย มู่จยาถงรู้สึกแต่เพียงว่ามีกระแสอบอุ่นส่งผ่านเข้ามาจากง่ามนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือกระจายไปทั่วร่างของเธอ ทันใดนั้นร่างกายเด็กน้อยก็กลับมาสดชื่นมีกำลังวังชา สีหน้าที่ซีดเผือดค่อยๆ มีเลือดฝาดอีกครั้ง เธออ้าปากค้างมองกู้ซีเฉียวด้วยความประหลาดใจ
“ถงถงร่างกายไม่แข็งแรง ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของเธออ่อนแอกว่าคนทั่วไป ถ้าอยู่ในที่สาธารณะนานๆ กลับบ้านไปจะต้องส่งเธอไปที่ห้องปลอดเชื้อ” กู้ซีเฉียวหลบตาลง ห้องปลอดเชื้อเป็นสถานที่ที่น่ากลัวมาก เด็กน้อยต้องอยู่คนเดียวลำพัง นอกจากพยาบาลที่คอยเข้ามาเปลี่ยนยาแล้ว กระทั่งผู้ปกครองหรือญาติก็ไม่สามารถเข้าไปได้
“พี่กู้ หนูขอให้คุณลุงอินพาออกไปเล่นเองค่ะ” มู่จยาถงเกาๆ ฝ่ามือกู้ซีเฉียว ดวงตาที่ใสซื่อนั้นจริงจังมาก “วันนี้ถงถงดีใจมาก ดีใจมากๆ”
อินเซ่าหยวนมองผ่านกระจกมองหลังเห็นดวงตาสุกใสไร้ที่ติของเด็กน้อยเช่นนั้น ก็รู้สึกทั้งอบอุ่นใจและเจ็บปวด “ต่อไปฉันจะระวังกว่านี้”
เพราะคนที่พามาด้วยคือกู้ซีเฉียวและมู่จยาถง ร้านอาหารที่อินเซ่าหยวนจองจึงไม่ใช่ร้านที่มีคนพลุกพล่าน แต่เป็นร้านอาหารส่วนตัวที่ปกติธรรมดามาก
กู้ซีเฉียวกินข้าวเที่ยงมาก่อนแล้วจึงสั่งกับข้าวมาสองอย่างเพื่อให้มู่จยาถงกิน
อินเซ่าหยวนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของคนทั้งสอง แต่ไหนแต่ไรมาเขารู้ดีว่ากู้ซีเฉียวเป็นคนสวย โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นของเธอที่ใสดั่งหยดน้ำ ตอนที่เธอก้มมองมู่จยาถง ดวงตาคู่นั้นก็อ่อนโยนเป็นพิเศษ ขนตายาวของเธอทอดยาวเป็นชั้นเงา เป็นความงามหมดจดที่สุดจะพรรณนา
หากไม่ใช่เพราะเจียงซูเสวียน ด้วยนิสัยของเขา ป่านนี้คงจะ…อะแฮ่ม เขาคงควบคุมจิตใจตัวเองไม่ได้
ความคิดของเขายังเตลิดไปไม่ถึงไหนก็ถูกตัดทิ้งทันทีที่คิดถึงเจียงซูเสวียน คิดถึงตรงนี้ อินเซ่าหยวนก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะผลักแก้วเครื่องดื่มไปข้างๆ มือของหญิงสาว การรับน้องสาวคนสวยแสนดีคนนี้มาเฉยๆ ก็รู้สึกดีเหมือนกัน “ลองชิมน้ำผลไม้นี้ดู ของเด็ดเมืองเอ็นเชียวนะ”
กู้ซีเฉียวหยิบแก้วขึ้นมา จิบหนึ่งคำ เลิกคิ้ว รสชาติดีจริงๆ
“ฉันออกไปรับโทรศัพท์ก่อนนะ” อินเซ่าหยวนเห็นเธอชอบก็ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ เพียงแต่กินข้าวไปได้เพียงครึ่ง โทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้นมา
เห็นชื่อสายที่โทรเข้า สีหน้าของเขาก็แข็งเกร็ง ก่อนจะหันไปบอกกู้ซีเฉียวแล้วเดินออกไปรับสาย