ตอนที่ 70 ภาพวาดจีนโบราณ
อู่หงเหวินแขนขายาว ไม่นานก็แทรกตัวเข้าไปหากู้ซีเฉียวได้ ก่อนจะวางอุปกรณ์ที่ซื้อมาไว้บนโต๊ะ และช่วยปูกระดาษเซวียนจื่อ
อันธพาลหญิงที่หาเรื่องพยายามจะโต้เถียง แต่เมื่อเห็นชายหนุ่มรูปงามหล่อเหลาอย่างอู่หงเหวินก็ผงะไป หูของเธอค่อยๆ แดงระเรื่อขึ้น กลืนคำสบถลงไปโดยไม่รู้ตัว อยากจะรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองเอาไว้
อันธพาลหญิงที่มาหาเรื่องคนนี้ก็คือลูกสาวของผู้อำนวยการสถาบันวิจิตรศิลป์ ถือเป็นหญิงสาวที่มาจากครอบครัวนักวิชาการ แต่นิสัยนอกคอกและพฤติกรรมของเธอก็ไม่ต่างจากผู้ชายแต่เพราะเป็นศิลปิน พฤติกรรมแปลกๆ จึงเป็นเรื่องที่คนอื่นเข้าใจได้
“เธออยากให้พวกเราวาดรูปอะไร อยากได้แบบไหน” กู้ซีเฉียวหยิบพู่กันขึ้นมามองไปที่หญิงสาวคนนั้น
“วาดรูปคน เอาฉันเป็นแบบ” สาวน้อยพูดพลางเหลือบมองไปที่อู่หงเหวินแล้วพูดเสริม “วาดให้สวยๆ หน่อยนะ”
“ได้ งั้นนั่งลงสิ” กู้ซีเฉียวค่อยๆ ฝนหมึก เธอมองสาวน้อยที่นั่งนิ่งๆ ในสมองทำการประมวลผลอยู่หลายทีก่อนจะค่อยๆ ลงมือวาด
การวาดภาพคนแบบจีนโบราณให้ดีต้องถ่ายทอดทั้งท่าทางและอารมณ์ของคนต้นแบบให้ได้ กระบวนการวาดค่อนข้างซับซ้อนลึกซึ้ง ต้องใช้ทั้งเทคนิคกงปี่(เสมือนจริง) เสี่ยอี้(สเก็ตช์) และเจียนกงไต้เสี่ย(ผสมผสานระหว่างเสมือนจริงและการสเก็ตช์)
ตอนที่กู้ซีเฉียวอยู่ที่พื้นที่เสมือนจริงได้เคยศึกษาการวาดภาพแนวนี้อย่างตั้งใจ ฝีมือการวาดภาพจีนโบราณของเธออยู่ในระดับกลาง ยิ่งให้วาดภาพคนแบบนี้เธอได้แต่พยายามให้สุดความสามารถ
เธอค่อยๆ หลับตาลง เมื่อได้ลืมตาขึ้นอีกครั้งทั้งร่างของเธอก็ราวกับตกลงไปสู่ภวังค์ เธอยกพู่กันแล้วลงมือวาด ปลายพู่กันจรดบนหน้ากระดาษลากเส้นอย่างรวดเร็ว จิตวิญญาณ ความรู้สึกและพู่กันเคลื่อนไหวตามใจต้องการ คนที่เดินผ่านไปมาต่างหยุดยืนดู เรียกได้ว่าคนในดูออกคนนอกดูเอาสนุก แต่ทุกคนที่ได้เห็นภาพต่างก็ต้องตกตะลึง
สิ่งที่ทำให้คนวงในตกใจยิ่งขึ้นก็คือ ภาพวาดนี้มีแต่หมึกดำ รูปบุคคลในภาพก็ดูสง่างามและอ่อนหวานสมจริง
คนที่มุงดูต่างดูเพลินจนลืมเวลา
ในที่สุดกู้ซีเฉียวก็ลงเส้นรอบสุดท้ายเสร็จถึงจะได้รู้สึกตัวตื่นจากภวังค์ ในสมองมีเสียงของระบบอัปเดตขึ้นมา
[ภารกิจสำเร็จ โฮสต์ได้รับ 20 คะแนน]
[ติ๊ง! ยินดีกับโฮสต์ ทักษะการวาดภาพจีนโบราณของคุณได้เลื่อนเป็นขั้นกลาง ได้รับคะแนนเพิ่ม 50 คะแนน]
[ติ๊ง! ยินดีกับโฮสต์ ทักษะการวาดภาพจีนโบราณของคุณได้เลื่อนเป็นขั้นสูง ได้รับคะแนนเพิ่ม 100 คะแนน]
[ติ๊ง! ยินดีกับโฮสต์ วิทยายุทธ์โบราณของคุณได้เลื่อนขึ้นเป็นเกลากระดูก ได้รับคะแนนเพิ่ม 500 คะแนน]
“ระบบ นี่มันอะไรกัน” กู้ซีเฉียวอดตกใจไม่ได้ ข้อความเตือนรัวๆ ดังขึ้นเหมือนในคืนที่ระบบอัปเกรดสำเร็จวันนั้นไม่มีผิด
ระบบในพื้นที่เสมือนค่อยๆ ประสานเป็นกายทิพย์ขึ้นมาจนเหมือนกับร่างของคนจริงๆ มันยื่นมือที่มีเนื้อหนังขึ้นมาเกาหัวแกรก [เฉียวเหม่ยเหริน ฉันก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อครู่ที่เธอลงมือวาดภาพจู่ๆ ก็เกิดปรากฏการณ์ฟ้าดินประสานพลัง ฉันเดาว่าน่าจะเป็นเพราะเธอตั้งใจจนเกิดเป็นฌานเลยทำให้เธอได้อัปเกรดวิทยายุทธ์ ไม่ว่ายังไงก็ถือเป็นเรื่องดี เธอไม่ต้องคิดมากไปหรอกนะ]
กู้ซีเฉียวครุ่นคิด เข้าถึงฌานได้จากการวาดภาพ ฟังดูก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ที่เธอโชคดีถึงขนาดนี้อาจเป็นเพราะเรื่องที่เธอได้ตัดขาดจากตระกูลกู้ทำให้เธอปล่อยวางเรื่องของชาติที่แล้วลงได้ เลยทำให้จิตใจสงบจนได้รับโอกาสเช่นนี้
“วาดเสร็จแล้ว นี่ของเธอ” กู้ซีเฉียวเลิกคิดแล้วหยิบภาพวาดส่งให้ผู้หญิงที่นั่งเป็นแบบตรงหน้า
คนรอบข้างเห็นกู้ซีเฉียวดูสบายๆ ต่างก็ตกอกตกใจ ท่าทางไม่ใส่ใจแต่กลับวาดภาพสุดยอดแบบนี้ออกมาได้ ผู้หญิงคนนี้ไร้ความรู้สึกหรือไร
หญิงสาวคนนั้นก็อึ้งไป “เธอ…เธอให้รูปนี้กับฉันจริงๆ หรือ”
“ใช่ ให้เธอ แต่จำไว้นะว่าอย่าไปสร้างความเดือดร้อนให้ใครอีก” กู้ซีเฉียวยัดภาพวาดใส่มือผู้หญิงคนนั้น จากนั้นก็เดินฝ่าฝูงคนออกไปกับอู่หงเหวิน โดยที่คนเหล่านั้นเองก็ขวางไว้ไม่ทัน
สาวน้อยพลันได้สติกลับมาถลันเข้าไปกระชากแขนเสิ่นเนี่ยนจือ “นี่ เธอว่าผู้หญิงคนนี้จะสามารถเอาชนะพวกจิตรกรต่างชาติได้ไหม”
เสิ่นเนี่ยนจือหยิบรูปในมือเธอขึ้นมาดู หลังจากพินิจพิเคราะห์หลายรอบก็ยังไม่ได้สติกลับมา ได้แต่บ่นพึมพำกับตนเอง “หลีหลี วันนี้พวกเรามาสงบศึกกันชั่วคราวเถอะนะ เธอไปตามคนคนนั้น ส่วนฉันจะไปตามผู้อำนวยการ”
หลีหลีท้วงขึ้น “นี่ พูดอย่างกับว่าฉันหาเรื่องเธออยู่เรื่อยงั้นแหละ…”
เมื่อเจอเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทั้งสองเลยขอสงบศึกกันชั่วคราว แยกย้ายกันไปทำภารกิจ
สถาบันวิจิตศิลป์แบ่งออกเป็นหลายสาขา แต่ในส่วนของสาขาภาพวาดจีนโบราณนับวันยิ่งได้รับความนิยมน้อยลง ยิ่งสาขาภาพวาดสีน้ำมันได้รับรางวัลชนะเลิศแล้วด้วยก็ยิ่งทำให้สาขาภาพวาดจีนโบราณยิ่งตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก สาขาภาพวาดจีนโบราณในตอนนี้ก็มีเด็กวัยรุ่นอย่างเสิ่นเนี่ยนจือเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่
เธอวิ่งไปพลางตื่นเต้นไปพลาง มีคนที่มีความสามารถในการภาพวาดจีนโบราณขนาดนี้ สาขาของเธอก็พอจะมีความหวังแล้ว ไม่เพียงเท่านั้นอาจจะทำให้คนในแวดวงศิลปะเลิกดูแคลนสาขานี้ได้เช่นกัน
เดิมทีที่กู้ซีเฉียวออกมาเดินเล่นข้างนอกเพราะตั้งใจจะไปหามู่จง ตั้งแต่บริษัทจิ่วเทียนของเธอเปิดกิจการมาเธอยังไม่เคยเข้าไปดูเลยสักครั้ง แต่เพราะจู่ๆ วิทยายุทธ์โบราณก็เลื่อนขั้นโดยไม่คาดคิดจึงทำให้เธอลืมเรื่องนี้ไป พลังลึกลับในกายพลุ่งพล่าน เธอต้องเข้าไปปรับพลังยุทธ์ให้มั่นคงในพื้นที่เสมือนจริงอย่างที่เคยทำ
ด้านหนึ่งเธอพยายามควบคุมพลังในร่างเอาไว้ แต่อีกด้านก็ต้องแบ่งสมาธิไปพูดคุยกับอู่หงเหวิน เพราะตั้งแต่ที่อู่หงเหวินเห็นผลงานภาพวาดจีนที่เธอวาดไปเมื่อครู่ก็ควบคุมปากตนเองไม่ได้ พูดพล่ามออกมาไม่หยุด
จนกระทั่งเดินกลับถึงเขตคฤหาสน์ใจกลางเมือง พอเข้าไปในวิลล่า เสียงของเขาก็พลันหยุดชะงักไป
ในที่สุดหูของเธอก็ได้พักบ้างแล้ว
กู้ซีเฉียวเดินตามหลังเขาเข้าไปด้วยความผ่อนคลาย จากนั้นก็พบว่าอู่หงเหวินยืนอ้าปากค้างอยู่ที่เดิม ทั้งร่างราวกับโดนตรึงเอาไว้ กู้ซีเฉียวมองตามสายตาของเขาไปก็สบเข้ากับดวงตาดำขลับราวกับน้ำแข็งที่กำลังมองมาที่เธอ
มิน่าอู่หงเหวินถึงเป็นแบบนั้น เพราะตั้งแต่ครั้งที่แล้วที่อู่หงเหวินได้เจอกับเจียงซูเสวียน กู้ซีเฉียวก็รู้สึกว่าอู่หงเหวินกลัวเจียงซูเสวียนเป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้าเขา อู่หงเหวินจะเก็บไม้เก็บมือทำท่าสำรวม แม้แต่เสียงพูดก็เบาลงไปหลายสิบเดซิเบลโดยอัตโนมัติ
“พี่เจียง พี่อิน” คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเจียงซูเสวียนก็คืออินเซ่าหยวนและชายวัยกลางคนคนหนึ่ง กู้ซีเฉียวไม่รู้จักชายวัยกลางคนคนนั้นเลยเอ่ยทักทายเพียงพวกเขาสองคน
อินเซ่าหยวนหรี่ตาดอกท้อลง ก่อนจะเอ่ย “เด็กดี” จากนั้นก็กวักมือเรียกอู่หงเหวินให้เขาเข้าไปหา อู่เหวินหงก้าวสั้นๆ ทีละก้าวเข้าไปด้วยสีหน้าอมทุกข์
เจียงซูเสวียนพยักหน้าเล็กน้อย คิ้วคมเย็นชาของเขาดูอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย เขามองตามกู้ซีเฉียวที่กำลังเดินกลับห้อง ทันใดสีหน้าก็พลันแข็งทื่อ “เดี๋ยวก่อน”
กู้ซีเฉียวชะงักฝีเท้าอย่างงุนงง เห็นเพียงเพียงเจียงซูเสวียนเดินตรงเข้ามาหาเธอ เขาไม่ได้เดินเร็ว แต่เพียงครู่เดียวก็มาถึงตรงหน้าเธอแล้ว เจียงซูเสวียนเม้มปากท่าทางไม่พอใจ ทั้งร่างแผ่ซ่านบรรยากาศไม่น่าเข้าใกล้ออกมา
น่ากลัวมากจริงๆ
แน่นอนว่าเจียงซูเสวียนไม่ได้พูดอะไร เพียงขมวดคิ้วแล้วเอามือกดไปที่จุดมิ่งเหมินของเธอ
ข้อมือเหมือนสัมผัสโดนก้อนน้ำแข็ง ไอเย็นไต่ขึ้นมาตามปลายนิ้วของเขา
กู้ซีเฉียวมองไปที่มือนั้นอย่างตกใจ แขนเสื้อเชิ้ตของเขาถูกพับขึ้นสามทบอย่างประณีต เผยให้เห็นแขนบาง ท่อนแขนและนิ้วของเขาล้วนแต่ขาวนวลและผอมบาง ดูเหมือนเด็กเนิร์ดอ่อนแอไม่มีผิด แต่กู้ซีเฉียวรู้ดีว่าแขนนั้นมีพลังแฝงอยู่มากแค่ไหนจึงอดกลัวไม่ได้
ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงเรื่องที่ระบบเคยประเมินวิทยายุทธ์ของเจียงซูเสวียนว่าไปถึงขั้นกายเบาแล้ว หากประเมินจากตอนนี้คงไปไกลกว่านั้นแล้วแน่ๆ
ปราณชีวิตก่อเป็นรูปร่าง หมอกขาวพันเกี่ยว นี่อย่างต่ำสุดก็คงไปถึงขั้นพรสวรรค์แล้ว!