ตอนที่ 85 ก่อเรื่อง
“พี่กู้!” มู่จยาถงหันไปเห็นกู้ซีเฉียวที่อยู่ตรงหน้าก็ดวงตาเป็นประกาย อยากจะลุกขึ้นมาโดยไม่สนใจเข็มสายน้ำเกลือที่มือ เด็กชายตาไวกดร่างของเธอไว้ “ไม่ใช่พ่อเธอสักหน่อย จะตื่นเต้นอะไรขนาดนี้”
“พี่ต้าหลิน นี่คือพี่กู้ คนที่ฉันบอกกับพี่ว่าเป็นพี่สาวที่เก่งกาจมากๆ ของฉัน” มู่จยาถงนั่งลงอย่างเชื่อฟัง แต่ดวงตาดำขลับยังคงจ้องมองไปที่กู้ซีเฉียว ในสายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม
“จะเก่งกาจขนาดไหนกันเชียว เก่งเท่ากับสวีจยาอินไหม” เด็กชายขยี้หัวมู่จยาถงเบาๆ ก่อนจะกลอกตาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
มู่จยาถงขมวดคิ้ว เป็นครั้งแรกที่เธอไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเขา เธอหันไปมองที่เด็กชายอย่างจริงจัง “ก็ต้องเก่งมากสิ พี่กู้เก่งมาก เก่งเหมือนพ่อฉันเลย”
เด็กชายรู้ว่ามู่จงอยู่ในสถานะสูงส่งแค่ไหนในใจเธอ เธอแน่วแน่กับความคิดตนมาก ดังนั้นเมื่อเห็นเด็กสาวเทิดทูนกู้ซีเฉียวเช่นนั้นก็ไม่พูดอะไรอีกทำได้เพียงหันหน้าไปดูโทรทัศน์ต่อ
“สวัสดีจ้ะ ต้าหลิน” กู้ซีเฉียวมีหรือจะถือสาเด็กน้อย เธอเอาผลไม้วางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะหยิบแอปเปิ้ลมาปอก ผลไม้พวกนี้เพิ่งซื้อมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตข้างโรงพยาบาล
เสียงเรียกเด็กชายนั้นดังฟังชัด นัยน์ตาที่มองมาทางเขาสุกสว่างสดใส ใบหน้าขาวราวหยกเป็นความสวยที่ทำคนเห็นต้องตกตะลึง หูของเด็กชายเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาหันมาด้วยท่าทีเขินอาย
“ตามรายงาน คณะวิจิตรศิลป์เพิ่งนำภาพวาดจีนโบราณออกมาแสดง และได้เป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการศิลปะแห่งชาติ หากแต่ยังกำลังตามหาเจ้าของภาพวาดอยู่…”
กู้ซีเฉียวมองแวบเดียวก็เห็นภาพวาดจีนโบราณที่เธอวาด หากแต่กล้องหยุดที่ภาพนั้นเพียงไม่กี่วิก่อนจะเป็นภาพใบหน้าใสๆ ของสวีจยาอิน เห็นเช่นนี้เธอก็ได้แต่หัวเราะเบาๆ หากเธอไม่ต้องการให้มีคนหาเธอพบ ต่อให้พวกเขาพลิกประเทศหาก็ไม่มีทางหาเธอเจอ
เด็กชายเห็นกู้ซีเฉียวดูโทรทัศน์ก็เอ่ยปากพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจ “พี่สวีเก่งมากเลยใช่มั้ยล่ะครับ เธอคือรุ่นพี่ในโรงเรียนของพวกเรา นอกจากพี่ชายแล้วก็เป็นพี่สวีที่ฉลาดที่สุด ตอนนี้พี่สวีได้รับเลือกให้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยบีคณะศิลปะแล้วด้วย”
เขาเอ่ยพูดด้วยความลิงโลดทำเอากู้ซีเฉียวอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “งั้นเธอก็ต้องเอาพี่สวีเป็นตัวอย่างนะ”
“แน่ … แน่นอน” ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนขี้อาย แต่ก็ยังพยายามรักษาภาพเย็นชาเอาไว้ด้วย
เขามองมายังมือเรียวขาวคู่นั้นที่ถือมีดปอกผลไม้ เห็นเธอปอกผลไม้อย่างเบามือและเชี่ยวชาญ แถมเปลือกยังไม่ขาดออกจากกันสักนิด กู้ซีเฉียวก้มหน้าลงยิ้มเล็กน้อย หว่างคิ้วเจือรอยแย้มยิ้ม ใบหน้าราวกับหยกของเธอดูอ่อนโยนเป็นพิเศษ
กู้ซีเฉียวนำแอปเปิ้ลที่หั่นเรียบร้อยเสียบด้วยไม่จิ้มฟันแล้ววางไว้ตรงหน้าของเด็กๆ ก่อนจะหยิบขึ้นมาสองชิ้นป้อนเข้าปากคนทั้งสอง “มองฉันทำไม กินสิ”
ต้าหลินกัดแอปเปิ้ลด้วยความลังเลเล็กน้อย ดูท่าเขาจะเป็นคนตัดสินคนอื่นด้วยหน้าตาใช่ไหมเนี่ย
ทำไมเขาถึงไม่มีจุดยืนเช่นนี้นะ คนอื่นให้เขากินเขาก็ยอมกินอย่างนี้เลยหรือ
หลังจากนั้นไม่นาน พยาบาลก็เข้ามาพร้อมชาร์ตข้อมูลผู้ป่วยและเร่งให้ทั้งสองคนไปทำเคมีบำบัด ที่กู้ซีเฉียวมาวันนี้ก็เพื่อทำเรื่องนี้ เธอเห็นผู้ปกครองของเด็กชายไม่อยู่ก็รู้สึกแปลกใจ พยาบาลกลับกระตือรือร้น แถมยังรีบโทรศัพท์หาพี่ชายของต้าหลิน
“อย่าโทรหาพี่ผมเลย! ผมอยู่คนเดียวได้” ต้าหลินได้ยินดังนั้นก็รีบลุกขึ้นห้าม สองมือพนมขึ้นมองไปที่พยาบาล “พี่พยาบาล ได้โปรดเถอะนะ พี่ชายผมยุ่งมาก”
พยาบาลอึ้งไปครู่หนึ่ง มองเขาด้วยสายตาประหลาดใจ
กู้ซีเฉียวชำเลืองมองเขาจากนั้นก็เข้าไปพูดคุยกับพยาบาล ไหนๆ เธอก็ต้องดูแลเด็กคนหนึ่งแล้ว การมีเด็กอีกคนก็ดูแลด้วยได้เช่นกัน
ห้องเคมีบำบัดอยู่อีกอาคารหนึ่ง เมื่อเธอพาทั้งสองคนมาถึงก็ได้พบกับผู้สูงอายุหลายคนที่ต่อแถวอยู่ พวกเขามีท่าทีตกใจมาก “เด็กขนาดนี้ก็มารับเคมีบำบัดแล้วหรือ”
กู้ซีเฉียวลูบหัวเด็กทั้งสอง ก่อนจะส่งเด็กทั้งสองคนไปเข้าห้องรับเคมีบำบัด เธอไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร นั่นสิ พวกเขายังเด็กขนาดนี้ ต้องมาทนรับความเจ็บปวดใหญ่หลวง แต่สิ่งที่ทำใจยากที่สุดเห็นจะเป็นการที่เด็กทั้งสองเป็นคนมองโลกในแง่ดีนี่แหละ
“ขอโทษนะ…เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” เสียงคุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง
กู้ซีเฉียวหันหัวไปมองก็พบกับใบหน้าหล่อเหลาปรากฏอยู่ตรงหน้า คนๆ นั้นก็คือลั่วเหวินหลั่งนั่นเอง
“นายคือพี่ชายของต้าหลินเหรอ” กู้ซีเฉียวพยายามคิดปะติดปะต่อ พลันพอจะเดาได้เลาๆ เธอพยายามโยงเรื่องราวต่างๆ เข้าหากัน เธอชี้ไปที่ห้องเคมีบำบัด “เขาเข้าไปแล้ว นายรอหน่อยนะ”
ห้องเคมีบำบัดมีการใช้รังสีค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงไม่อนุญาตให้สมาชิกครอบครัวเข้าไป แม้ว่ากู้ซีเฉียวจะไม่กลัวแต่ก็ได้แต่รอเงียบๆ อยู่ด้านหน้าประตู ไม่ขัดขวางการทำงานของโรงพยาบาล
ลั่วเหวินหลั่งสูดลมหายใจเข้าลึก “ใช่แล้ว ขอบใจนะ”
วันนี้เขาไปรับจ้างส่งอาหารที่ร้านฟาสต์ฟู้ด เดิมทีที่ร้านมีเด็กส่งของอยู่สองคน แต่มีลูกค้าบางคนโทรมาขอให้เขาเป็นคนไปส่งให้จนเขายุ่งจนเท้าแทบไม่ติดพื้น เกือบจะลืมลั่วเหวินหลินไปเสียสนิท ยังดีที่ตอนหลังเขานึกขึ้นได้ พอไปถึงวอร์ดที่พักก็ทราบว่ามีคนพาน้องชายไปทำเคมีบำบัดแล้วเขาจึงรีบร้อนวิ่งตามมา
คิดไม่ถึงว่าเขากลับมาได้เจอกับกู้ซีเฉียว ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องแปลกใจที่น่ายินดี
คิดถึงตรงนี้หัวใจที่หนักอึ้งของลั่วเหวินหลั่งก็ผ่อนคลายลงไปมาก เขามองกู้ซีเฉียว มุมปากขยับเล็กน้อย “อืม ว่าแต่เธอมาที่นี่ได้ไง”
“ฉันมาอยู่เป็นเพื่อนเด็กคนหนึ่งน่ะ” กู้ซีเฉียวพิงผนัง สายตาหันไปมองที่ประตูนั้นอีกครั้ง ผ่านไปครู่ใหญ่ก็เอ่ยพูดออกมา “ต้าหลินเป็นเด็กดีนะ”
“อืม” ลั่วเหวินหลั่งไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แววตาของเขาเริ่มว่างเปล่า
ทันใดนั้นประตูด้านในก็ถูกผลักออกมา ลั่วเหวินหลินวิ่งออกมาด้านนอก ข้างหลังมีคุณหมอวิ่งตามออกมา “หนู เดี๋ยวก่อน!”
ใบหน้าของต้าหลินซีดขาว เมื่อเขามองเห็นลั่วเหวินหลั่งก็ได้แต่เม้มปากแล้ววิ่งหนีออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“ลั่วเหวินหลิน!” ลั่วเหวินหลั่งตั้งสติได้ก็รีบก้าวเท้ายาววิ่งตามเขาไป เขาตะโกนออกมาด้วยความโกรธ “ลั่วเหวินหลิน หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
กู้ซีเฉียวหรี่ตาลง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ข้างๆ มีผู้ป่วยสองสามคนเอ่ยปากถามว่าเกิดอะไรขึ้น คุณหมอที่วิ่งตามออกมาได้แต่ถอนใจ “เด็กน้อยอาจจะไม่รู้ว่าเกี่ยวกับอาการตัวเองในตอนแรก ตอนที่ฉันคุยเรื่องอาการของเขากับคุณหมอจางเขาดันมาได้ยินพอดี พอรู้ว่าต่อให้ต้องใช้เงินจำนวนมากมารักษาก็ไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ เขาก็รีบวิ่งออกไปเลย”
คุณหมอถอนหายใจพลางปิดประตูลงไปอีกครั้ง
หนุ่มหล่อหน้าตาดีกับเด็กชายที่ดูหล่อเหลายืนอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ ทั้งสองคนเผชิญหน้ากัน ไม่มีใครจะยอมหลีกทางให้ใคร
ลั่วเหวินหลั่งกำลังจับไหล่ของลั่วเหวินหลินไว้แน่น จ้องเขาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ แต่ลั่วเหวินหลินก็จ้องเขากลับอย่างไม่กลัวเกรง พอจะมองออกว่าลั่วเหวินหลินเป็นคนรั้น แม้แต่ลั่วเหวินหลั่งเองก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้
“ลั่วเหวินหลั่ง ฉันเห็นโทรศัพท์นายดังมานานแล้ว ถ้ามีธุระนายรีบกลับไปก่อนดีกว่า ฉันจะช่วยดูเหวินหลินให้เอง” กู้ซีเฉียวมองลั่วเหวินหลั่ง
เรื่องนี้ดูแล้วคงไม่อาจแก้ไขได้ในเวลาอันรวดเร็ว ลั่วเหวินหลั่งยอมปล่อยมือ เขามองมาที่ต้าหลิน สูดหายใจเข้าลึกๆ หันกลับไปบอกกับกู้ซีเฉียว “ขอบใจเธอมากนะ เดี๋ยวฉันจัดการธุระเสร็จแล้วจะกลับมา”
ข้างม้านั่งมีต้นการบูรต้นใหญ่ที่บดบังแสงแดดส่วนใหญ่อยู่ กู้ซีเฉียวดึงต้าหลินให้นั่งลง “พี่ชายของเธอกลับไปแล้ว ตอนนี้เธอบอกได้หรือยังว่าทำไม”
ต้าหลินหลุบตาลง เขาชันเข่าไว้บนเก้าอี้ มือทั้งสองกอดขาไว้ ซุกหน้าลงระหว่างหัวเข่าแน่น เผยให้เห็นเพียงเส้นผมสีดำขลับ
ผ่านไปพักใหญ่จนกระทั่งกู้ซีเฉียวเองก็คิดว่าเขาคงจะไม่ตอบแล้ว ทันใดนั้นเขาก็เอ่ยพูดขึ้น
“พี่ชายเขาไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ ของผม”
หลังจากที่เขาเกิดมาได้เพียงไม่กี่วันก็โดนนำไปทิ้งไว้ที่ประตูสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ลั่วเหวินหลั่งเป็นคนเก็บเขากลับมาแถมยังตั้งชื่อให้เขา ตั้งแต่เด็กจนโตเขาก็คอยติดตามลั่วเหวินหลั่งไม่ห่าง เขาพอจะรู้จากคนรอบข้างว่าลั่วเหวินหลั่งเป็นคนมีพรสวรรค์ มีหลายครอบครัวที่อยากจะมาขออุปการะเลี้ยงดูลั่วเหวินหลั่ง แต่เพราะเขา ลั่วเหวินหลั่งจึงไม่เคยตอบตกลงครอบครัวไหนเลย
จนกระทั่งที่เขาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ลั่วเหวินหลั่งก็ขายของรักของสะสมที่เขามีจนหมดแล้วพยายามเก็บเงินเพื่อนำมารักษาเขา ทุกวันเขาจะออกไปทำงาน ตกดึกเที่ยงคืนถึงจะกลับมา วันรุ่งขึ้นหกโมงเช้าก็ออกไปเรียนหนังสือ ไม่มีเวลาอิสระของตัวเองเลยสักนิด
ลั่วเหวินหลั่งบอกกับเขาว่า โรคของเขาไม่ร้ายแรง
“พี่กู้ พี่ชายเป็นคนเก่งมาก ผมไม่อยากกลายเป็นภาระให้เขา หมอบอกว่าโอกาสที่จะรักษาโรคของผมให้หายได้มีเพียงสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น อีกทั้งยังต้องหาไขกระดูกที่เข้ากับผมได้ถึงจะทำการรักษาได้ แต่ว่าพี่ชายเขารอไม่ได้แล้ว เขาเพิ่งจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย แถมยังสอบได้คะแนนเกือบเต็มจนบรรดามหาวิทยาลัยเอ มหาวิทยาลัยบี ล้วนแต่โทรมาหาเขาหลายต่อหลายครั้ง เขาต้องอยู่ที่เมืองเอ็นนี้ต่อเพื่อผม ถ้าเขาจะไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย เขาก็จำเป็นต้องใช้เงินมากกว่าผม ผมหวังให้พี่เขามีอนาคตที่ดี” ต้าหลินเอาแต่ก้มหน้าด้วยใจที่อัดอั้น “ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าโรคของผมเป็นแบบนี้ ผมจะไม่มาเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเด็ดขาด”
วันนี้เขาไม่ได้รับเคมีบำบัด ตอนนี้ดวงตาของเขาจึงเริ่มดำคล้ำลงแล้ว
เขารู้สึกได้ว่าเริ่มแน่นหน้าอก ภาพที่เห็นตรงหน้าดูเลือนราง
ที่จริงแล้วหากจะต้องตายในสภาพนี้ก็ไม่ได้แย่อะไรเสียหน่อยนี่ ชีวิตนี้ของเขาก็ได้มามาเพราะมีคนเก็บเขาได้ ถ้าตายอยู่ที่นี่ก็คงไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ไม่ต้องเป็นภาระให้พี่ชายอีกต่อไป
ลั่วเหวินหลินคิดขณะที่มึนหัว ทันใดนั้นเขารู้สึกว่ามีพลังอุ่นร้อนบางอย่างกำลังไหลผ่านฝ่ามือเข้าสู่ร่างกาย สายตาของเขาพลันสดใส อาการแน่นหน้าอกก็ทุเลาลงจนค่อยๆ หายไป เขาหันหน้ากลับมามองกู้ซีเฉียว “พี่กู้ พี่…..”
กู้ซีเฉียวกำลังกุมมือของเขาไว้ ใบหน้าขาวราวหยกของเธอเปลี่ยนเป็นซีดลง สีผิวของเขาก็ดูขาวซีดมาก ขนตาของเธอขยับเล็กน้อย จากนั้นเธอค่อยปล่อยมือลุกขึ้นยืน “โอเคแล้ว ไปเรียกถงถงลงมาได้แล้ว เดี๋ยวพี่จะพาพวกเธอไปกินข้าว”
เธอยืนอยู่ตรงที่เดิมฟื้นฟูกำลังอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็พาเด็กทั้งสองไปกินข้าวที่ร้านอาหารข้างโรงพยาบาล
ลั่วเหวินหลินยืนอยู่ข้างกู้ซีเฉียว เขาสูงประมาณหูของกู้ซีเฉียวแล้ว หน้าตาของทั้งสองคนที่ถือว่าโดดเด่น แววตาก็ดูสว่างสุกใสเหมือนกัน เมื่อยืนข้างกันแล้วยิ่งเหมือนเป็นพี่สาวน้องชาย
แต่ว่าเขาดื้นรั้นไปหน่อย คนที่จะพูดให้เขายอมได้ คนคนนั้นคงมีลั่วเหวินหลั่งคนเดียวเท่านั้น
ตอนก่อนที่จะกินข้าวกู้ซีเฉียวก็เอาเบอร์โทรศัพท์ของลั่วเหวินหลั่งให้กับมู่จงไป อีกทั้งยังให้ระบบช่วยรีบร่างสัญญาขึ้นมาหนึ่งฉบับแล้วส่งอีเมล์ไปให้กับมู่จง มู่จงได้ยินชื่อลั่วเหวินหลั่งก็ตกใจไปขณะหนึ่ง
เขาไม่เหมือนกับกู้ซีเฉียว มู่จงรู้จักลั่วเหวินหลั่งคนนี้อยู่บ้าง หากพูดตามหลักแล้วลั่วเหวินหลั่งคนนี้ต้องเป็นคนที่หลายต่อหลายคนอยากแย่งตัว แต่ตัวตนของเขานั้นไม่ธรรมดาเลย
หากพูดถึงเรื่องทางบ้านของเขาก็ล้วนแต่ทำให้คนที่ได้ฟังทอดถอนใจ ตอนที่แม่ของเขาคลอดเขาแรกๆ เป็นช่วงที่พ่อของเขาไปทำงานหาเงินที่เมืองหลวง เขาได้พบกับลูกสาวคนรวยและกลายเป็นลูกเขยที่ร่ำรวยในที่สุด ดังนั้นแม่ของลั่วเหวินหลั่งเลยเป็นแม่หม้ายสามีทิ้ง ผ่านไปไม่นานแม่ของเขาก็ถูกรถชนเสียชีวิต
ลั่วเหวินหลั่งจึงกลายเป็นเด็กกำพร้านับแต่นั้น แม่เลี้ยงร่ำรวยก็ตั้งตัวเป็นศัตรูกับแม่ลูกคู่นี้ จนกระทั่งถึงกับประกาศให้คนเมืองเอ็นห้ามให้ความช่วยเหลือใดๆ กับลั่วเหวินหลั่ง
ที่น่าผิดหวังคือไม่มีใครในเมืองเอ็นกล้าขัดใจคนที่เมืองหลวง ต่อให้มีคนที่ไม่รู้ที่มาที่ไปอยากจะช่วยสนับสนุนเขา ก็โดนคนที่รู้เรื่องราวทัดทานจนต้องยกเลิกความตั้งใจนั้นเพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่ได้กลับมาจะคุ้มกับการเข้าไปเสี่ยงเช่นนี้ไหม จนนานวันเข้าก็ไม่มีใครสนใจเขา ต่อให้เขาทำคะแนนสูงสุดเป็นอันดับสองของประเทศก็ไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้ามาช่วย