ตอนที่ 89 แย่งทางทำมาหากิน
ในเวลานี้เรื่องต่างๆ ก็จัดการเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่เพียงเรื่องของการย้ายบ้าน กู้ซีเฉียวลูบหัวเจ้าฮาฮา กำลังคิดว่าจะย้ายไปที่ไหน เจ้าฮาฮาหรี่ดวงตาที่สดใสเป็นประกายของมัน เพลิดเพลินกับการอยู่ในอ้อมกอดของเธอเป็นอย่างมาก “ฉันให้แกตัดสินว่าจะย้ายไปไหม ถ้าตกลงให้เห่าหนึ่งครั้ง ไหน เห่าเรียกฉันก่อน”
ฮาฮา “โฮ่งโฮ่ง”
กู้ซีเฉียวอุ้มมันขึ้นมา จ้องเข้าไปในตาของเจ้าฮาฮา “ฉันบอกว่าให้เห่าแค่ครั้งเดียวไง”
ฮาฮา “…โฮ่ง”
“ดูเหมือนว่าแกจะเห็นด้วยที่ฉันจะย้ายไปสินะ ว่าแต่จะย้ายไปที่ไหนดีล่ะ” กู้ซีเฉียวอุ้มเจ้าฮาฮาไว้ในอ้อมอกอีกครั้งและพิจารณาต่อไป
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น กู้ซีเฉียวคว้าขึ้นมาดูพบว่าเป็นเบอร์ท้องถิ่นที่ตนไม่คุ้นเคย คนที่รู้เบอร์โทรของเธอมีไม่มาก และคนที่จะยกหูหาเธอก็คงต้องเป็นคนสนิทเท่านั้น
เธอคาดเดาไปถึงหลายต่อหลายคน แต่คนที่เธอคิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนโทรศัพท์มาหาเธอก็คือลั่วเหวินหลั่ง เขาโทรมาเชิญเธอให้ไปที่บ้านของเขา เพราะวันนี้เป็นวันเกิดของลั่วเหวินหลิน
“นายบอกที่อยู่มา เดี๋ยวฉันไปหาเอง” กู้ซีเฉียววางสายไปได้ครู่เดียว ลั่วเหวินหลั่งก็ส่งที่อยู่ของตนมาให้ แถมยังมีประโยคหนึ่งตามมาว่า บ้านเขาค่อนข้างหายาก หากเธอหาไม่เจอให้โทรหาเขาได้เลย
กู้ซีเฉียวดูที่อยู่ของเขาก็พบว่าบ้านของเขาอยู่ในซอยเล็กๆ ถัดจากโรงเรียนอีจง
เพราะเป็นวันเกิดของลั่วเหวินหลิน กู้ซีเฉียวจึงไปที่ห้างสรรพสินค้าและซื้อหุ่นทรานสฟอร์เมอร์เป็นของขวัญซึ่งพนักงานขายแนะนำว่าเด็กผู้ชายชอบ
ตรอกซอยข้างโรงเรียนอีจงมีมากมายและวุ่นวาย เธอเพิ่งลงจากรถก็มองเห็นลั่วเหวินหลินยืนรออยู่ตรงหน้าปากซอย เขาสวมหน้ากาก เผยให้เห็นแต่ดวงตาที่ดำขลับ เมื่อเขาเห็นกู้ซีเฉียวแววตาของเขาก็เปล่งประกายขึ้นทันใด
“พี่กู้” เขาโบกมือให้กู้ซีเฉียว
กู้ซีเฉียวเดินไปหาเขา ขยี้หัวเขาเบาๆ ก่อนจะยื่นของขวัญในมือให้ “สุขสันต์วันเกิดนะจ๊ะ นักเรียนลั่ว”
ลั่วเหวินหลินไม่ได้รีบร้อนจะแกะของขวัญ แต่เขาชี้ไปทางเด็กชายที่อยู่ข้างๆ เขา “พี่กู้ คนนี้คือเหยาจยามู่ เป็นเพื่อนของพี่ชายผม พี่เหยา ทักพี่กู้สิครับ”
ชายหนุ่มคนข้างๆ เขาผอมสูง เขาถอดหมวกออกเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาและรอยยิ้มสดใส “สวัสดี พบกันอีกแล้วนะ”
หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าสวมเสื้อแขนสั้นสีขาว เผยให้เห็นคอระหงที่สวยงาม ดวงตาของเธอแจ่มชัด ใบหน้างามราวกับดอกท้อ มีความอ่อนโยนจางๆ ปรากฏตรงหว่างคิ้ว อ่อนโยนราวหยก เหยาจยามู่กะพริบตามองอยู่ครู่หนึ่งถึงจะได้สติกลับมา
“พวกพี่รู้จักกันหรอครับ” ลั่วเหวินหลินจ้องเขม็ง
“อย่าพูดมากเลย ไปกันเถอะ” เหยาจยามู่อารมณ์ดี พาคนทั้งสองเดินเข้าไปในซอย ปากแทบจะฉีกยิ้มยาวไปจนถึงใบหู
กู้ซีเฉียวยกมุมปากขึ้น พูดอธิบายให้ลั่วเหวินหลินฟัง “ใช่ ตอนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยที่นั่งสอบอยู่ติดกัน เขาใส่รองเท้าแตะมาเข้าสอบ ทำให้พี่จำได้แม่นเลย”
เธอไม่ได้เล่าเรื่องครั้งแรกที่ทั้งสองคนได้เจอกัน เหยาจยามู่คิดถึงตรงนี้ก็ยิ้มมากขึ้นไปอีก แม้ว่าการพบกันครั้งแรกจะไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่ แต่เขาเองก็จดจำได้ดี เมื่อเห็นเธอไม่พูด เขาจึงไม่เอ่ยออกมา
บ้านตระกูลลั่วนั้นอยู่ลึกลับห่างไกลจริง ต้องเดินอ้อมไปอ้อมมาถึงจะถึงลานบ้าน
ทันทีที่ถึงบ้าน ลั่วเหวินหลินก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องและแอบเปิดกล่องของขวัญที่กู้ซีเฉียวมอบให้เขา ทันทีที่เขาเห็นกล่องของขวัญก็อดใจไว้ไม่ได้แล้ว มันมีราคาแพงมากในห้างสรรพสินค้าปกติเขาได้แต่ไปจ้องมอง คิดไม่ถึงว่าจะมีวันที่จะได้กลายมาเป็นของขวัญของตนเอง
เหยาจยามู่ตรงเข้าไปอย่างคุ้นเคยกับตัวบ้านพลางหยิบถุงกระดาษที่ยังไม่แกะบนโต๊ะไม้เล็กตรงตู้เย็นออกมาต้อนรับกู้ซีเฉียว
“ที่จริงฉันก็อยากรู้มากเลยว่าตอนนั้นทำไมนายถึงขโมยเงินผู้หญิงคนนั้น” กู้ซีเฉียวดูเขาชงชา พลางเอ่ยถามออกมา
เธอเคยเจอเขาหลายครั้ง กู้ซีเฉียวพบว่าเหยาจยามู่ก็ไม่ใช่คนเลวอะไร เขาเป็นคนมีคุณธรรมมาก พฤติกรรมของเขาเปิดเผย ดูไม่ใช่คนที่จะเป็นขโมยได้เลย
“เปล่าหรอก ก็แค่ตอนนั้นอาการป่วยของเหวินหลินยังไม่คงที่ ยังต้องทำเคมีบำบัด ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมาก ตอนแรกฉันไปยืมเงินจากป้าและสัญญาว่าจะใช้คืนให้ เพราะเห็นว่าบ้านป้ามีเงิน แต่พอมีเงินนิสัยก็เปลี่ยนตามไปด้วย ป้าไม่นับญาติกับพ่อจนๆ ของฉันอีกแล้ว ตอนนั้นฉันก็โกรธแหละ ถึงได้ขโมยเงินจากกระเป๋าป้ามา” เหยาจยามู่หวนคิดถึงอดีตแล้วทั้งนึกขันและขมขื่นในคราวเดียว
กู้ซีเฉียวไม่คาดคิดมาก่อนว่ามีเรื่องแบบนี้ เธออึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะฉุกคิดสิ่งที่ตัวเองเคยสอนเหยาจยามู่ เธอลูบจมูกอย่างช่วยไม่ได้ “ฉันเข้าใจนายผิดไปสินะ”
“ไม่หรอก แต่ถึงยังไงเธอก็ช่วยชีวิตเด็กดีคนหนึ่งเอาไว้” เหยาจยามู่ส่ายศีรษะ ในตอนนั้นเขาเองก็เกลียดโลกอยู่ประมาณหนึ่ง เขารู้สึกว่าทำไมคนดีถึงต้องทนทุกข์ ส่วนคนชั่วกลับมีชีวิตที่สุขสบาย สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย แต่ผู้หญิงตรงหน้าทำให้เขารู้ว่าโลกใบนี้ยังมีแสงสว่าง
ในขณะที่กำลังสนทนากันอยู่ ลั่วเหวินหลั่งก็ถืออาหารกลับมาที่โต๊ะ เขาพูดน้อยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อพูดกับกู้ซีเฉียวสองสามประโยคแล้วก็เดินกลับเข้าไปในครัว ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะเป็นพ่อครัวใหญ่
ลั่วเหวินหลินถือทรานส์ฟอร์เมอร์สออกมาทำท่าขอบคุณกู้ซีเฉียวก่อนจะเดินกลับเข้าไปในครัว
ภายในห้องครัว ลั่วเหวินหลั่งมองลั่วเหวินหลินที่นั่งเล่นหุ่นยนต์ทรานส์ฟอร์เมอร์อยู่บนเก้าอี้ เนื้อแก้มเนียนขาวปรากฏรอยยิ้มของเด็กหนุ่ม หากเทียบกับความนิ่งในยามปกติแล้ว ลั่วเหวินหลินในวันนี้มีชีวิตชีวาเปี่ยมไปด้วยพลังมากกว่า
ลั่วเหวินหลั่งเหม่อมองชั่วครู่แล้วจึงก้มหน้าหั่นผักต่อ นัยน์ตาเจือไปด้วยหมอกขมุกขมัว
กี่ปีแล้วที่เขาไม่ได้เห็นลั่วเหวินหลินเป็นเช่นนี้ มันนานเสียจนเขาเลิกคิดไปแล้วว่าลั่วเหวินหลินจะอาการดีขึ้นได้ ความฝันที่ลั่วเหวินหลินอยากจะเที่ยวรอบโลกดูมิได้ห่างไกลเช่นนั้นอีกแล้ว
ประตูห้องครัวเปิดอ้าอยู่ ลั่วเหวินหลั่งเอียงศีรษะเล็กน้อยก็สามารถมองเห็นกู้ซีเฉียวที่นั่งอยู่ในห้องรับแขกได้อย่างชัดเจน เธอยืนอยู่กลางห้อง กำลังกวาดตาอ่านประกาศนียบัตรที่แปะอยู่ข้างฝาบ้าน
ประกาศนียบัตรเหล่านั้นเป็นของลั่วเหวินหลินและลั่วเหวินหลั่ง ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นของลั่วเหวินหลั่ง
“เธอเดินดูรอบๆ ไปก่อน ฉันออกไปรับคนสักครู่” เหยาจยามู่ดูจอโทรศัพท์พลางกล่าวแก่กู้ซีเฉียว
กู้ซีเฉียวมองมาที่เขาพลันหรี่ตา “ตอนนี้อย่าเพิ่งออกไปเลยจะดีกว่า จากที่ฉันดูนายมีเกณฑ์เลือดตกยางออก”
เหยาจยามู่หัวเราะก่อนจะมองมาที่หญิงสาวด้วยแววตาจริงจัง “อย่าบอกนะว่าเธอนับนิ้วเข้าณานเอา”
“ก็ประมาณนั้น” กู้ซีเฉียวพยักหน้าแล้วจึงหันไปดูประกาศนียบัตรบนผนังต่อ ไม่ได้สนใจว่าเขาจะฟังสิ่งที่เธอพูดหรือไม่
เหยาจยามู่ออกไปข้างนอกและกลับเข้ามาอีกครั้งตอนช่วงทานอาหารพอดี แต่การกลับมาครั้งนี้มีผู้หญิงอีกคนพยุงเดินเข้ามา ลั่วเหวินหลินเห็นดังนั้นก็ลุกพรวด รีบเดินเข้าไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลในห้องครัวออกมา ลั่วเหวินหลั่งทำแผลให้เขาจนชินแล้ว สีหน้าของเขาในตอนนี้ไม่สู้ดี “เหยาจยามู่ ฉันบอกนายกี่ทีแล้วว่าอย่าไปยุ่งกับไอ้พวกนั้น มันเป็นอันธพาล ไม่ใช่คนดี!”
“ฉันเอาอยู่น่า นายไม่ต้องพูดมาก โอ๊ย เบามือหน่อยสิวะ!” เหยาจยามู่สูดลมหายใจพลางชำเลืองมองไปที่กู้ซีเฉียวที่กำลังมองมาที่เขา ชายหนุ่มพลันได้สติ “เธอบอกว่าวันนี้ฉัน…”
“ก็แค่เดา” กู้ซีเฉียวเลิกคิ้ว เธอเหลือบมองไปที่แผลของเขา “เอาเถอะ ไม่ถึงตายหรอก”
คิดเสียว่าเป็นบทเรียน
เหยาจยามู่ “…”
“แต่ว่าวันหนึ่งนายอาจจะถูกเล่นงานถึงตาย!” เสิ่นเนี่ยนจือวางของขวัญในมือลงบนโต๊ะ “ฉันขอให้นายไปรับฉันหรือยังไง ถ้าฉันไม่เตือน ป่านนี้ชีวิตของน้อยๆ ของนายคงปลิวไปแล้วเพื่อน!”
ความสนใจของเสิ่นเนี่ยนจือเปลี่ยนจากเหยาจยามู่ไปที่กู้ซีเฉียวที่ยืนอยู่อีกด้าน เธอชะงักไปพักหนึ่ง
ในตอนที่เธอพลิกแผ่นดินหากลับไม่เจอจนคิดว่าคงหมดหวังแล้ว แต่แล้วจู่ๆ คนคนนี้กลับมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเสียอย่างนั้น เธอตื่นเต้นเกินกว่าจะบรรยายของมาเป็นคำพูดจึงได้แต่ยืนอึ้งอยู่ที่เก่า “คุณ คุณ!”
“สวัสดีค่ะ” ริมฝีปากสีจางยกยิ้มเล็กน้อย กู้ซีเฉียวกล่าวเสริมโดยมิได้เปิดโอกาสให้เธอกล่าวต่อ
“สวัสดี” เสิ่นเนี่ยนจือขานตอบ เธอกลืนคำที่เหลือลงคอ แต่ไม่อาจทำจิตใจให้สงบได้ สติของเธอยังคงล่องลอย โชคดีที่ตอนนี้ทุกคนกำลังสนใจแผลของเหยาจยามู่ ไม่มีใครสังเกตเห็นท่าทีเสียอาการของเธอ
“เหวินหลั่ง นายไปเอายามาจากไหน ทำไมมันดีขนาดนี้ ทาแล้วไม่รู้สึกเจ็บเลย คงไม่ต้องไปโรงพยาบาลแล้ว พรุ่งนี้ก็น่าจะหายดี” เหยาจยามู่มีแผลที่หลัง ปากแผลขนาดใหญ่ทำให้ร่างกายครึ่งท่อนบนเปื้อนเลือดเป็นวงกว้าง ลั่วเหวินหลั่งเอาเสื้อผ้าของตัวเองมาให้เขาเปลี่ยน
ลั่วเหวินหลั่งมองเพื่อนแต่ไม่ได้กล่าวต่อ เหยาจยามู่รู้ว่าตัวเองทำพลาดไปจึงได้แต่ลูบจมูกพลางก้มหน้าสำนึกผิด
กู้ซีเฉียวอาศัยจังหวะสั้นๆ วาดภาพให้ลั่วเหวินหลั่ง เธอยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะ ปลายนิ้วเรียวของเธอจับพู่กัน คิ้วขมวดมุ่น แววตาเปล่งประกาย ภาพของนิ้วมือเรียวขาวประหนึ่งสีของหิมะช่างไม่เข้ากับห้องหับทรุดโทรมคับแคบนี้เอาเสียเลย
นี่เป็นครั้งแรกที่กู้ซีเฉียววาดรูปต่อหน้าลั่วเหวินหลิน เขาตั้งใจดู ใบหน้าเล็กๆ ฉายแววตื่นตะลึง ก่อนหน้านี้ที่เขาเคยเห็นเสิ่นเนี่ยนจือวาดรูปก็รู้สึกมหัศจรรย์แล้ว แต่ตอนนี้กู้ซีเฉียวกลับใช้เวลาวาดภาพเขาและลั่วเหวินหลั่งภายในระยะเวลาแค่สิบนาที ทั้งยังเหมือนจริงจนน่าตกใจ
ตอนนี้เขาเชื่อสิ่งที่ลั่วเหวินหลั่งพูดแล้ว “พี่กู้ พี่นี่เทพสุดๆ!”
“เด็กน้อยอย่างนายจะไปเข้าใจอะไร” กู้ซีเฉียวหัวเราะ จากนั้นเธอเปลี่ยนไปใช้ปากกา เติมบทกวีลงไปในพื้นที่ว่าง…
เลิกโหยหาบ้านเกิดยามอยู่ต่อหน้าสหายเก่า แต่จงเติมไฟและลิ้มรสชาติของใบชาใหม่
ลายมือบรรจงสื่อความหมายชัดเจน
“พี่กู้ ผมไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะครับ” ลั่วเหวินหลินบุ้ยปาก คำพูดของเธอมันหยามกันชัดๆ
เมื่อเห็นว่าเธอวาดเสร็จแล้ว เด็กหนุ่มรีบนำภาพวาดไปอวดลั่วเหวินหลั่ง
“เธอวาดรูปสวยมาก” เหยาจยามู่แทรกตัวเข้ามา พิศดูด้วยสายตาตื่นตะลึง ขนาดเขาที่ไม่ใช่สายวาดรูปยังดูออกว่าเธอวาดรูปเก่ง “สุดปัง”
กู้ซีเฉียวชำเลืองมองเขา เธอคิดกับตัวเองครู่หนึ่งพลางถาม “นายอยากเรียนต่อสู้ไหม”
ระบบที่อยู่ในพื้นที่เสมือนจริงเงยหน้าฉับพลัน [เฉียวเหม่ยเหริน นี่คุณจะรับเขาเป็นลูกศิษย์งั้นเหรอ]
“เปล่า” กู้ซีเฉียวไม่ได้อธิบายต่อ
“คนอย่างฉันยังต้องเรียนต่อสู้อีกเหรอ” เหยาจยามู่เลิกคิ้ว เห็นได้ชัดว่าคำถามนั้นเกินความคาดหมายของเขาไปมาก “ฉันจะบอกอะไรให้นะ ตั้งแต่เล็กจนโต ฉันยังไม่เคยดวลแพ้เลยสักครั้ง”
กู้ซีเฉียวมองไปที่บาดแผลที่หลังของชายหนุ่มพลางกล่าว “ก็ดูออกแหละ”
เหยาจยามู่ “…นี่มันก็แค่อุบัติเหตุ”
ทั้งคู่ไม่ได้สนทนาเรื่องนั้นต่อ กู้ซีเฉียวเพียงแต่วางแผนในใจ
เสิ่นเนี่ยนจือหาจังหวะเข้ามาคุยกับกู้ซีเฉียว เธอมองมาที่กู้ซีเฉียว เพราะความตื่นเต้นทำให้เสียงของเธอสั่น ทว่าเธอไม่ได้ใส่ใจ จิตสำนึกทำให้หญิงสาวเอ่ยเสียงเบา “คุณกู้ ภาพวาดของคุณได้เข้าไปแสดงที่นิทรรศการภาพวาดแห่งชาติแล้ว คุณซือหม่าพยายามจะติดต่อคุณผ่านทางผู้อำนวยการสถาบันวิจิตรศิลป์เพื่อให้คุณยอมเข้าร่วมกับพวกเขา!”
ในแวดวงศิลปะใครต่างก็รู้จักซือหม่าจวิน เพราะเขาเหมาะจะเป็นยอดบุคคลแห่งวงการศิลปะ มู่อวิ๋นฟานซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเขาได้รับขนานามว่าเป็นยอดอัจฉริยะภาพวาดสีน้ำที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ ความสามารถของเขาไม่มีผู้ใดเทียบได้
มู่อวิ๋นฟานได้รับรางวัลระดับนานาชาติมากมายนับไม่ถ้วน แม้ตอนที่เขาอายุสิบขวบ ความสามารถของเขาจะยังสู้ระดับนานาชาติไม่ได้ แต่ทว่าตอนนี้เขาพัฒนาไปไกลมากแล้ว และได้กลายมาเป็นตำนานให้คนเล่าขาน เพียงแต่เขามีนิสัยเป็นเอกลักษณ์สักหน่อย เขาเป็นพวกไม่ชอบสุงสิงกับใคร แต่เชื่อฟังสิ่งที่ซือหม่าจวินพูด นอกจากนี้เขายังมีอารมณ์ที่แปรปรวนด้วย
แม้จะเป็นเช่นนี้แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อตำแหน่งที่ผู้คนยกย่อง
เขาเป็นคนจีนคนแรกที่เอาชนะศิลปินต่างชาติ และด้วยสาเหตุนี้เขาจึงกลายเป็นคนดังระดับประเทศ
ส่วนคนธรรมดาที่อยู่ในสถาบันวิจิตรศิลป์อย่างเสิ่นเนี่ยนจือทำได้เพียงมองซือหม่าจวินและมู่อวิ๋นฟานด้วยสายตาชื่นชม หากเธอยากจะพบพวกเขา เธออาจจะต้องใช้ความพยายามเป็นสิบปีกว่าจะได้มีโอกาสขึ้นไปยืนบนเวทีเดียวกับพวกเขา ซึ่งก็ไม่อาจทราบได้ว่าอีกสิบปีให้หลังมู่อวิ๋นฟานจะพัฒนาขึ้นไปถึงจุดไหน
ด้วยสาเหตุนี้ การได้รับโทรศัพท์จากซือหม่าจวินจึงทำให้สถาบันวิจิตรศิลป์ตกอยู่ในความโกลาหล เดิมทีคนในสถาบันได้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการวาดภาพแบบจีน แต่พวกเขาก็ยกให้มู่อวิ๋นฟานเป็นไอดอล ฉะนั้นจึงมีคนหันไปเรียนภาพวาดสีน้ำมันเพิ่มขึ้น และเพราะสายโทรศัพท์นั้น ทำให้ความสนใจต่อภาพวาดจีนเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
ครั้นกล่าวจบ เสิ่นเนี่ยนจือก็มองไปที่กู้ซีเฉียว เฝ้ารอด้วยความตื่นเต้น
ทว่ากู้ซีเฉียวกลับไม่มีอาการตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย เธอนิ่งไปชั่วครู่แล้วจึงเริ่มคิดถึงซือหม่าจวิน ในชาติที่แล้วหากเอ่ยถึงซือหม่าจวิน เขานับว่าเป็นคนคุ้นเคย เพราะว่าซือหม่าจวินในชาติที่แล้วคืออาจารย์ของกู้ซีจิ่น
เมื่อคิดถึงกู้ซีจิ่น อารมณ์ของเธอก็เริ่มขุ่นมัว เธอกดบริเวณขมับก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้เสิ่นเนี่ยนจือ “ภาพนั้นถือซะว่าฉันยกให้ แค่เธอไม่เอาเรื่องนี้ไปพูดกับใครก็ขอบคุณมากแล้ว”
เสิ่นเนี่ยนจือตะลึงเป็นครั้งที่สอง เธอพยายามคาดเดาความน่าจะเป็นไว้มากมาย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่ตรงกับความคิดของเธอเลยสักข้อเดียว
นี่เธอกำลังปฏิเสธงั้นเหรอ
นี่เธอกำลังปฏิเสธซือหม่าจวินงั้นเหรอ
เธอรู้หรือเปล่าว่าชื่อซือหม่าจวินมันหมายถึงอะไร
ตราบใดที่อยู่ภายใต้ชื่อของซือหม่าจวิน ความเหนื่อยก็น้อยลงไปกว่าครึ่ง เธอจะได้ทั้งเกียรติและชื่อเสียงมากองอยู่ตรงหน้า!
เธอไม่รู้จริงๆ หรือว่าเธอไม่สนใจ
“นี่เธอ…จริงเหรอ” เสิ่นเนี่ยนจือยังคงไม่ได้สติ
ทันใดนั้นมีเข็มทองปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของกู้ซีเฉียว เธอชูมันต่อหน้าเสิ่นเนี่ยนจือ แววตาสดใสโค้งได้องศา “ความฝันของฉันคือการได้เป็นหมอ ฉะนั้นเธอต้องช่วยฉันเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ”
ความสามารถในการวาดรูปออกจะสูงส่งปานนั้นแล้วจะไปเรียนหมอเนี่ยนะ!
เสิ่นเนี่ยนจือพยักหน้าด้วยอาการงุนงง ตอนนี้สมองของเธอสั่นไหวไม่เป็นส่ำ
กว่าเธอจะได้สติ กู้ซีเฉียวก็หันไปคุยกับเหยาจยามู่แล้ว
นี่มันเรื่องอะไรกัน บนโลกนี้มีคนแบบนี้ด้วยรึ!
เสิ่นเนี่ยนจือทึ้งหัวตัวเอง คนที่มีพรสวรรค์ขนาดนี้กลับไม่วาดรูป แต่จะไปแย่งทางทำมาหากินของคนเรียนสายวิทย์อย่างงั้นเหรอ!