โฮสต์สาวพลิกอดีตกับระบบสุดเทพ – ตอนที่ 92 การเผชิญหน้า

โฮสต์สาวพลิกอดีตกับระบบสุดเทพ

ตอนที่ 92 การเผชิญหน้า

เมื่อถึงเวลา กู้ซีเฉียวก็มา ในขณะนั้นแขกมากันครบแล้ว ขาดก็แต่เจ้าภาพ

ด้วยสถานะของเจียงซูเสวียน เขาไม่ใช่คนที่จะมาปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางคนหมู่มาก ตระกูลอินเองก็ไม่กล้าให้เขาออกมาต้อนรับแขก ฉะนั้นแล้วเจียงซูเสวียนจึงเข้ามาในงานพร้อมกู้ซีเฉียว

ร่างหนึ่งสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงขายาวสีดำ อากัปกิริยาสำรวม ทรงสง่าภูมิฐาน เย็นเยือกประหนึ่งน้ำแข็ง ส่วนอีกร่างหนึ่งสวมชุดกระโปรงยาวสีอ่อน คนที่หันไปเป็นเธอแทบหยุดหายใจ คิ้วและดวงตาโค้งสวยดุจบรรจงวาด งดงามเกินบรรยาย

ทั้งคู่ดูแตกต่างกันสิ้นเชิง ไม่อาจบอกว่าเข้ากัน แต่ครั้นยืนคู่กันแล้วกลับกลมกลืนราวกับม้วนภาพที่ถูกคลี่กางออกมา เหมือนว่าเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่แรก

ในชั่วอึดใจนั้น สายตาทุกคู่ในห้องโถงถูกสะกดนิ่งไม่เคลื่อนไหว อณูความเงียบงันลอยล่อง

เจียงซูเสวียนไม่ใช่คนธรรมดา ขณะที่อยู่ที่เมืองหลวง เขาแทบไม่ออกมาปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน ดังนั้นตระกูลอินจึงไม่อาจปล่อยให้เจียงซูเสวียนเป็นคนดูแลงานนี้ ตระกูลอินมีอิทธิพลมากที่สุดในเมืองเอ็น ดังนั้นพวกเขาจะไม่ยอมปล่อยให้มีเรื่องวุ่นๆ เกิดขึ้นในที่ของพวกเขาอย่างแน่นอน

“พี่เจียง พี่ขึ้นไปอยู่ข้างบนดีไหม” อินเซ่าหยวนวิ่งไปหาเจียงซูเสวียนภายใต้สถานการณ์กดดัน “พี่เล่นยืนอยู่ตรงนี้ คนอื่นๆ เขาจะกล้าสังสรรค์ได้ยังไง…”

เขากวาดตามองไปรอบๆ ทุกคนก้มศีรษะต่ำ ไม่มีเสียงพูดเล็ดลอดเข้าหู ทุกความเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างระแวดระวัง ไม่เหมือนเป็นงานเลี้ยงรื่นเริงเลยสักนิด แม้คนเหล่านั้นจะไม่รู้ว่าเจียงซูเสวียนเป็นใคร แต่ที่น่าแปลกคือพวกเขารู้สึกกลัวคนๆ นี้ หากเจียงซูเสวียนยังยืนอยู่ตรงนี้ พวกเขาจะสังสรรค์ต่อได้อย่างไร

เจียงซูเสวียนมองกู้ซีเฉียวที่ยืนห่างออกไปไม่ไกล คิ้วงามเลิกขึ้น ริมฝีปากบางเม้มลง “หมายถึงตอนนี้น่ะเหรอ”

“ก็ใช่น่ะสิ แค่ตอนนี้แรงกดดันของคุณพี่ก็กระจายไปทั่วแล้ว” อินเซ่าหยวนลูบจมูก “ฉะนั้น เพื่อให้งานเลี้ยงยังดำเนินไปได้โดยปกติสุข พี่ควร…ออกไปจากตรงนี้”

สิ้นคำ สายตาของเจียงซูเสวียนก็หันมาหยุดอยู่ที่ร่างอินเซ่าหยวน นัยน์ตาดำขลับมองราวกับทะลุร่างคนตรงหน้าได้อย่างไรอย่างนั้น

อินเซ่าหยวนตัวสั่นสะท้าน โชคดีที่อีกฝ่ายมองไม่เพียงไม่นานก็เดินขึ้นไปที่ชั้นบน เพราะหากเจียงซูเสวียนไม่ไป เขาจะทำอะไรได้

เมื่อเขาออกไปแล้ว บรรยากาศในโถงรับรองก็ผ่อนคลายลงประหนึ่งว่าได้เปิดประตูระบายอากาศอุดอู้ งานเลี้ยงกลับมาครึกครื้นอีกครั้ง

เมื่อกล่าวถึง ‘พิธีเคารพพ่อแม่บุญธรรม‘ มีธรรมเนียมปฏิบัติคืองานเลี้ยงจะถูกจัดขึ้นที่บ้านของพ่อแม่เด็ก จะต้องมีการเตรียมของขวัญเพื่อมอบให้แก่พ่อแม่บุญธรรม แต่เนื่องด้วยเหตุผลบางประการ ทำให้งานเลี้ยงคราวนี้ต้องจัดขึ้นที่ตระกูลอิน ทั้งนี้ยังแสดงให้เห็นว่าตระกูลอินในความสำคัญกับกู้ซีเฉียวมากเพียงใด นอกจากนี้ถังเยี่ยนหลิงยังเตรียมชามข้าวทองคำ ตะเกียบทองคำ และแม่กุญแจอายุยืนไว้ให้กู้ซีเฉียวเพื่อความเป็นสิริมงคล แม่กุญแจนี้เป็นแม่กุญแจคุ้มภัยที่เธอไปขอมาจากวัดฮู่กั๋วด้วยตัวเอง

ทั้งสองฝั่งประตูเต็มไปด้วยของขวัญกองโต ซึ่งไม่ใช่ของขวัญธรรมดาทั่วไป มีหลายชิ้นเป็นของขวัญที่ตระกูลต่างๆ ร่วมกันทำขึ้นเพื่อกู้ซีเฉียวโดยเฉพาะ

ของขวัญเหล่านั้นมากมายเสียจนแขกที่เดินผ่านไปมาต้องหยุดชะงักยืนมองครู่หนึ่ง พวกเขาไม่ทราบว่าทำไมตระกูลชั้นสูงเหล่านี้ถึงได้มีท่าทีเช่นนี้ แต่ที่มั่นใจได้คือทั้งหมดไม่ใช่เพื่อตระกูลอิน แต่เพื่อกู้ซีเฉียว

สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือ แม้แต่อินกั๋วฝูที่ไม่นิยมออกงานสังคมกลับมองกู้ซีเฉียวด้วยสายตาอ่อนโยน คนรอบข้างพอจะเดาได้ว่าชายชราคนนี้คงถูกใจกู้ซีเฉียวอย่างแน่นอน

เมื่อแขกเห็นดังนี้ สายตาที่มองไปที่กู้ซีเฉียวจึงเปลี่ยนไป แม้ว่าเธอจะเป็นเพียงลูกบุญธรรมของตระกูลอิน แต่เธอก็เป็นที่โปรดปราน เห็นทีบุตรสาวหมายเลขหนึ่งแห่งเมืองเอ็นคงต้องเปลี่ยนคนเสียแล้ว แม้สตรีที่มีชื่อเสียงคนอื่นๆ จะอิจฉา แต่ทว่าไม่มีใครกล้าทำอะไร สิ่งที่พวกเธอแสดงออกมีเพียงใบหน้าแสดงความยินดีเท่านั้น

ถังเยี่ยนหลิงจูงกู้ซีเฉียวเดินไปหากลุ่มสตรีชั้นสูง กู้ซีเฉียวเป็นจุดสนใจของคนรอบข้าง คนที่พยายามเข้าหาเธอมีทั้งหวังดีและประสงค์ร้าย แต่เธอก็วางตัวได้อย่างเหมาะสม ไม่เหมือนคนที่เข้างานสังคมครั้งแรกเลยสักนิด ถังเยี่ยนหลิงจึงวางใจให้เธอสนทนากับคนเหล่านั้นตามลำพัง

“ระบบ ฉันอยากออกไปจากตรงนี้” ไม่ว่าทักษะของกู้ซีเฉียวจะแกร่งกล้าแค่ไหน เธอก็ไม่อาจทนอยู่ท่ามกลางมารยาทจอมปลอมได้นาน ทั้งที่ดูไม่ได้อยากหัวเราะแต่ใบหน้ากลับเจือด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง หรือบ้างก็พูดสามภาษาในหนึ่งประโยค เธออยากจะซบหน้าร่ำไห้ คิดแล้วก็ปวดหัว

ระบบในพื้นที่เสมือนจริงหยุดมือที่กำลังเล่นเกม จอภาพเกมลอยล่องอยู่ในห้วงอากาศ บนหัวของตัวละครในเกมปรากฏตัวอักษรสีทองว่า ‘อีกู้เชียนเหนียน’ บอสสูงสุดล้มลงในชั่วพริบตาระบบหัวเราะชอบใจก่อนจะตระหนักได้ว่ากู้ซีเฉียวกำลังพูดกับมัน [เอาอย่างนี้…ฉันเสกให้คุณหายวับไปเลยดีไหม]

“คงมีแค่ระบบเท่านั้นแหละที่จะพูดอะไรแบบนี้ จะให้หายวับไปต่อหน้าต่อตาคนขนาดนี้ เธอบ้าไปแล้วเหรอ”

[ไม่คิดว่ามันออกจะคูลเหรอ]

“ถ้าต้องคูลแบบนั้น ฉันขอเลือกชีวิตดีกว่า”

[…]

สุดท้ายเป็นเซียวอวิ๋นและอู่หงเหวินที่เข้ามาช่วยชีวิตเธอไว้ ทั้งคู่ติดตามครอบครัวมาที่งานเลี้ยง แต่เพราะเห็นว่ากู้ซีเฉียวกำลังยุ่งจึงไม่ได้เข้ามาทัก อีกทั้งครอบครัวของทั้งคู่ก็พาไปแนะนำให้รู้จักกับคู่ค้าทางธุรกิจ เมื่อเห็นว่าสบโอกาสจึงเข้ามาหา

คนที่ยืนล้อมวงค่อยๆ หายไปในที่สุด กู้ซีเฉียวถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“ฉันมาพร้อมพี่ชายที่ตอนนี้กำลังคุยกับพวกลุงๆ อยู่ น่าเบื่อเป็นบ้า” เซียวอวิ๋นเริ่มบ่น

อู่หงเหวินเกาหัว “เอาเถอะน่า พี่ชายดูแลเธอดีขนาดที่ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมแล้วเธอจะเบื่ออะไรหนักหนา”

เซียวอวิ๋นแทบสำลักอากาศตาย เธอจ้องอู่หงเหวินตาเขม็ง แต่ไม่ได้พูดอะไรกับเขา หญิงสาวก้มหน้า ท่าทางเคร่งขรึม “ฉันไม่ได้รู้จักตระกูลอินขนาดนั้นหรอกนะ แต่พอเห็นคุณผู้หญิงอินดีกับเธอ ฉันก็วางใจ”

กู้ซีเฉียวทราบดีว่าทั้งคู่ไม่ชอบมางานเลี้ยงประเภทนี้ แต่ทั้งคู่ก็มาเพื่อเธอ “เรื่องนี้ไว้มีเวลาฉันจะอธิบายให้พวกเธอฟังที่หลัง แต่ตอนนี้ฉันต้องไปล้างมือก่อน”

เมื่อเห็นเธอเดินไป หญิงสาวในชุดเดรสสีเพลิงก็วางแก้วไวน์ในมือ ยกยิ้มมุมปากแล้วเดินตามไป

ในห้องน้ำ กู้ซีเฉียวรองน้ำขึ้นมาล้างหน้า เธอมองเงาตัวเองในกระจก หลังของเธอยืดตรง

[เฉียวเหม่ยเหริน คนที่กำลังเดินมาไม่ประสงค์ดี หล่อนเป็นคนจากโลกวิทยายุทธ์โบราณ ฝึกตนไปถึงขั้นเกลากระดูกแล้ว จากที่เห็นบนโลกของคุณมีอัจฉริยะอยู่หลายคน แต่ว่าหล่อนเก่งสู้คุณไม่ได้]

เมื่อได้ยินที่ระบบกล่าว รูม่านตาของกู้ซีเฉียวก็หดลงเล็กน้อย เธอดึงกระดาษออกมาเช็ดนิ้วทีละนิ้วจนแห้ง

มู่หรงเมี่ยวเสวี่ยกอดอก แววตาพินิจพิเคราะห์มองสำรวจคนตรงหน้า

เธอยืนพิงอ่างล้างหน้า ชุดกระโปรงสีอ่อนทำให้กู้ซีเฉียวยิ่งดูอ่อนเยาว์ ผิวพรรณของเธอเปล่งปลั่งราวหิมะ นัยน์ตาสีดำประกายสดใส เมื่อมองอย่างถี่ถ้วนแล้ว แววตางามคู่นั้นกลับมีกลิ่นอายบางอย่างซ่อนอยู่ แต่สิ่งที่สามารถยืนยันได้ในขณะนี้คือ…

ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน เธอก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ขนในร่างกายยังขึ้นไม่เต็มที่ด้วยซ้ำ

“กู้ซีเฉียวสินะ” มู่หรงเมี่ยวเสวี่ยขยับริมฝีปากสีแดงเล็กน้อย “ไม่ต้องตกใจไปสาวน้อย ฉันไม่ได้จะทำอะไรเธอ ฉันไม่ใช่พวกชอบรังแกคนอื่น ที่มาวันนี้ก็แค่ตั้งใจจะมาคุยกับเธอนิดหน่อย”

“เชิญค่ะ” กู้ซีเฉียวแย้มยิ้มเล็กน้อย โยนกระดาษทิชชูทิ้งลงถัง “ฉันกำลังฟังอยู่ค่ะ”

ไม่นึกมาก่อนว่าเธอจะสงบนิ่งขนาดนี้ มู่หรงเมี่ยวเสวี่ยรู้สึกประหลาดใจ

“ฉันรู้มาว่าสองเดือนมานี้เธออยู่กับเจียงซูเสวียน แต่ก็ผ่านมาตั้งสองเดือนแล้ว ว่าแต่เธอรู้หรือเปล่าว่าเขาเป็นใคร” มู่หรงเมี่ยวเสวี่ยเว้นวรรค เธอเฝ้าสังเกตสีหน้าของกู้ซีเฉียว “คิดๆ ดูแล้ว เขาคงไม่ได้บอกเธอใช่ไหม แต่เรื่องนี้เธอจะโทษเขาก็คงไม่ได้ เพราะว่าตระกูลของพวกเราออกจะลึกลับเสียหน่อย น้อยคนนักที่จะรู้ แต่ว่าฉันรู้สึกถูกใจเธอ ถึงได้มาเตือนด้วยความหวังดี พวกเรามันคนละโลกกัน หมายถึงความสามารถของเรามันคนละชั้นกัน เธอน่ะ…จะเรียกว่าอยู่ต่ำสุดก็ได้ ถึงฉันไม่พูดก็คาดว่าเธอคงรับรู้ได้ใช่รึเปล่า”

กู้ซีเฉียวทบทวนสิ่งที่มู่หรงเมี่ยวเสวี่ยพูด เธอไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะสื่อ แต่หากมู่หรงเมี่ยวเสวี่ยคิดว่าถ้อยคำเหล่านี้จะทิ่มแทงให้กู้ซีเฉียวรู้สึกเจ็บปวดได้ เธอคิดผิดแล้ว

เธอพยักหน้าให้อีกฝ่ายพลางกล่าว “ขอบคุณที่เตือนค่ะ”

เธอตอบกระชับ มู่หรงเมี่ยวเสวี่ยหรี่ตาก่อนจะตวัดมือ

กู้ซีเฉียวรับรู้ได้ถึงพลังงานที่วาดผ่านใบหน้าของเธอ เปรี๊ยะ กระจกตรงอ่างล้างหน้าค่อยๆ ร้าวเป็นทาง ก่อนจะแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

“เห็นแล้วใช่ไหมว่า เธอกับฉันมันต่างกัน” มู่หรงเมี่ยวเสวี่ยมองหน้ากู้ซีเฉียวด้วยแววตาเหนือกว่า “เจียงซูเสวียนเป็นความหวังของตระกูลลึกลับ คนที่มีใจให้เขา ไม่ได้มีแค่ฉัน ยังมีปีศาจอีกตัวที่ขนาดฉันเองยังยากจะรับมือ ฉะนั้น หากเทียบกับพวกฉัน เธอคิดว่าตัวเองจะมีโอกาสกี่เปอร์เซ็นต์ เธออย่ารอให้ตัวเองต้องไปตายที่เมืองหลวงเลย เพราะถึงยังไงเจียงซูเสวียนก็ไม่สามารถมาช่วยชีวิตเธอได้ทันทุกครั้งหรอกนะ”

[เฉียวเหม่ยเหริน สู้มัน!] ระบบที่โกรธขึ้งส่งเสียงลั่น [ก็แค่ขั้นเกลากระดูก แก่เรียนกว่าคุณแค่ไม่เท่าไหร่ ทำไมหนังหน้าถึงได้หนานัก ถ้าวิเศษนักทำไมไม่เอาตัวเองไปสู้กับเจียงซูเสวียนเล่า]

เธอใช้พลังจากธรรมชาติสร้างแผนผังแปดทิศ ค่ายกลนั้นซับซ้อน ยากที่จะหาทางออก คนที่ติดอยู่ในนั้นจะถูกควบคุมโดยสมบูรณ์ เมื่อมู่หรงเมี่ยวเสวี่ยคิดได้ว่าเมื่อครู่เธอพูดจาข่มขู่เช่นนั้น เธอก็รู้สึกละอายใจ

กู้ซีเฉียวตวัดมือทำลายค่ายกล เธอมองมู่หรงเมี่ยวเสวี่ยแวบหนึ่ง ทว่าคราวนี้เธอไม่ได้กล่าวคำใด เพียงแต่เดินอ้อมผู้หญิงตรงหน้าไปเฉยๆ

ส่วนมู่หรงเมี่ยวเสวี่ยก็ยังคงยืนอึ้งอยู่ที่เก่า เธอไม่ได้เดินเข้ามาขวางทาง ด้านหลังของร่างนั้นผอมบางมาก จากมุมนี้เธอไม่น่าจะมีพลังล้ำลึกปานนั้น

มู่หรงเมี่ยวเสวี่ยอึ้งลืมตอบสนองไปชั่วขณะ เธออายุแค่นี้ แต่ฝึกตนไปถึงขั้นนั้นแล้วเหรอ หรือว่ามี ‘เจียงซูเสวียน’ อีกคนมาจุติบนโลก? ฉะนั้นเธอก็คงสู้ปีศาจน้อยตนนั้นได้ใช่รึเปล่า แต่ทำไมเธอถึงไม่เคยได้ยินชื่อของอีกฝ่ายมาก่อนเลย สรุปแล้วเธอเป็นใครกันแน่

หรือว่าเป็นทายาทของผู้วิเศษคนไหน มู่หรงเมี่ยวเสวี่ยทำได้เพียงคิดไปต่างๆ นานา เพราะไม่มีใครสามารถให้คำตอบเธอได้

โฮสต์สาวพลิกอดีตกับระบบสุดเทพ

โฮสต์สาวพลิกอดีตกับระบบสุดเทพ

Status: Ongoing
ชาติก่อนเธอเผาตัวตายเพราะถูกทรยศ ชาตินี้เธอย้อนกลับมาเพื่อเขียนอดีตของตนใหม่อีกครั้ง! นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีที่นางเอกมีระบบสุดเทพที่ทำได้ทุกอย่าง!กู้ซีเฉียว ลูกนอกสมรสไร้ค่าจากบ้านนอก ส่วนเกินในสายตาของคนในตระกูลจวบจนวาระสุดท้ายเธอก็ยังเป็นเช่นนั้น ไร้ซึ่งศักดิ์ศรีใดๆแต่ชาตินี้เธอจะเขียนอนาคตของตนขึ้นใหม่จะไม่มีเด็กสาวน่าสมเพชไร้ความสามารถคนเดิมอีกต่อไป มีเพียงหญิงสาวผู้เป็นอัจฉริยะรอบด้าน!เพราะสิ่งที่เธอนำกลับมาด้วยหลังความตายไม่ใช่เพียงพรสวรรค์ดั้งเดิมแต่เป็น ‘ระบบ’ สุดโกงที่จะช่วยแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้เพียงแลกแต้มคะแนนสะสม!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท