โฮสต์สาวพลิกอดีตกับระบบสุดเทพ – ตอนที่ 93 ความลับที่ซ่อนอยู่

โฮสต์สาวพลิกอดีตกับระบบสุดเทพ

ตอนที่ 93 ความลับที่ซ่อนอยู่

ในโถงรับรอง อู่หงเหวินและเซียวอวิ๋นยืนอยู่ตรงมุม ทั้งคู่เฝ้าสังเกตการณ์รอบๆ ทว่าไม่ได้ความคืบหน้าใดๆ มีบางคนที่เห็นทั้งคู่ดูสนิทสนมกับกู้ซีเฉียวจึงพยายามเข้ามาชวนสนทนาด้วย แต่ถูกอู่หงเหวินตอกกลับไปทุกราย

“น้องชาย ทำไมนายถึงมาอยู่ตรงนี้ ฉันหานายตั้งนาน” ขณะที่ทั้งสองกำลังยืนคุยกัน ชายหนุ่มอีกคนก็เดินถือแก้วไวน์ตรงมาพลางส่งยิ้มอ่อนโยน ครั้นหันไปเห็นเซียวอวิ๋น แววตาของเขาก็เป็นประกาย “คนสวยคนนี้รู้จักกับลูกพี่ลูกน้องของผมอย่างนั้นเหรอ”

“นายมาทำไม” เมื่อเห็นผู้มาเยือน รอยยิ้มบนใบหน้าอู่หงเหวินพลันหายวับไปในชั่วพริบตา

ชายหนุ่มคนนั้นไม่สนใจท่าทีของอู่หงเหวินเลยสักนิด “น้องชาย อย่าเพิ่งใจร้อน จะว่าไปแล้วการที่นายได้มาที่นี่ก็เพราะฉัน ไม่งั้นนายคงไม่มีโอกาสได้เห็นแม้แต่ประตูใหญ่คฤหาสน์ตระกูลอิน”

“นี่มันเรื่องอะไร” เซียวอวิ๋นหลงคิดว่าตัวเองฟังผิดไป การที่บอกว่าเขาเป็นสาเหตุให้อู่หงเหวินได้มาที่คฤหาสน์ตระกูลอิน หน้าเขาใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ ไม่ใช่ว่าตระกูลอินเป็นคนส่งการ์ดเชิญไปเชิญหรอกเหรอพวกเขาถึงมาได้

“อย่าไปสนใจเขาเลย คนมันเพี้ยน” อู่หงเหวินผุดหัวเราะ

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของชายหนุ่มพลันหม่นลง เขาเป็นแฟนกับอินเฟยเฟย ก่อนหน้านี้แฟนสาวของเขาให้คำมั่นสัญญาว่าพวกเขาจะได้การ์ดเชิญจากตระกูลอิน ในตอนแรกเขาแทบจะไม่มีหวัง เนื่องจากธุรกิจสีขาวและธุรกิจสีเทาไม่อาจอยู่ร่วมกัน ยิ่งตระกูลอินเป็นประตูสู่เมืองเอ็นแล้วเขาจะเชิญตระกูลที่ทำธุรกิจสีเทามาร่วมงานเลี้ยงที่บ้านได้อย่างไร

จนกระทั่งการ์ดเชิญมาถึงมือหัวหน้าตระกูลอู่ เขาถึงได้เชื่อและด้วยสาเหตุเดียวกันนี้ สถานะของเขาถึงได้สูงกว่าเมื่อก่อนมาก

“อู่หงเหวิน!” ชายหนุ่มปั้นหน้าขึงขัง วินาทีที่กำลังจะอ้าปากพูด ทั้งคู่กลับเดินหายไป

อินเฟยเฟยเคยเอารูปอินเซ่าหยวนให้เขาดูครั้งหนึ่ง แม้จะเป็นรูปที่แอบถ่ายแต่เขาก็จำได้ขึ้นใจ คนที่กำลังเดินตรงมาทางนี้คือคนที่ยากจะพบได้ยามปกติ อินเซ่าหยวนแห่งเมืองเอ็น

เขารีบจัดชุดให้เข้าที่ ตอนนี้เขาเชื่อที่อินเฟยเฟยบอกแล้วว่าเธอกับอินเซ่าหยวนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

น้อยมากที่อินเซ่าหยวนจะออกมาปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน ใบหน้าหล่อเหลา รอยยิ้มชั่วร้าย ดวงตาทรงดอกท้อเปี่ยมเสน่ห์เหลือล้น บรรดาสาวๆ ยืนหน้าแดงระเรื่อ ทว่าไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้ พวกเธอเพียงแต่หลีกทางให้ชายหนุ่มเดินผ่านไปโดยที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างของเขา

เขาเมินมือของชายหนุ่มอีกคนที่ยื่นออกมาและหันไปกอดคออู่หงเหวินพลางเลิกคิ้ว “ทำไมอยู่กันสองคน เอ้อร์เฉียวไปไหน”

“ไปล้างมือ เดี๋ยวก็คงกลับมา” อู่หงเหวินพยายามจะแกะมือเขาออก ทว่าไม่สำเร็จ “นี่จะรัดคอให้ตายเลยเหรอ ไม่รักษาภาพพจน์หน่อยรึยังไง”

“เธอเดินไปคนเดียวเหรอ” อินเซ่าหยวนยืดตัวพร้อมแสงวับวาบผ่านนัยน์ตา “แน่ใจนะ”

อู่หงเหวินแกะมือของเขาออกสำเร็จ “ใช่สิ แน่ใจ”

“เอาเถอะ เชิญพวกนายสนุกกันไปก่อน เดี๋ยวฉันกลับมา” ไม่ทราบว่าอินเซ่าหยวนกำลังคิดอะไร เขาพูดเพียงไม่กี่ประโยคก็เดินหายไป ท่าทางของเขาดูร้อนรนอย่างไรชอบกล

ในขณะเดียวกันนั้น อู่หงเหวินและเซียวอวิ๋นก็ได้รับข้อความพร้อมๆ กัน ทั้งคู่หันมาสบตากันก่อนจะลบข้อความนั้นโดยมิได้นัดหมาย

ส่วนชายหนุ่มที่ถูกเมินเมื่อครู่จ้องอู่หงเหวินตาเขม็ง เขายืนหน้าซีดอยู่ตรงนั้นเพียงไม่นานก็เดินจากไป

อู่หงเหวินออกไปจากตรงนั้นพร้อมผู้เป็นพ่ออย่างเงียบๆ เมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากบริเวณคฤหาสน์ตระกูลอิน อู่เฟยหยางถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “ไอ้เจ้าลูกคนนี้ แกรู้จักกับคุณชายอินก็ไม่บอกฉันสักคำ เมื่อกี้ตอนผู้นำตระกูลอินเรียกหาฉัน ฉันยังตกใจแทบแย่ ตอนแรกฉันคิดว่าเขาจะมาจับฉัน!”

เมื่อทำธุรกิจผิดกฎหมายและมีคนที่มีอำนาจในกองทัพมาหาเขา เขาจึงคิดได้เพียงอย่างเดียวว่า หรือว่ามีคนรู้เรื่องที่เขาร่วมมือกับธุรกิจสีเทาอีกเจ้าเข้า

“บอกพ่อไปแล้วจะได้อะไร” อู่หงเหวินบุ้ยปาก “อีกอย่างผมก็ไม่ได้สนิทกับอินเซ่าหยวน แต่สนิทกับเอ้อร์เฉียว เข้าใจรึเปล่า”

“มันก็เหมือนกันนั่นแหละ” อู่เฟยหยางโบกมือ “แล้วทำไมตอนที่พี่แกพูด แกถึงไม่เสนอหน้า ปล่อยให้เขาได้หน้าไปแบบนั้น เดี๋ยวดูนะต่อไปเขาก็จะมีสิทธิ์มีเสียงในวงศ์ตระกูลมากกว่าแก”

“ผมอยากพึ่งความสามารถของตัวเอง ไม่ได้ต้องการให้ใครมาช่วย ของพวกนั้นเขาอยากได้ก็เอาไปเถอะ ผมไม่สนใจอยู่แล้ว” อู่หงเหวินกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “พ่อ ผมบอกพ่อแล้วไงว่าผมจะตั้งใจเรียน ที่บอกว่าจะดูแลตระกูลอู่ ผมไม่ได้ล้อเล่นนะ”

นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นลูกชายของเขาจริงจังขนาดนี้ อู่เฟยหยางชะงักไป เขาเพิ่งฉุกคิดได้ว่าวันนี้ลูกชายเดินตามหลังเขาเกือบตลอดเวลา ทั้งยังพยายามเรียนรู้งานจากผู้จัดการอย่างดี ดูอย่างไรก็ไม่ใช่การสร้างภาพ “เมื่อปีที่แล้วฉันให้แกมารับกิจการต่อ แต่แกเลือกจะทิ้งมันเอง แกหมดสิทธิ์ไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ตอนนี้แกต้องแย่งตำแหน่งนั้นมาด้วยตัวเอง แกจะยอมทำจริงๆ เหรอ”

“ผมรู้ แต่ผมจะไม่ยอมแพ้หรอก” อู่หงเหวินมองอู่เฟยหยาง ดวงตาดำขลับแน่วแน่เกินจะกล่าว

อู่เฟยหยางผุดยิ้มมุมปาก จากที่เห็นไม่สามารถบอกได้ว่ารู้สึกโล่งใจหรือไม่ “ดีมากไอ้ลูกชาย! พ่อจะสนับสนุนแกเต็มที่!”

อู่หงเหวินรู้สึกจั๊กจี้ ในขณะนั้นเองโทรศัพท์ในกระเป๋าก็ส่งเสียงร้อง เขาหยิบขึ้นมาดูพบว่าเป็นอินเซ่าหยวน เขาหันไปส่งสัญญาณให้ผู้เป็นพ่อเงียบเสียงก่อนจะรับสายนั้น

ณ คฤหาสน์ตระกูลอิน แขกเหรื่อเริ่มทยอยแยกย้ายกันกลับไปแล้ว บรรดาคนรับใช้กำลังสาละวนอยู่กับการเก็บกวาด ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความสุข บ้านหลังนี้ไม่ได้จัดงานเลี้ยงรื่นเริงเช่นนี้มานานมากแล้ว อีกหน่อยหากออกไปข้างนอกจะได้มีหน้าไปพูดได้ว่าพวกเขามีส่วนทำให้งานครั้งนี้เกิดขึ้น

แต่ทว่าใบหน้าของคนที่นั่งอยู่บนโซฟากลับย่ำแย่เสียอย่างนั้น

อินเซ่าหยวนวางโทรศัพท์ “ถามแล้ว อู่หงเหวินก็ไม่รู้ เดี๋ยวผมจะโทรฯไปถามเซียวอวิ๋น”

“ไม่ต้องแล้ว” แววตาของเจียงซูเสวียนปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง เขาผุดลุกขึ้น เม้มริมฝีปากบาง “มู่หรงเมี่ยวเสวี่ยทิ้งร่องรอยไว้ในห้องน้ำ เดี๋ยวฉันไปถามเอง”

อินเซ่าหยวนยังไม่ทันเอ่ยปากห้าม ชายหนุ่มก็เดินหายไปเสียแล้ว

หัวคิ้วขมวดเป็นปมแน่น ตอนแรกอินเซ่าหยวนไม่ได้บอกเรื่องมู่หรงเมี่ยวเสวี่ยกับเจียงซูเสวียน เพราะเขาคิดว่าต่อให้มู่หรงเมี่ยวเสวี่ยทำอะไรเกินเลย เจียงซูเสวียนก็คงปล่อยผ่านไปอยู่ดี แต่ตอนนี้เขาชักจะไม่แน่ใจแล้ว

เมื่อหวนคิดถึงกู้ซีจิ่นที่อยู่ที่ต่างประเทศ อินเซ่าหยวนก็เริ่มใจไม่ดี คนอื่นอาจไม่รู้ แต่เขารู้ดี วันแรกที่กู้ซีจิ่นก้าวขาออกจากประเทศ เธอถูกคนหักข้อมือจนใช้การไม่ได้ เห็นทีชีวิตนี้เธอคงไม่มีโอกาสได้จับพู่กันอีกแล้ว

นั่นเป็นฝีมือของเจียงซูเสวียน เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ และคาดว่าจนถึงตอนนี้คนตระกูลกู้ก็คงยังไม่ทราบเช่นกัน

“แม่ เดี๋ยวผมออกไปดูข้างนอกก่อนนะ” อินเซ่าหยวนหันไปกล่าวกับถังเยี่ยนหลิงประโยคหนึ่งก่อนจะคว้ากุญแจรถเดินออกไป

กู้ซีเฉียวไม่ได้หายไปไหนไกล เธอมาโผล่ที่ตรอกเล็กๆ ในละแวกโรงเรียนอีจง แต่คราวนี้ไม่ได้ง่ายเหมือนครั้งก่อนๆ เธอยังไม่เจอคนที่ต้องการตามหา แต่กลับถูกอันธพาลกลุ่มหนึ่งยืนล้อมไว้ ชายที่คาดว่าน่าจะเป็นหัวหน้าคาบบุหรี่ไว้ที่ปาก แววตาชั่วร้ายมองไปที่กู้ซีเฉียวอย่างพินิจพิเคราะห์

ระบบที่อยู่ในพื้นที่เสมือนจริงเงยหน้าขึ้น [เฉียวเหม่ยเหริน ฉันล่ะสงสารเจ้าคนพวกนี้จริงๆ]

กู้ซีเฉียวไม่ได้กล่าวคำใด เธอเงยหน้าแช่มช้า ยกยิ้มมุมปาก เธอเป็นคนสวย รอยยิ้มยิ่งทำให้ดูสะดุดตายิ่งขึ้น

ทั้งที่เป็นวันที่อากาศแจ่มใสกลางฤดูร้อน แต่คนกลุ่มนั้นกลับรู้สึกว่าจู่ๆ ภาพตรงหน้าก็ทึบทึมมัวซัว ประหนึ่งแสงอาทิตย์พลันดับสูญ

ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!

ในไม่กี่ชั่วอึดใจ กู้ซีเฉียวก็เดินไปยังท้ายซอย ด้านหลังของเธอมีร่างคนกลุ่มหนึ่งนอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้น เหยาจยามู่ที่ได้ทราบข่าวจากลูกน้องรุดมาถึงที่เกิดเหตุ

เหยาจยามู่ “…”

ใบหน้าบรรดาลูกสมุนที่วิ่งตามหลังมาชะงักค้างเป็นภาพนิ่ง ‘ลูกพี่แน่ใจนะว่าจอมยุทธ์หญิงคนนี้ต้องการความช่วยเหลือจากฮีโร่อย่างพี่น่ะ’

กู้ซีเฉียวเงยหน้า เห็นว่าเหยาจยามู่กำลังเดินตรงมา ท่าทางของเธอดูเบาสบายประหนึ่งลอยอยู่บนเมฆ ริมฝีปากสีอ่อนยกยิ้ม “ไปกันเถอะ”

ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ในลานบ้านหลังเก่าที่ยื่นออกมาจากซอย เหยาจยามู่เดินเข้าไปในครัวพักหนึ่งก่อนจะเดินออกมาพร้อมแก้วกระดาษ เขาใช้น้ำร้อนล้างหนึ่งครั้งแล้วจึงยกมา ชานี้เป็นชาที่พ่อของเขาซื้อมา ปกติแล้วเขาไม่กล้าเอามาชงดื่มเพราะเสียดาย แต่วันนี้เหมาะแก่เวลาที่จะนำมารับแขก

“ทำไมเธอถึงมานี่วันนี้ล่ะ” เหยาจยามู่มองกู้ซีเฉียวพลางจิบชาก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าเริงร่า

กู้ซีเฉียวมองน้ำชาใสในถ้วยด้วยสายตานิ่งเรียบก่อนจะเอ่ยปาก “เมื่อคราวก่อนฉันบอกแล้วว่าจะสอนนายต่อสู้”

สองสามวันที่ผ่านมาเธอใช้เวลาศึกษาเรื่องนี้กับระบบ ฝีมือของเหยาจยามู่ไม่ได้นับว่าขี้เหร่ หลังจากที่ระบบประมวลมาอย่างถี่ถ้วน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุด ระบบได้เลือกกระบวนท่าฝึกหัดชุดหนึ่งและยาล้างไขกระดูกให้เขา ซึ่งทั้งหมดนี้ได้มาจากการแลกคะแนนของกู้ซีเฉียว

“บันทึกหิ่งห้อยมายาเป็นตำราที่ฉันได้รับมาจาก…อาจารย์ของฉันเอง ฉันว่ามันค่อนข้างเหมาะกับนาย ส่วนตรงไหนที่ดูคลุมเครือ ฉันก็เขียนคำอธิบายกำกับไว้ให้แล้ว นายลองเอาไปฝึกดู แล้วก็ยาขวดนี้ ข้างในมียาสามเม็ด ใช้สำหรับล้างไขกระดูกของพวกนาย นายอายุมากแล้ว หากภายในร่างกายมีสิ่งเจือปนเยอะเกินไปจะทำให้ยากต่อการฝึก” กู้ซีเฉียวล้วงของออกมาจากกระเป๋ากระโปรงพลางอธิบาย

เหยาจยามู่ผู้มีใบหน้าจังงัง ‘กระเป๋ากระโปรงเล็กๆ แค่นั้นใส่อะไรได้เยอะขนาดนี้เลยเหรอ’

ความคิดของชายหนุ่มยังคงลอยล่องอยู่ในภวังค์ วิทยายุทธ์โบราณ? บันทึกหิ่งห้อยมายา? ยา? ล้างไขกระดูกไล่ลมปราณ? แม่เจ้า นี่ใช่หนังกำลังภายในรึเปล่า แต่ท่าทางของกู้ซีเฉียวดูจริงจัง ไม่น่าจะล้อเล่น งั้นนี่ก็เป็นเรื่องจริงงั้นเหรอ

“พวกนาย?” พักหนึ่งกว่าเหยาจยามู่จะเอ่ยปากพูด

“อือ ยังมีอีกสองคน คาดว่าอีกไม่กี่วันพวกเขาก็คงจะมาหานาย นายรออยู่ที่บ้านนี่แหละ” กู้ซีเฉียวลุกขึ้น “ฉันต้องไปแล้ว ช่วงนี้นายก็ลองศึกษาด้วยตัวเองไปก่อน แล้วอีกเดือนหนึ่งฉันจะกลับมา หนทางนี้ไม่ง่าย แต่ฉันหวังว่าสักวันหนึ่งพวกนายจะได้ก้าวเข้าไปอยู่ในโลกวิทยายุทธ์โบราณ”

แม้เจียงซูเสวียนและคนอื่นๆ ไม่เคยพูดเรื่องโลกวิทยายุทธ์โบราณต่อหน้ากู้ซีเฉียว แต่แค่มีระบบกู้ซีเฉียวก็สามารถเข้าใจโลกวิทยายุทธ์โบราณได้เกือบทั้งหมดแล้ว เธอให้โอกาสเหยาจยามู่ได้สัมผัสกับสิ่งนี้ และหวังว่าเขาจะก้าวขึ้นไปยังจุดที่เธอหวังไว้

แม้กู้ซีเฉียวจะกลับไปแล้ว แต่ท่าทางของเหยาจยามู่ยังคงคล้ายกลับคนที่กำลังนอนฝัน เขาหยิบตำราขาดๆ ขึ้นมา พิศมองด้วยแววตาเหม่อลอย จนกระทั่งตะวันตกดินแล้วยังคงมึนงงอยู่อย่างนั้น เขากลัวว่านี่จะเป็นเพียงความฝันที่พอลืมตาตื่น ทุกสิ่งจะกลับสู่ความว่างเปล่า

วิทยายุทธ์โบราณ วีรบุรุษ…นี่คือความปรารถนาที่ฝังอยู่ในส่วนลึกของใครหลายคน

ตอนนี้เขาได้รับโอกาสมาแล้ว เขาคิดอย่างซื่อๆ ว่าโอกาสครั้งนี้อาจเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล

อินเซ่าหยวนออกตามหากู้ซีเฉียว เขาใช้เวลาสองวันแล้วแต่ก็ยังหาไม่พบ เขาไปหามู่หรงเมี่ยวเสวี่ยที่กำลังเตรียมตัวไปสนามบิน

“จะไปวันนี้เหรอ” อินเซ่าหยวนมองเธอด้วยความฉงน

มู่หรงเมี่ยวเสวี่ยมองกลับมาที่ใบหน้าของอินเซ่าหยวน นัยน์ตาของชายหนุ่มคล้ายกับซ่อนกองเพลิงทั้งยังเจือไปด้วยความหมองหม่น ไร้ซึ่งความชื่นชมยินดี เขาในตอนนี้แตกต่างกับสุภาพบุรุษในอดีตลิบลับ เธอหัวเราะแผ่วเบา เสยผมยาวสลวย “อยากจะถามอะไรก็ถามมา อย่าคิดว่าฉันไม่รู้จุดประสงค์ที่นายมาหาฉัน เลิกเสแสร้งเถอะ”

อินเซ่าหยวนสูดลมหายใจยาว พยายามควบคุมอารมณ์ “ฉันอยากจะถามว่า เธอเป็นคนทำให้เฉียวเฉียวหายไปใช่รึเปล่า”

“เหอะ…” รอยยิ้มที่มุมปากของมู่หรงเมี่ยวเสวี่ยชะงักค้าง สายตาคมปลาบยังคงจดจ้องไปที่อินเซ่าหยวน ใบหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ทำไมฉันต้องบอกนายด้วย”

เธอลากกระเป๋าเดินตรงไปที่ประตูทางออกขึ้นเครื่องบิน มือที่จับกระเป๋าสั่นเล็กน้อย เมื่อคิดถึงสายตาเย็นชาคู่นั้น ความเจ็บปวดก็แผ่ซ่านเข้าไปถึงไขกระดูก ความเย็นยะเยือกล้นทะลักออกมาจากก้นบึ้งหัวใจอย่างไม่อาจหักห้าม จำต้องยอมรับว่าตอนแรกเธอรู้สึกปลาบปลื้มและชื่นชมคนๆ นั้น แต่ทว่าตอนนี้ความรู้สึกชื่นชมแปรเปลี่ยนเป็นความยำเกรงและหวาดกลัวเสียมากกว่า

ใบหน้าอ่อนเยาว์ น่าทะนุถนอมลอยล่องอยู่ในสมองของเธอ หญิงสาวที่ไม่ทราบที่มากลับลึกลับและแข็งแกร่ง แม้เธออาจจะดูไม่ต่างจากเจียงซูเสวียน แต่ว่า… มู่หรงเมี่ยวเสวี่ยชะงักฝีเท้า ถึงอย่างไรเธอก็ต้องไปที่เมืองหลวงใช่รึเปล่า หากเธอไปที่เมืองหลวง เธอก็จะได้รู้สักทีว่าเธอคนเดียวไม่อาจเอาชนะตระกูลใหญ่ทั้งสี่ได้

ยิ่งเป็นผู้หญิงจิตป่วยคนนั้นยิ่งแล้วใหญ่

มู่หรงเมี่ยวเสวี่ยเกิดแรงฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง กลับไปคราวนี้เธอจะไปขอรับหน้าที่ดูแลฐานของตระกูล

อินเซ่าหยวนยืนมองมู่หรงเมี่ยวเสวี่ยเดินจากไป เดิมทีเขาอยากจะรั้งตัวเธอไว้ แต่เมื่อก้าวเท้ากลับชนเข้ากับจอโปรงใสเบื้องหน้า ชายหนุ่มหัวใจร่วงตุบ “เวรเอ๊ย มาไม้นี้อีกแล้ว!”

ก่อนหน้านี้มู่หรงเมี่ยวเสวี่ยก็ใช้วิธีการเช่นนี้จัดการเขาที่คอยรังควาน อินเซ่าหยวนทราบดีว่าพี่สาวคนนี้เป็นคนประเภทเดียวกับเจียงซูเสวียน เธอมีพลังอำนาจที่คนทั่วไปไม่มี เธอสามารถสร้างเกราะกำบังตัดขาดจากโลกภายนอกได้ ก่อนหน้านี้เขาถูกขังอยู่ในพื้นที่นั่นหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม หากอยากออกไปเร็วกว่านั้นก็ต้องให้เจียงซูเสวียนมาช่วย

ทว่าหนนี้เกราะนั้นล้อมร่างของเขาเพียงชั่วครู่ เขาก็สามารถทะลุผ่านออกมาได้อย่างง่ายดาย

นี่มันอะไรกัน

เขามองไปที่ฝ่ามือของตัวเอง อินเซ่าหยวนอยู่ในอาการมึนงง เขาเห็นแหวนหยกที่สวมไว้บนนิ้วโป้งของตัวเอง เดิมทีนี่เป็นของที่กู้ซีเฉียวให้อินจี้เหนียน แต่หลังจากนั้นถังเยี่ยนหลิงก็นำมันมาใส่ไว้บนนิ้วของเขาโดยให้เหตุผลว่าจะช่วยปัดเป่าวิญญาณชั่วร้าย แต่พอกู้ซีเฉียวทราบเรื่อง วันถัดมาเธอก็นำแหวนหยกวงใหม่มาให้

เพื่อเป็นการพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของตัวเอง อินเซ่าหยวนลองถอดแหวนหยกออก มือของเขาสั่นระริกเพราะความตื่นเต้นทำให้หนแรกถอดไม่ออก เขาจึงลองถอดมันอีกครั้งก่อนจะวางลงที่พื้น

และเป็นไปตามที่เขาคาดไว้ คราวนี้มือของเขาไม่สามารถทะลุเกราะนี้ออกไปได้

อินเซ่าหยวนตื่นเต้นเกินจะกล่าว เขารีบสวมแหวนหยกกลับเข้าที่ วิ่งไปขึ้นรถและขับตรงไปหาเจียงซูเสวียนทันที หากสิ่งนี้มาจากกู้ซีเฉียวจริงก็เป็นการยืนยันความสามารถของเธอ ซึ่งแน่นอนว่ามู่หรงเมี่ยวเสวี่ยไม่มีทางทำให้เธอหายไปได้ เรื่องนี้ต้องมีความลับอะไรซ่อนอยู่อย่างแน่นอน

โฮสต์สาวพลิกอดีตกับระบบสุดเทพ

โฮสต์สาวพลิกอดีตกับระบบสุดเทพ

Status: Ongoing
ชาติก่อนเธอเผาตัวตายเพราะถูกทรยศ ชาตินี้เธอย้อนกลับมาเพื่อเขียนอดีตของตนใหม่อีกครั้ง! นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีที่นางเอกมีระบบสุดเทพที่ทำได้ทุกอย่าง!กู้ซีเฉียว ลูกนอกสมรสไร้ค่าจากบ้านนอก ส่วนเกินในสายตาของคนในตระกูลจวบจนวาระสุดท้ายเธอก็ยังเป็นเช่นนั้น ไร้ซึ่งศักดิ์ศรีใดๆแต่ชาตินี้เธอจะเขียนอนาคตของตนขึ้นใหม่จะไม่มีเด็กสาวน่าสมเพชไร้ความสามารถคนเดิมอีกต่อไป มีเพียงหญิงสาวผู้เป็นอัจฉริยะรอบด้าน!เพราะสิ่งที่เธอนำกลับมาด้วยหลังความตายไม่ใช่เพียงพรสวรรค์ดั้งเดิมแต่เป็น ‘ระบบ’ สุดโกงที่จะช่วยแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้เพียงแลกแต้มคะแนนสะสม!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท