ตอนที่ 96 คุณจะแย่เอานะคะ
กู้ซีเฉียวผงะไปเพราะไม่คิดว่าจะได้เจอผู้หญิงตรงหน้าเร็วปานนี้ ความเย็นชาบนใบหน้าพลันหายสิ้น คิ้วและดวงตาโค้งได้องศาในขณะที่เดินลงมา “พี่เหมย”
“เธอกลับมาก็ดีแล้ว” หลี่เยี่ยนเหมยกล่าว เธอเดินเข้ามาคล้องแขนกู้ซีเฉียวอย่างเป็นธรรมชาติ “ไปๆๆ ไปบ้านฉัน ฉันจะลวกก๋วยเตี๋ยวให้กิน”
แววตาบริสุทธิ์เจือไปด้วยความเป็นห่วง กู้ซีเฉียวมองเธอพักหนึ่ง ไม่อยากให้เธอเป็นห่วงจึงยอมเดินตามไปอย่างว่าง่าย
ครั้นหญิงสาวทั้งสองเดินจากไป อีกสองคนที่เหลือถึงเพิ่งจะได้สติ หญิงสาวแกะมือชายหนุ่มที่ปิดอยู่ที่ปากของเธอ โทสะยังคงคุกรุ่น “ซูเหวิน นายจะมาห้ามฉันทำไม เด็กคนนั้นกล้าดียังไงมาไล่พวกเรา เธอมีสิทธิ์อะไร!”
“เปาซินอี๋ เธอใจเย็นๆ ก่อน” ซูเหวินนวดบริเวณขมับ คิ้วงามขมวดเล็กน้อย “เธอไม่ได้ยินที่ผู้หญิงคนนั้นบอกเหรอว่านี่เป็นบ้านของเธอ พวกเราย้ายเข้ามาโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตเจ้าของบ้าน ฉะนั้นคนที่ผิดคงไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้นหรอก”
“ผิดเหรอ” เปาซินอี๋ยิ้มเหยียดหยาม “หมายความว่านายคิดจะย้ายออกจริงๆ งั้นเหรอ ปัญญาอ่อน!”
ซูเหวินเองก็เหนื่อยหน่ายเต็มทน เขาไม่มีทางย้ายออกอยู่แล้ว เมื่อถังชิงหงเลือกที่จะอยู่ที่นี่ เขาไม่มีทางย้ายออกไปง่ายๆ เพียงแต่ว่าจะบอกกับเด็กผู้หญิงคนนั้นอย่างไร ตอนนี้พวกเขาสร้างความทรงจำที่ไม่น่าประทับใจไว้ให้เธอเสียด้วย เห็นทีการเจรจาหลังจากนี้คงยากยิ่ง
จากนิสัยของเด็กผู้หญิงคนนั้น คงไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ
“เธอทำอะไรน่ะ!” เมื่อหันไป เขาเห็นเปาซินอี๋กำลังใช้เท้าเตะประตูห้อง ชายหนุ่มปวดหนึบที่ศีรษะ
เปาซินอี๋มองไปที่เขาด้วยสายตาไม่ยี่หระ “ไม่เห็นมีอะไรน่าตกใจ ในเมื่อเธอกลับมาแล้วก็ยกห้องนี้ให้ฉันไม่ได้เหรอ ทำไมนายถึงได้โง่นัก คนในหมู่บ้านเล็กๆ นี้แค่โยนเศษเงินให้นิดๆ หน่อยๆ ก็จบเรื่อง นายจะกลัวเธอทำไมกัน”
ครั้นกล่าวจบเธอก็เตะประตูอีกครั้ง หนนี้ประตูไม่ขยับ แต่แรงที่ส่งไปดันสะท้อนกลับมาที่ร่างของเธออย่างไม่ทราบสาเหตุ เธอล้มลงกับพื้น
ซูเหวินขมวดคิ้วพลางเข้าไปพยุงเธอขึ้นมา “เจ็บตรงไหนรึเปล่า เธอหยุดสร้างเรื่องเถอะ รอคุณถังกลับมาค่อยว่ากันอีกที”
เดิมทีเขาคิดว่านิสัยอย่างเปาซินอี๋คงไม่ฟังในสิ่งที่เขาพูด แต่จู่ๆ เธอก็นิ่งไป นั่นทำให้เขาหันไปมองด้วยแววตาฉงนแกมไม่ไว้ใจ แต่สิ่งที่เขาเห็นคือ ใบหน้าของเธอเริ่มซีด คล้ายกับคนเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น
……
บ้านของหลี่เยี่ยนเหมยอยู่ในละแวกใกล้เคียง ทั้งสองเดินไม่กี่ก้าวก็ถึง
เมื่อเดินพ้นตัวบ้านออกมาแล้ว ท่าทางของหลี่เยี่ยนเหมยก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “โชคดีที่ฉันมาเร็ว ไม่งั้นป่านนี้เธอคงเผลอไปล่วงเกินคนใหญ่คนโตโดยไม่รู้ตัว”
“คนใหญ่คนโตอะไร” กู้ซีเฉียวมองเธอพลางกลอกตา เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายกำลังหมายถึงคนสองคนนั้นที่กำลังทำตัวเป็นเจ้าของบ้านของเธอ
“ก็สามคนนั้นที่อยู่ในบ้านของเธอยังไงล่ะ” หลี่เยี่ยนเหมยกระซิบกระซาบ “นายกอบต.เป็นคนพาพวกนั้นมาอยู่ที่นี่ ได้ยินมาว่าครอบครัวเป็นข้าราชการระดับสูงในเมืองหลวง เมื่อพวกนั้นตัดสินใจเลือกบ้านของเธอ ผู้ใหญ่บ้านก็ทำอะไรไม่ได้ ยังดีที่ห้องของเธอยังปิดไว้ คนพวกนั้นใช้ห้องของป้าอวี๋ เมื่อกี้เธอบุ่มบ่ามเกินไป แค่เพียงปลายนิ้วของคนพวกนั้นก็ขยี้พวกเราให้ตายได้เลย เธออย่าไปมีปัญหากับพวกนั้นเลยจะดีกว่า สองสามวันนี้ก็อยู่ที่บ้านฉันไปก่อน รอพวกนั้นย้ายออกเมื่อไหร่ เธอค่อยย้ายกลับเข้าไป”
สามคน? กู้ซีเฉียวเลิกคิ้ว พวกเขาเลือกบ้านของเธองั้นเหรอ กู้ซีเฉียวนวดหว่างคิ้ว “เอาเถอะ พี่ไม่ต้องกังวล ฉันรู้ว่าต้องทำยังไง”
หลี่เยี่ยนเหมยอ้าปาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร กู้ซีเฉียวเป็นคนมีความคิด เธอเป็นเด็กฉลาดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เธอไม่มีทางทำเรื่องโง่ๆ
“นั่นใช่เสี่ยวกู้รึเปล่า” เสียงแหบแห้งทว่ากระตือรือร้นดังลอยมาจากในตัวบ้าน “เสี่ยวกู้ เข้ามาให้ป้าดูหน้าเร็วเข้า”
กู้ซีเฉียวโตมากับหลี่เยี่ยนเหมย ป้าหลี่ดีกับเธอ ยามที่ที่บ้านของพวกเขามีอาหารอร่อยก็มักจะนำมาแบ่งให้เธอ “คุณป้า หนู…” เธอผลักประตูเข้าไปด้านในแล้วฝีเท้าพลันชะงักนิ่งในขณะที่เสียงพูดขาดห้วง รอยยิ้มบนใบหน้าค้างไปดุจกัน
ป้าหลี่นอนอยู่บนเตียง สีหน้าของเธอไม่สดใสเหมือนก่อน สายตาของกู้ซีเฉียวเคลื่อนลงไปที่ขาของป้าหลี่
“ขา…เป็นอะไรคะ” เสียงแหบแห้งสั่นเล็กน้อย มือทั้งสองข้างกำแน่น พยายามข่มความรู้สึกข้างใน
ป้าหลี่ยื่นมือมาเพื่อให้หญิงสาวนั่งลงข้างเตียง มือนั้นลูบศีรษะของเธอ “ป้าไม่เป็นไร วันนั้นขึ้นเขาแล้วฝนตกเลยลื่น อีกไม่กี่วันก็คงจะดีขึ้น”
หลังจากกู้ซีเฉียวเดินเข้าไปในตัวบ้าน หลี่เยี่ยนเหมยก็เข้าไปในห้องครัว
“แล้วไปโรงพยาบาลรึยังคะ” กู้ซีเฉียวสูดจมูก ขาเจ็บขนาดนี้ จากสภาพคาดว่าคงอยู่ที่โรงพยาบาลแค่ไม่กี่วัน หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป เห็นทีคงได้เป็นอัมพาตครึ่งท่อนแน่นอนและนี่จะกลายเป็นความเสียหายร้ายแรงต่อตระกูลหลี่
สำหรับกู้ซีเฉียวความเจ็บป่วยระดับนี้ไม่ได้นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่เธออดคิดถึงชาติที่แล้วไม่ได้ ในตอนนั้นป้าหลี่ก็เป็นแบบนี้งั้นเหรอ และขาของเธอก็ไม่ดีขึ้นงั้นเหรอ แล้วสุดท้ายครอบครัวนี้ย้ายไปอยู่ที่ไหนกัน
ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดใจ
“เจ้าเด็กคนนี้ ป้ายังสบายดีอยู่ไม่เห็นเหรอ” ป้าหลี่ถอนหายใจ ครั้นเห็นหลี่เยี่ยนเหมยถือชามกระเบื้องสีขาวเดินออกมาจึงเอ่ยว่า “กลับมาเอาป่านนี้คงจะหิวแย่แล้ว รีบไปกินข้าวก่อนเถอะ”
หลังจากกินเสร็จ กู้ซีเฉียวล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหยิบเข็มทองออกจากช่องพัสดุ ทั้งคู่ทราบดีว่าเธอตามอวี๋มั่นไปรักษาชาวบ้านตั้งแต่เล็กๆ จึงมีความรู้ด้านศาสตร์ทางการแพทย์ติดตัวมาบ้าง เมื่อก่อนตอนที่อวี๋มั่นไม่อยู่ ชาวบ้านที่ตัวร้อนเป็นไข้ก็มักจะมารักษากับเธอ
ป้าหลี่ปล่อยให้เธอทิ่มเข็มลงไปบนร่าง สองสามวันก่อนหน้านี้เธอไปหาหมอที่โรงพยาบาลในอำเภอ ตอนนั้นหมอยืนยันว่าไม่มีหนทางรักษาขาของเธอให้หายเป็นปกติได้ ดังนั้นตอนนี้เธอจึงไม่ได้คาดหวังอะไร
ในวินาทีถัดมา ป้าหลี่กลับชะงักนิ่งไป เธอรู้สึกว่ามีลมปราณอุ่นๆ ไหลเวียนบริเวณท่อนขาของเธอ จากเดิมที่ไม่รู้สึกอะไรเริ่มรับรู้ถึงความเจ็บปวดอีกครั้ง
“นี่มัน เสี่ยวกู้…” เธอรู้สึกทึ่ง นับตั้งแต่วันที่แพทย์แจ้งผลวินิจฉัย เธอก็เลิกหวังไปแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าการกลับมาของกู้ซีเฉียวจะเติมความหวังใหม่ให้เธออีกครั้ง
“เมื่อก่อนแม่ชอบบอกว่า หมอที่อำเภอไม่น่าไว้ใจ เฮ้อ คุณป้าพักเถอะค่ะ ช่วงนี้อย่าเพิ่งเดิน ถ้าหนูมาฝังเข็มให้ทุกวันอีกไม่นานก็คงจะหายดี วางใจได้ค่ะ” กู้ซีเฉียวเก็บเข็มเข้าที่ก่อนจะหันไปทางหลี่เยี่ยนเหมย “กลับไปเอาสมุนไพรที่แม่ฉันทิ้งไว้ที่บ้านเป็นเพื่อนหน่อยสิ”
เมื่อเดินออกมาแล้ว หลี่เยี่ยนเหมยก็เก็บความสงสัยไว้ไม่ได้อีกต่อไป “เสี่ยวกู้ แม่ฉันจะหายจริงๆ เหรอ”
“มีโอกาสหายเป็นปกติสูงอยู่นะ” กู้ซีเฉียวล้วงมือทั้งสองข้างไว้ในกระเป๋ากางเกง เงยหน้ามองฟ้า “ที่เหลือต้องรอดูว่าฉันจะจำสิ่งที่เรียนรู้มาได้มากแค่ไหน”
ทั้งคู่สบตากันพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม “เหอะ ฉันเชื่อเธออยู่แล้ว คนฉลาดอย่างเธอทำอะไรไม่ได้บ้าง คุณตาดุๆ คนนั้นใจดีกับเธอแค่คนเดียว หนำซ้ำยังบอกว่าเธอเป็นอัจฉริยะ ถึงได้ลากเธอไปเรียนคัดลายมืออยู่ทุกวัน”
“ที่ไหนกัน นั่นเป็นเพราะพวกพี่ไม่ยอมไปเรียนกับเขาต่างหากเล่า” ท่าทางของกู้ซีเฉียวพลันอ่อนโยน
ชีวิตของเธอในตอนนั้นนับว่าเป็นช่วงชีวิตที่มีอิสระมากที่สุดแล้ว เธอไม่ต้องสนใจและใส่ใจอะไรทั้งนั้น
เมื่อคุยถึงเรื่องในวัยเด็ก อารมณ์ของทั้งคู่ก็ดีขึ้นมาก เมื่อกลับมาถึงบ้านกู้ซีเฉียว ซูเหวินและเปาซินอี๋ยังอยู่ที่นั่น ทั้งสี่สบตากัน ในชั่วอึดใจ ต่างคนต่างเงียบ กู้ซีเฉียวดึงมือหลี่เยี่ยนเหมยให้เดินขึ้นไปชั้นบนโดยทิ้งอีกสองคนไว้ตรงนั้น
ตอนที่อวี๋มั่นยังมีชีวิตอยู่เธอมักจะขึ้นไปเก็บสมุนไพรบนภูเขา สมุนไพรส่วนหนึ่งนำมาทำยารักษาให้ชาวบ้าน อีกส่วนนำมาตากแห้งเก็บไว้ในห้อง งานอดิเรกของเธอคือการสะสมสมุนไพร
หลี่เยี่ยนเหมยฟังสิ่งที่กู้ซีเฉียวบอก เธอไม่กลัว ‘คนใหญ่คนโต’ อีกสองคนในบ้านอีกแล้ว เพียงแต่ยังไม่กล้าสบตาตรงๆ เท่านั้น ทั้งสองเดินเข้าไปในห้อง กู้ซีเฉียวหยิบสมุนไพรมาให้เธอ แต่แล้วดวงตาของเธอก็แดงก่ำขึ้นมาเสียดื้อๆ “ปกติป้าอวี๋ชอบเก็บสมุนไพร เวลาพ่อแม่ฉันขึ้นไปบนภูเขาแล้วเห็นสมุนไพรที่รู้จักก็จะเก็บกลับมาด้วย แต่พอเดินมาถึงหน้าประตูบ้านเธอถึงได้เห็นว่าประตูมันล็อคอยู่”
อันที่จริงไม่ใช่แค่พ่อแม่ของเธอเท่านั้น ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็มักจะทำแบบเดียวกัน อวี๋มั่นรักษาชาวบ้านโดยไม่คิดเงิน เมื่อพวกเขารู้ว่าอวี๋มั่นชอบสะสมสมุนไพร พวกเขาจึงอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการตอบแทน
การจากไปอย่างกะทันหันของอวี๋มั่นส่งผลกระทบต่อพวกเขาอย่างรุนแรง นับตั้งแต่กู้ซีเฉียวย้ายออกไป ประตูห้องนี้ก็ถูกลงกลอนเอาไว้
คนจากเมืองหลวงพยายามกดดันให้ผู้ใหญ่บ้านเปิดประตูห้องนี้
“เลิกพูดเถอะ” กู้ซีเฉียวยัดสมุนไพรใส่มือหลี่เยี่ยนเหมยแล้วจึงเดินออกมา ห้องเก็บของนี้อวี๋มั่นใช้สำหรับเก็บยาสมุนไพรต่างๆ ในนั้นเต็มไปด้วยความทรงจำมากมาย ช่วงเวลาที่เธอยืนอยู่ในห้องนั้นแม้จะเป็นแค่ไม่กี่วินาทีก็ทำให้เธอรู้สึกหายใจติดขัดได้ “ออกไปกันเถอะ”
“คืนนี้เธอจะไม่นอนที่บ้านฉันจริงๆ เหรอ” หลี่เยี่ยนเหมยยังไม่ลดละ
“อื้อ ไม่เป็นไร” กู้ซีเฉียวปิดประตู เธอปัดผมที่ตกลงมาปรกคิ้ว หลุบตาต่ำซ่อนความรู้สึก “พี่กลับไปก่อนเถอะ เชื่อฉัน”
หลี่เยี่ยนเหมยเดินไปพลางหันมามองเธอเป็นระยะด้วยความเป็นห่วง แต่ท้ายที่สุดก็เดินไปจนพ้นลานบ้าน ครั้นกู้ซีเฉียวเห็นว่าเธอกลับไปแล้วจึงเดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน
เปาซินอี๋แอบชำเลืองมองเธอ คล้ายกับว่าไม่กล้าสบตาตรงๆ แต่เมื่อคิดดูอีกครั้ง ถึงอย่างไรเธอก็เป็นทายาทตระกูลดังแล้วเธอจำเป็นจะต้องกลัวคนๆ นี้ด้วยหรือ ดังนั้นเธอจึงเดินไปตรงหน้ากู้ซีเฉียว ชูปึกกระดาษในมือด้วยท่าทางอวดดี “พวกเราไม่ได้ต้องการให้เธอย้ายออกไป แต่ว่าเธอต้องยกห้องชั้นบนห้องนั้นให้ฉัน ถ้าเธอตกลง เงินนี่ก็จะเป็นของเธอ กลับกันหากเธอไม่ตกลง ฉันก็จะใช้วิธีของฉันทำให้เธอตกลงอยู่ดี และเมื่อถึงเวลานั้นก็อย่าคิดว่าจะได้เงินแม้แต่แดงเดียว!”
สีหน้าสำนึกผิดของหญิงสาวลดลงตามถ้อยคำที่เธอเปล่ง คนพวกนี้คงไม่เคยเห็นเงินมากมายขนาดนี้มาก่อนในชีวิตสินะ
“ซินอี๋!” ซูเหวินรีบมาห้ามไม่ทัน เขามาทันจังหวะที่เปาซินอี๋กำลังควักเงินออกมาพร้อมพูดจาข่มขู่ ชายหนุ่มพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เดิมทีเปาซินอี๋ก็เป็นคนหยิ่งอยู่แล้ว ฉะนั้นตอนนี้เขาจึงเพียงหวังว่าเด็กสาวจะรับเงินก้อนนั้นไปแต่โดยดี เพราะมิฉะนั้นแล้วนี่จะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับทุกฝ่าย
เขามีบางสิ่งที่เหมือนกับเปาซินอี๋คือผู้คนในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ไม่อาจดึงดูดความสนใจของเขาได้เลย เขากลัวแค่ว่าหากปล่อยให้เปาซินอี๋ก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ต่อไป ถังชิงหงอาจไม่พอใจได้
ทั้งคู่ติดตามถังชิงหงมาที่นี่ด้วยความบังเอิญ หากไม่ใช่เพราะเขามีเพื่อนที่เพิ่งรู้จักกันที่มหาวิทยาลัยอาศัยอยู่ที่นี่และตัดสินใจมาท่องเที่ยว พวกเขาคงไม่มีทางได้พบกับถังชิงหง
ถ้าเป็นคนอื่นคงกลัวหัวหดไปแล้ว แต่เพราะเธอคือกู้ซีเฉียว
เธอมองเงินที่อยู่ในมือเปาซินอี๋ จู่ๆ ใบหน้าไร้อารมณ์ก็ผุดยิ้ม เธอเอื้อมมือออกไปคว้าเงินปึกนั้น
ครั้นเปาซินอี๋เห็นเด็กสาวรับเงินไป สายตาของเธอก็ฉายแววประหลาดใจ แต่ยังไม่ทันกล่าวคำใด กู้ซีเฉียวก็ขว้างปึกเงินนั้นใส่หน้าเธอ
ปึกเงินฟาดผ่านใบหน้าของเธอก่อนจะร่วงลงบนพื้น ใบหน้าแฉล้มไร้ที่ติของเด็กสาวยังคงเปื้อนยิ้ม ท่าทางของเธอดูสบายๆ และสง่างาม ริมฝีปากสีจางยกยิ้ม “คุณคะ ถ้ายังไม่ออกรีบออกไปตอนที่ฉันยังอารมณ์ดี คุณจะแย่เอานะคะ”
ใบหน้าของคนตรงหน้างามอย่างไร้ที่ติราวกับหยกทอประกายวาววับ รอยยิ้มสดใสประหนึ่งสายลมอุ่น เท้าของเปาซินอี๋พลันก้าวถอย บัดนี้ความภาคภูมิใจบนใบหน้าของเธอสลายหายไปจนหมดแล้ว สิ่งที่ยังเหลืออยู่คือความตื่นกลัว เธอรับรู้ได้ รับรู้ได้ว่ามีพลังงานบางอย่างที่มองไม่เห็นกดทับลงมาที่ศีรษะของเธอ คล้ายกับว่าหากออกแรงอีกหน่อย เธออาจจะกลายเป็นคนปัญญาอ่อนในทันที!
คนๆ นี้ไม่ได้กำลังล้อเล่น
ซูเหวินที่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้ายังไม่ทันได้ตอบสนองใดๆ สิ่งที่เขาเห็นคือ จู่ๆ เปาซินอี๋ก็กระวีกระวาดวิ่งหนีออกไป
ในขณะที่เปาซินอี๋กำลังวิ่งออกไปเป็นจังหวะเดียวกับที่ถังชิงหงกลับมาพอดี หากเป็นสิบนาทีก่อนหน้านี้ เธอคงดีใจที่ได้เจอถังชิงหง เพราะคิดว่าถังชิงหงคงจัดการเด็กผู้หญิงคนนั้นได้ แต่เมื่อผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่ เธอรู้แล้วว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คนธรรมดาที่สามารถกำจัดทิ้งได้ภายในเวลาไม่มีกี่นาที และดูเหมือนว่าถังชิงหงเองก็คงช่วยอะไรเธอไม่ได้เช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้น” ถังชิงหงมองเปาซินอี๋ที่อยู่ในอาการตื่นตระหนกพลางเลิกคิ้ว
เขาสวมชุดลำลอง มือทั้งสองข้างล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง คิ้วเลิกขึ้น แววตาสุกใสเจือด้วยรอยยิ้ม อ่อนโยนจนคนไม่กล้าสบตา
ในฐานะผู้หญิง ไม่มีใครสามารถต้านทานเสน่ห์ของเขาได้ อารมณ์ของเปาซินอี๋ค่อยๆ สงบลง เนื้อตัวสั่นเทาของเธอหันไปมองฝั่งตัวบ้านเชื่องช้า “คุณถัง เจ้าของบ้านหลังนี้กลับมาแล้ว”
ถังชิงหงมองหญิงสาวพลางหัวเราะแผ่วเบา “เขากลับมา…เธอก็เลยจะไปเหรอ”