ตอนที่ 97 ไขข้อสงสัย
“เอาเถอะ เข้าไปกันเถอะ” ถังชิงหงกล่าวก่อนจะเดินเข้าไปในตัวบ้าน เขาอยากเห็นนักว่าคนที่อยู่ในบ้านเป็นใครกัน จำต้องยอมรับว่า เขาอยากรู้มานานแล้วว่าเจ้าของบ้านหลังนี้คือใคร
ตอนแรกที่เขามาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ ชาวบ้านต้อนรับขับสู้อย่างดี แต่ครั้นเขาแสดงเจตจำนงว่าต้องการบ้านหลังนี้ ทุกคนก็เริ่มขับไสไล่ส่งเขา จากที่เห็น คนที่เคยอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้คงเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้าน นี่ยิ่งทำให้เขาสงสัยว่าคนที่เคยอาศัยอยู่ที่นี่คือใคร
วินาทีที่ก้าวเข้ามาในตัวบ้าน สิ่งที่เห็นเป็นอันดับแรกคือธนบัตรสีแดงที่กระจายเกลื่อนพื้น ถัดมาคือเด็กสาวสวมเสื้อยืดสีขาวและกางเกงยีนส์ที่ยืนอยู่กลางห้อง เธอยืนนิ่งด้วยท่าทีงามสง่า
เสียงเคลื่อนไหวทำให้เธอหันหน้ามามองทางประตู ดวงตาสุกใสปรากฏต่อหน้าถังชิงหง เขาชะงักไปชั่วครู่ คือเธอเองงั้นเหรอ
เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน เขายังรู้สึกว่าเด็กคนนี้น่าสนใจ เขาเดาว่าเธอน่าจะกลับบ้านเกิดในช่วงปิดเทอม ยังไม่ทันได้ทำความรู้จักกับเธอ เธอก็เดินหายไปเสียแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่า เธอจะมาอยู่ต่อหน้าเขาในตอนนี้ อีกทั้งยังเป็นเจ้าของบ้านที่เขาสงสัยมานานด้วยงั้นเหรอ
หรือว่านี่จะเป็นพรหมลิขิต ตลกน่า
“เธอ…”
“ในที่สุดก็มาครบสักที รีบเก็บข้าวของของพวกคุณย้ายออกไปได้แล้ว” กู้ซีเฉียวมองเขาด้วยสายตานิ่งเรียบ ทว่าน้ำเสียงกลับเฉยชายิ่งกว่า
ถังชิงหงรับรู้ได้ว่าตอนนี้เด็กสาวอยู่ในอารมณ์โกรธจากน้ำเสียงของเธอ เมื่อเห็นพื้นที่เต็มไปด้วยธนบัตรสีแดงและแววตาสั่นระริกของเปาซินอี๋ เขาก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งที่เขาประหลาดใจคือ เด็กคนนี้ไปเก่งมาจากไหน ถึงขนาดที่ทำให้เปาซินอี๋ตื่นกลัวได้ถึงขนาดนี้
“เดี๋ยวก่อน” ถังชิงหงเห็นเธอเตรียมจะเดินขึ้นไปชั้นบนจึงรีบรั้งเธอไว้ น้ำเสียงอ่อนลงพยายามประนีประนอมสุดฤทธิ์ “เมื่อกี้เพื่อนของฉันอาจล่วงเกินเธอ ฉันจะชดใช้ให้เอง แต่ฉันจำเป็นต้องอยู่ที่นี่จริงๆ เธอช่วยเห็นแก่หน้าฉันหน่อยเถอะนะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ไม่ใช่แค่เปาซินอี๋เท่านั้น แม้แต่ซูเหวินเองก็ตกใจ
ในสายตาของพวกเขา ถังชิงหงเป็นเหมือนดวงจันทร์บนฟากฟ้าที่คนอย่างพวกเขาทำได้เพียงยืนมองจากที่ไกลๆ ไม่อาจเอื้อม แม้จะอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน แต่ทั้งคู่ก็ให้ความเคารพชายหนุ่ม ไม่ใช่แค่สถานะเท่านั้นที่แตกต่างกัน แต่ยังมีช่องว่างบางอย่างที่ต่างกันด้วย การที่พวกเขาได้พบพานและอยู่ร่วมใต้ชายคาเดียวกับถังชิงหงก็ทำให้พวกเขารู้สึกว่าตนเองโชคดีมากแล้ว
ฉะนั้น น้ำเสียงถ่อมตัวของถังชิงหงเมื่อครู่ทำให้พวกเขาตั้งรับไม่ทัน ถังชิงหงเป็นใคร ขนาดนายกเทศมนตรีเมืองพบเขายังต้องปฏิบัติอย่างนอบน้อมแล้วทำไมถึงได้มีมารยาทกับเด็กคนนี้ขนาดนี้ นี่มันน่าตกใจเกินไป ใบหน้าของซูเหวินคล้ายกับคนเห็นผี
แต่เปาซินอี๋กลับทราบเหตุผล เด็กคนนี้ไม่ใช่เล่นๆ
“ขอโทษด้วย แต่คงไม่ได้” กู้ซีเฉียวไม่ได้หันกลับมา เธอยืนกรานปฏิเสธ ฝีเท้าไร้ซึ่งความลังเล
เด็กคนนี้นี่พูดยากจริงๆ ซูเหวินหันไปมองถังชิงหงอย่างช่วยไม่ได้ บ้าไปแล้ว มีใครกล้าปฏิเสธเสียงแข็งใส่คุณถังบ้าง
ฝ่ายถังชิงหงผงะไปชั่วครู่ ดื้อขนาดนี้หรือว่าจะมีของดีอะไร เขามองไปที่กำไลหยกที่ข้อมือขาวก่อนจะหัวเราะ “เดี๋ยวนะ เธอรู้จักคนตระกูลอินงั้นเหรอ”
คราวนี้กู้ซีเฉียวชะงักฝีเท้า เธอหันกลับมา นัยน์ตาดำขลับมองตรงไปที่ชายหนุ่ม คางเชิดขึ้นเล็กน้อย คล้ายกับส่งสัญญาณให้เขากล่าวต่อ
“ถังเยี่ยนหลิงเป็นอาของฉันเอง”
เป็นอาของเขางั้นเหรอ กู้ซีเฉียวหลุบตา นิ้วมือเผลอลูบกำไลหยกที่ข้อมือ เธอใคร่ครวญเพียงไม่กี่วินาทีจึงเอ่ย “พวกคุณจะอยู่ที่นี่ก็ได้ แต่ห้ามรบกวนฉัน แล้วก็ห้ามรบกวนคนในหมู่บ้านนี้เป็นอันขาด”
“ได้แน่นอน” ถังชิงหงแย้มยิ้ม “เมื่อกี้เพื่อนฉันผิดเอง ไว้เดี๋ยวฉันจะไปคุยกับพวกเขาให้ก็แล้วกัน”
เปาซินอี๋ยืนนิ่งอยู่ที่นอกประตู เธอมองมาที่กู้ซีเฉียว แววตายังคงตื่นกลัว เธอรู้สึกได้ว่า เมื่อตัวเองก้าวเท้าพ้นประตูเข้ามา ร่างกายของเธอก็รู้สึกราวกับว่าถูกใครบีบคออยู่ ลมหายใจของเธอติดขัด หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปเธอคงเป็นบ้าตายแน่ๆ
ครั้นหันไปมองใบหน้าอ่อนโยนของถังชิงหงและหันไปมองใบหน้าเรียบเฉยของกู้ซีเฉียว เปาซินอี๋ก็กลัวเกินกว่าจะพูดอะไร เธอได้แต่บอกกับตัวเองว่า สบโอกาสเมื่อไหร่เธอจะย้ายออกจากบ้านหลังนี้ทันที
การที่เธอเลือกที่จะอยู่ที่นี่เพียงเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ที่ตัวเองจะได้รับก็เท่านั้น แต่จากที่เห็นตอนนี้ ดูเหมือนชะตาของเธอใกล้จะขาดเข้าไปทุกทีและถังชิงหงก็คงทำอะไรไม่ได้ด้วย
เมื่อได้ยินคำตอบที่ต้องการ กู้ซีเฉียวก็ไม่ได้กล่าวต่อให้มากความ เธอเดินขึ้นไปชั้นบน แต่แล้วก็มีเสียงดังขึ้นจากลานด้านนอก
“เสี่ยวกู้ ฉันได้ยินพวกลุงๆ บอกว่าเธอกลับมาแล้ว ฉันเลยมาเยี่ยม”
ตอนที่ถังชิงหงเดินเข้ามา เขาไม่ได้ปิดประตูเหล็กที่ลานหน้าบ้าน ตอนนี้ด้านนอกมีคนกลุ่มหนึ่งยืนล้อมอยู่ คนเหล่านั้นคือชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ เมื่อพวกเขาได้ยินว่ากู้ซีเฉียวกลับมาต่างก็วางงานในมือเพื่อมาหาเธอ นอกจากนี้พวกเขายังหอบข้าวของติดไม้ติดมือมาด้วย
เมื่อกู้ซีเฉียวเดินออกมาก็เห็นบรรดาลุงป้าน้าอายืนอยู่ในความมืด ในมือของพวกเขาหากไม่ใช่ไข่ ของแห้ง ก็จะเป็นผักสด
“ทุกคนได้ยินว่าเธอกลับมาแล้ว กลัวว่ากลับมาแล้วจะไม่มีอะไรกิน พวกเราก็เลยเอาข้าวปลาอาหารมาให้” ผู้ใหญ่บ้านช่วยนำข้าวของเข้ามาวางบนโต๊ะไม้ในลานบ้าน ส่วนคนอื่นๆ ไม่มีใครกล้าเดินเข้ามา พวกเขายืนคุยกับกู้ซีเฉียวจากที่หน้าประตูบ้าน
ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจ “เสี่ยวกู้ ฉันมันไร้ความสามารถ ขนาดบ้านเธอฉันยังดูแลให้ดีไม่ได้…”
“ผู้ใหญ่บ้าน อย่าพูดแบบนั้นเลยค่ะ” กู้ซีเฉียวมองไปที่เขา ท่าทางของเขาแลดูสิ้นหวัง “หนูเห็นผู้ใหญ่บ้านตั้งแต่หนูเด็กๆ หนูจะไม่รู้ได้ไงว่าผู้ใหญ่บ้านทุ่มเทขนาดไหน นี่เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่บ้านควบคุมไม่ได้ แค่คุณช่วยรักษาห้องของหนูไว้ หนูก็รู้สึกขอบคุณมากแล้วค่ะ”
เธอรู้ดีว่าทั้งหมดนี้เกิดจากใจที่เรียบง่ายและหวังดี
“เอาเถอะๆ ฉันไม่พูดแล้วก็ได้” ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจ “วันนี้ป้าของเธอกลับบ้านเกิด พรุ่งนี้ถึงจะกลับ เพราะงั้นพรุ่งนี้เที่ยงมาที่บ้านฉันนะ ฉันจะเตรียมข้าวไว้ให้ ดูเธอสิ หายหน้าหายตาไปเสียนานกลับมาทีก็ผอมขนาดนี้”
“ค่ะ” กู้ซีเฉียวตอบรับแผ่วเบา “กลับกันเถอะค่ะ ถ้าคุณไม่อยู่ สือโถวจะร้องหาเอานะคะ”
“ร้องหาอะไรกันล่ะ ตอนที่ฉันมา เขาวิ่งมาเกาะขาขอมาด้วยอยู่เลย” เมื่อเอ่ยถึงสือโถว ผู้ใหญ่บ้านก็หัวเราะลั่น เขาเป็นลูกชายคนเดียวของผู้ใหญ่บ้าน ปีนั้นเด็กน้อยเป็นไข้ทรพิษ อวี๋มั่นเป็นคนช่วยเขาไว้ นี่เป็นสาเหตุที่สองครอบครัวมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
นอกจากครอบครัวของผู้ใหญ่บ้านแล้ว ในหมู่บ้านแห่งนี้มีครอบครัวไหนมีปัญหากับอวี๋มั่นบ้าง
กู้ซีเฉียวเดินไปส่งผู้ใหญ่บ้านได้ครึ่งทางก็ถูกเขาไล่ให้กลับเข้าบ้าน เธอจึงทำได้เพียงมองส่งผู้ใหญ่บ้านจากตรงนั้น เมื่อพวกเขาเดินไปจนลับตาแล้ว หญิงสาวจึงหันหลังเดินกลับไป
เมื่อเห็นชาวบ้านหอบข้าวของมาให้กู้ซีเฉียว แววตาของถังชิงหงก็ฉายแววประหลาดใจ เขาอาศัยอยู่ที่นี่มาระยะหนึ่งแล้ว แต่ไม่เคยมีใครเอาของมาให้แบบนี้เลยสักครั้ง แม้บรรดาหญิงสาวจะแห่กันมาหาถังชิงหง แต่พวกเธอก็ไม่เคยทำอะไรแบบนี้
จากที่เห็นดูเหมือนชาวบ้านพวกนี้จะเตรียมของกันอย่างสุดความสามารถเพื่อเธอเพียงคนเดียว เธอเป็นที่ต้อนรับขนาดนี้เลยเหรอ
ทว่ากู้ซีเฉียวไม่ได้ใส่ใจว่าชายหนุ่มจะคิดเช่นไร เธอเดินตรงกลับไปที่ห้องของตัวเอง อันที่จริงเธอเองก็มีของจะมอบให้คนในหมู่บ้านเหมือนกัน เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นในหัว กล่องพลาสติกใบใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในห้อง
ในนั้นเป็นของขวัญที่เธอซื้อมา แต่เพื่อเป็นการประหยัดพื้นที่ในกล่องพัสดุ เธอจึงรวบรวมของทั้งหมดไว้ในกล่องพลาสติกใบใหญ่ใบเดียว
ดูเหมือนเธอจะซื้อของมาเยอะเกินไป หญิงสาวนั่งลงบนพื้นเพื่อจัดของ วันนี้เธอยังไม่ได้ทำภารกิจประจำวัน ฉะนั้นหลังจากเก็บของ เธอยังต้องจัดห้องแล้วถึงจะไปอาบน้ำ สิ่งสุดท้ายที่ต้องทำคือทิ้งตัวลงนอนบนเตียงและเข้าสู่พื้นที่เสมือนจริงเพื่อทำภารกิจ เพียงแค่คิดเธอก็ปวดหัวแล้ว
กู้ซีเฉียวเร่งมือ เมื่อทำทุกอย่างเสร็จแล้วเธอถึงลงไปอาบน้ำชั้นล่าง
ครั้นเดินออกมานอกประตู ฝีเท้าของเธอพลันหยุดชะงัก เธอจ้องมองกระถางต้นไม้ที่ขอบหน้าต่าง มันคือต้นจื่อซู พืชชนิดนี้มีคุณสมบัติในการปรับตัวสูง สามารถเติบโตได้ในสภาพดินที่หลากหลาย โดยมากใบเป็นสีเขียวหรือสีม่วง มีขนเล็กๆ ขึ้นตามผิวใบ มีจุดสีน้ำตาลเข้มบนผิวรอบนอก ทว่าในตอนนี้ใบของต้นจื่อซูถูกเคลือบด้วยชั้นผิวสีดำ มันเติบโตได้ดี แต่ชั้นผิวสีคล้ายควันทำให้มันดูแปลกไป
[เฉียวเหม่ยเหริน ดูเหมือนที่นี่จะมีปัญหาจริงๆ] ระบบที่กำลังเล่นเกมอยู่ในพื้นที่เสมือนจริงเงยหน้าขึ้น มันมองกระถางต้นไม้ใบนั้นด้วยสีหน้าจริงจัง
กู้ซีเฉียวยื่นมือออกมาแล้วกระถางต้นไม้นั้นก็ลอยขึ้นมาเชื่องช้า ก่อนจะค่อยๆ ลอยเข้ามาที่ฝ่ามือของเธอ ตัวกระถางสัมผัสฝ่ามือ เสียงฟันเฟืองเย็นเยือกดังขึ้นในสมอง เป็นขณะเดียวกันกับที่หน้าจอโปร่งใสปรากฏขึ้นพร้อมกับตัวอักษรสีแดงน่าพรั่นพรึง
[มอบหมายภารกิจหมุนเวียนภาคบังคับขั้นที่สอง : ภายในรัศมีห้ากิโลเมตรเต็มไปด้วยวิญญาณชั่วร้าย กรุณาค้นหาสาเหตุของต้นต่อดังกล่าวและจำกัดวิญญาณเหล่านี้ให้สิ้นซาก หากภารกิจสำเร็จจะได้รับคะแนนสะสม 5000 คะแนน การลงโทษหากภารกิจล้มเหลว : กำจัด!]
เมื่อได้เห็นตัวอักษรเหล่านี้อีกในครั้งนี้ จิตใจของกู้ซีเฉียวก็สงบนิ่งกว่าก่อนมากแล้ว นี่เป็นหน้าที่ที่เธอได้รับมอบหมายตั้งแต่ได้กลับมาเกิดอีกครั้ง เป็นภาระหน้าที่ที่เธอไม่อาจหลีกเลี่ยง
หากจะกล่าวในอีกแง่หนึ่ง ที่นี่เป็นหมู่บ้านที่เธอเติบโตมา ชาวบ้านอาศัยอยู่ที่นี่มาหลายชั่วอายุคน ไม่ว่าอย่างไรเธอก็จะไม่ปล่อยให้พวกเขาได้รับอันตราย
การกลับมาครั้งนี้ก็เพื่อมาสืบหาสาเหตุที่ทำให้ชาวบ้านหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย จากที่เห็นตอนนี้ดูเหมือนปัญหาเริ่มจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
เธอขยับนิ้วเล็กน้อย กลุ่มควันสีเข้มลอยฟุ้งเหนือฝ่ามือ ใบจื่อซูสั่นไหว เพียงชั่วครู่ชั้นผิวสีเข้มก็หายวับไป กระถางต้นไม้ลอยกลับไปที่ขอบหน้าต่าง กู้ซีเฉียวยืนอยู่ตรงนั้นพักหนึ่งแล้วจึงเดินลงไปชั้นล่างเพื่ออาบน้ำ
อันที่จริงบ้านหลังนี้ถูกสร้างขึ้นอย่างเรียบง่าย เพราะถึงอย่างไรที่ที่เธออยู่ก็เป็นชนบท แค่มีห้องน้ำในตัวก็นับว่าหรูมากแล้ว
แต่เมื่อคนทั้งสามย้ายเข้ามา พวกเขาก็เริ่มปรับตรงนั้นเปลี่ยนตรงนี้ เพื่อที่จะทำให้ถังชิงหงอยู่สบายมากยิ่งขึ้น เขายอมจ่ายเงินก้อนใหญ่เพื่อให้คนมาติดตั้งอินเทอร์เน็ต สร้างห้องอาบน้ำ สร้างห้องน้ำ รวมถึงติดแผงโซล่าเซลล์
น้ำสะอาดถูกส่งมาจากธารน้ำพุหลังเขา ในบ้านมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
ตอนนี้ดึกมาแล้ว คาดว่าทั้งสามคนคงกำลังพักผ่อน เธอจึงถือเสื้อผ้าเดินลงมาอาบน้ำที่ชั้นล่าง
ขณะที่เธอเดินมาถึงหน้าห้องน้ำ ประตูก็ถูกเปิดจากด้านใน
“เธอก็มาอาบน้ำด้วยเหรอ” ถังชิงหงอยู่ในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำ หยดน้ำกลิ้งผ่านแผงอกแข็งแรงไปตามแรงโน้มถ่วง โครงหน้างามได้รูป นัยน์ตาหรี่แคบเล็กน้อย แลดูเกียจคร้านทว่าดึงดูดสายตา เรือนร่างของชายหนุ่มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ชวนหลงใหล
หากเป็นคนอื่นคงหลงเขาหัวปักหัวปำไปแล้ว
แต่คนอย่างกู้ซีเฉียวมีหรือจะชื่นชม เธอเพียงมองด้วยแววตานิ่งเรียบ “ฉันอาบน้ำมันน่าแปลกตรงไหนเหรอ”
แววตาของเธอเปล่งประกายสดใสเช่นทุกครั้ง วินาทีที่สายตาของเธอกวาดผ่านเรือนร่างของเขา ร่างกายของชายหนุ่มก็แข็งเกร็งเล็กน้อย แต่เพียงไม่กี่วินาทีถัดมาก็กลายเป็นความหงุดหงิดเสียอย่างนั้น คิ้วคมเลิกขึ้นเล็กน้อยพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย “ฉันแค่อยากจะถามว่าเธอ…เธอกับอาฉันมีความสัมพันธ์อะไรกัน”
เขามองไปที่กำไลบนข้อมือของหญิงสาวพลางแย้มยิ้ม “เธอเป็น…แฟนของเซ่าหยวนงั้นเหรอ”
“เปล่า” กู้ซีเฉียวเอื้อมมือไปผลักประตูห้องอาบน้ำ “ยังไม่ไปอีก จะดูฉันอาบน้ำหรือไง”
“แค่ก…” ปกติแล้วถังชิงหงเป็นคนสุภาพ น้อยคนนักที่จะกล้าต่อปากต่อคำกับเขา ใบหน้าหล่อเหลาของเขาทำให้ไม่มีใครกล้าพูดด้วยตรงๆ โดยเฉพาะผู้หญิงยิ่งแล้วใหญ่ “ฉันกลับห้องล่ะ ฝันดี”
กู้ซีเฉียวตอบรับนิ่งๆ แล้วจึงปิดประตู
ถังชิงหงยืนอยู่ที่หน้าประตู แววตาอ่อนโยนค่อยๆ หม่นลง เขาเงยหน้ามองขึ้นไปที่ชั้นบน พลังลมปราณที่พลุ่งพล่านเมื่อครู่เป็นเพราะเขาตาฝาดไปเองงั้นเหรอ