โฮสต์สาวพลิกอดีตกับระบบสุดเทพ – ตอนที่ 103 รูปวาดราคาเจ็ดหลัก

โฮสต์สาวพลิกอดีตกับระบบสุดเทพ

ตอนที่ 103 รูปวาดราคาเจ็ดหลัก

กู้ซีเฉียวไม่รู้ว่าถังชิงหงกำลังคิดอะไร เธอเบนสายตามองไปที่ลานบ้าน

ถังชิงหงยังจัดการงานในมือไม่เรียบร้อย เขาไม่เคยรู้สึกประหม่าขนาดนี้มาก่อน หากจัดการธุระที่นี่เสร็จเมื่อไหร่ เขาจะรีบกลับเมืองหลวงไปแก้เรื่องพลังที่ถูกผนึกไว้ให้ได้โดยเร็วที่สุด ความรู้สึกนี่มันช่างน่าอนาถจริง

“บ้านของฉันมีปัญหาอะไร” กู้ซีเฉียวหันกลับมา เงยหน้ามองท้องฟ้าที่ถูกย้อมเป็นสีแดงกว่าครึ่งก่อนจะหยิบกระบอกไม้ไผ่เมื่อคืนวานออกมาเล่น “ฉันไม่เห็นจะรู้สึกเลย”

“เธอคงอยู่ในระดับเกลากระดูกสินะ” ถังชิงหงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง พร้อมให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวข้องกับโลกวิทยายุทธ์โบราณ เขารับรู้ได้อย่างแจ่มชัด พลังกล้าแกร่งล้ำลึกของเธออาจสูงกว่าผู้ฝึกตนที่อยู่ในระดับฝึกกล้ามเนื้อบางคน “ในโลกวิทยายุทธ์โบราณ ปกติแล้วเธอจะมองไม่เห็นวิญญาณร้ายพวกนั้น หากเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นเพียงเหตุบังเอิญ เธออาจไม่รู้ว่าสรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกับบ้านของเธอ วันแรกที่ฉันมาถึงที่นี่ ฉันรู้สึกว่าวิญญาณร้ายที่นี่โหดกว่าบนเขาเป็นสิบเท่า”

“แต่ที่ฉันแปลกใจคือบ้านของเธอถูกสร้างบนที่ดินผืนนี้พอดีราวกับมีคนจงใจทำอย่างนั้น นี่เป็นที่ของเหล่าวิญญาณร้าย ปกติแล้วคนที่มาอาศัยอยู่ที่นี่จะอยู่ได้ไม่เกินครึ่งปีก็จะเสียชีวิตแบบไม่ทราบสาเหตุ ไม่นับเรื่องที่เธอมีพลังลึกลับเลยไม่ได้รับผลกระทบ แต่ทำไมคนที่อาศัยอยู่ใกล้ๆ บ้านเธอพวกนั้นถึงยังสบายดี”

กู้ซีเฉียวเหม่อจ้องไปที่ลานบ้าน เธอรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านนี้มากกว่าเขา ตอนที่อวี๋มั่นเพิ่งจากไปได้เพียงสองเดือนกว่า แล้วเธอก็เพิ่งจะย้ายออกไป สองเดือนหลังจากนั้นเธอกลับมาที่นี่อีกครั้ง ตอนนั้นเกิดเรื่องกับคนตระกูลหลี่และคนในครอบครัวของผู้ใหญ่บ้านทั้งเด็กและผู้ใหญ่ หากดูตามลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชาติที่แล้ว หลังจากนั้นไม่นานทุกคนก็จะทยอยย้ายออกจากหมู่บ้าน

“ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงมองเห็นวิญญาณพวกนั้น” กู้ซีเฉียวมองไปรอบๆ เธอเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าเรื่องนี้ผิดพลาดตรงไหน อีกอย่างเธอรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับอวี๋มั่น “แต่แม่ก็ไม่เคยบอกอะไรเลย”

ถังชิงหงวางหยกชิ้นสุดท้ายในมือลง อากาศแปรปรวนชั่วขณะ แต่ไม่นานก็กลับสู่สภาวะปกติราวกับก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีเพียงใบหน้าของถังชิงหงที่ซีดลง แต่แววตาที่มองไปที่กู้ซีเฉียวยังคงจริงจัง “ในเมื่อเธอเป็นคนจากโลกวิทยายุทธ์ เรื่องนี้เธอต้องช่วยฉัน”

“ไม่ต้องบอกก็รู้” กู้ซีเฉียวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “มีอะไรให้ช่วยก็บอกมา”

ลานสายตาสดใสหรี่แคบ เธอกวาดตามองไปรอบๆ มองหาหินหยกที่ถังชิงหงโยนทิ้งไว้ที่พื้น เธอไม่ได้รอให้ถังชิงหงต้องเอ่ยปาก กู้ซีเฉียวขยับตำแหน่งสองสามที เกิดเป็นคลื่นพลังวนเวียนอยู่ในอากาศและจากนั้นก็มีพลังถาโถมท่วมทะลักออกมาไม่หยุดหย่อน

“นี่มันค่ายกลแผนผังแปดทิศขนาดย่อม?” ใบหน้าอ่อนโยนของถังชิงหงเหวอไปเล็กน้อย เขามองไปที่กู้ซีเฉียวพลางถามด้วยสีหน้าตื่นตะลึง “เธอทำแบบนี้ได้ด้วยเหรอ”

ต่อให้เป็นเขา การที่จะสร้างค่ายกลเล็กๆ เช่นนั้นยังต้องใช้พลังมากโข หากมีพลังน้อยเกินไปค่ายกลก็จะไม่ได้ผลและเมื่อใช้พลังไปแล้วร่างทั้งร่างจะรู้สึกเหมือนกับถูกสูบพลังไปจนเกลี้ยง แต่ดูเธอสิ โบกมือด้วยท่าทีเบาสบายพร้อมกับใบหน้าผ่อนคลายอย่างนั้นเหรอ

“ก็แค่ลองฝึกๆ ดู” กู้ซีเฉียวชำเลืองมองเขาแวบหนึ่งก่อนจะหยิบกระบอกไม้ไผ่ออกมา เนื่องจากค่ายกลที่เธอสร้าง ตอนนี้กระบอกไม้ไผ่ถึงได้สั่นอย่างบ้าคลั่ง แต่แล้วเสียงเย็นชาก็ดังขึ้น “ถ้ายังไม่หยุดสั่นแม่จะเผาให้วอด”

วิญญาณร้ายในกระบอกไม้ไผ่ …

แล้วกระบอกไม้ไผ่ก็ไม่สั่นอีกเลย กู้ซีเฉียวจ้องมองอยู่พักหนึ่งแล้วจึงมองไปรอบๆ บ้านของตัวเอง “ระบบ ฉันยังหาสาเหตุไม่เจอ เธอลองสแกนดูได้รึเปล่า”

[เฉียวเหม่ยเหริน กรุณารอสักครู่] ระบบในพื้นที่เสมือนจริงวางเอกสารในมือ ใบหน้าของมันขึงขังเอาเรื่อง มันรู้ดีว่าภารกิจของกู้ซีเฉียวครั้งนี้ไม่ได้ง่ายเหมือนครั้งก่อนๆ ดังนั้นมันจึงพยายามค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้ได้มากที่สุดเพราะหวังว่าจะพบบันทึกสำคัญ

จอโปร่งใสปรากฏขึ้นเบื้องหน้ากู้ซีเฉียว บนจอนั้นเป็นแผนผังบ้านและสวนรอบๆ แบบภาพสามมิติ จากจอภาพที่ปรากฏไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด

[เฉียวเหม่ยเหริน คุณลองดูด้านล่างหน่อย]

แผนที่สามมิติถูกดึงลงมา กู้ซีเฉียวกวาดตาดูแผนที่ที่ลึกลงไปใต้ดินกว่าสิบเมตรซึ่งปรากฏเป็นจอภาพสีดำ [ดูเหมือนบ้านของพวกคุณคงจะมีปัญหาจริงๆ ฉันสแกนได้ลึกที่สุดแค่สิบเมตรเพราะเหมือนว่ามีบางอย่างปิดกั้นการมองเห็นของฉันอยู่ เห็นทีแม่บุญธรรมของคุณก็คงจะไม่ใช่คนธรรมดา]

การปลูกบ้านไว้บนที่ดินผืนนี้ ทั้งยังอยู่อาศัยนานเป็นสิบปีโดยไม่เป็นอะไร กู้ซีเฉียวก็พอจะเดาได้ว่าอวี๋มั่นน่าจะไม่ธรรมดา แต่สรุปแล้วเรื่องทั้งหมดนี้คืออะไรกันแน่ รวมถึงการเสียชีวิตของอวี๋มั่นเป็นเพราะเลือดออกในสมองจริงๆ งั้นเหรอ แล้วทำไมแม่ถึงไม่ทิ้งข้อความอะไรไว้ให้เธอเลย

คำถามเหล่านี้กินพื้นที่ในหัวสมองของกู้ซีเฉียว เธอจ้องมองจอดำมืดเบื้องหน้า สมองยังจับต้นชนปลายไม่ถูก

แต่สิ่งที่ถังชิงหงเห็นคือ เด็กผู้หญิงคนนี้กำลังเพ่งตาดูอากาศที่มองไม่เห็น เธอจ้องตาเขม็ง โชคดีที่เธอเป็นคนหน้าตาดี ที่แม้จะอยู่ในอาการเหม่อ แต่เธอก็เป็นคนเหม่อลอยที่สวย เธองามน่ามองยิ่งนัก

“เธอไม่ต้องกลัว จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับที่นี่ ถ้าเธอไม่อยากให้พวกชาวบ้านย้ายออก ฉันก็พอจะมีวิธีอยู่” ถังชิงหงถอนหายใจเล็กน้อย เมื่อคิดถึงคนๆ นั้น คิ้วงามก็ขมวดเล็กน้อย “มีคนๆ หนึ่งที่สามารถจัดการกับปัญหานี้ได้ ถ้าพวกเราเอาไม่อยู่จริงๆ ก็ค่อยไปให้เขาช่วย”

แม้เขาจะไม่อยากยอมรับว่าตัวเองด้อยกว่าคนๆ นั้นก็ตามที

“ขอบคุณ” กู้ซีเฉียวพ่นลม เก็บจอในระบบ เก็บกระบอกไม้ไผ่ไว้ในกล่องพัสดุ แหงนหน้ามองแสงอาทิตย์อัสดงที่เปื้อนผืนฟ้า แสงสีแดงสดย้อมหมู่บ้านให้ดูชวนฝัน หัวใจของเธอเต้นแรง “ฉันจะออกไปข้างนอกแป๊บหนึ่ง”

ถังชิงหงไม่รู้ว่าเธอกำลังจะทำอะไร เธอเพียงแต่เดินขึ้นไปชั้นบนและกลับลงมาพร้อมกระดานวาดรูป

ห่างไม่ไกลจากตัวบ้านมีเนินเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง หากขึ้นไปบนนั้นจะสามารถมองเห็นหมู่บ้านได้แบบสามร้อยหกสิบองศา สิ่งที่กู้ซีเฉียวถือติดมือมาด้วยคือสีน้ำมัน เพราะการใช้เทคนิควาดภาพเช่นนี้สะดวกกว่าการวาดภาพเขียนแบบจีนเป็นไหนๆ เธอจัดแจงวางกระดานวาดรูป นั่งลงบนเนินเขาและเริ่มวาด

เธอใช้เทคนิคพิเศษในการวาดโดยเริ่มจากการลงสีบนผ้าใบก่อนหนึ่งชั้น รอจนสีแห้งแล้วจึงทาชั้นที่สองลงไป ส่วนใหญ่จะเน้นการใช้แสงและเงา เมื่อสายตามองสีสองสีที่ซ้อนกันจะเห็นเป็นสีที่สาม อีกทั้งยังทำให้ภาพดูมีความมิติมากยิ่งขึ้น ภาพที่เธอวาดไม่ต่างจากการทดสอบฝีมือการวาดและทักษะในการใช้สีของจิตรกรอย่างไรอย่างนั้น

เธอบรรจงลงสีซ่อนทับกันหลายชั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสีโทนอุ่น กู้ซีเฉียวมองผ้าใบพลางลูบคาง เธอหยิบพู่กันขึ้นมาแต่งเติมสีฟ้าและสีโทนเย็น สีโทนอุ่นและสีโทนเย็นเป็นเสมือนสาระสำคัญของภาพ วิวทิวทัศน์ที่ดูไกลออกไปจะใช้สีโทนเย็น ความต่างระหว่างสีทั้งสองโทนจะช่วยสร้างเส้นแบ่งระหว่างพื้นที่ ความหนาของเส้นสีมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หากเป็นส่วนที่อยู่ใกล้สายตาเธอจะใช้เส้นหนา และส่วนที่อยู่ไกลออกไปจะใช้เส้นบาง ซึ่งความหนาและความบางจะช่วยเน้นให้ระยะในภาพดูเหมือนว่าอยู่ห่างกัน

ในตอนนั้น ชาวบ้านที่ไปจับปลาส่วนใหญ่เริ่มกลับกันมาแล้ว สือโถวถือปลาสดพวงใหญ่มาที่ประตูบ้านกู้ซีเฉียว แต่เมื่อไม่เห็นเจ้าของบ้าน สือโถวจึงชำเลืองไปที่ถังชิงหงแวบหนึ่ง วางปลาก่อนจะรีบหันหลังวิ่งหนีไป

ถังชิงหงที่ถูกเกลียด …นอกจากกู้ซีเฉียวแล้ว เด็กนี่เป็นคนที่สองที่แสดงท่าทีเกลียดเขาขนาดนี้

ใบหน้าอบอุ่นงามดุจหยกชะงักไปชั่วครู่ เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมทั้งคู่ถึงได้ดูจงเกลียดจงชังเขานัก

สือโถวเดินวนอยู่แถวๆ ประตูบ้านสองสามทีก่อนจะหันไปเห็นกู้ซีเฉียวที่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่เนินเขา แววตาของเด็กชายเป็นประกาย เขารีบวิ่งไปหา “พี่เสี่ยวกู้ ทำอะไรอยู่”

“วาดรูป” กู้ซีเฉียวหยุดวาด

“ของพวกนี้คืออะไร” สือโถวมองสีที่ผสมปนเปบนผ้าใบแล้วดวงตาก็เบิกกว้าง “น่าเกลียดจัง พี่เสี่ยวกู้ พี่นี่วาดรูปแย่กว่าผมอีก!”

กู้ซีเฉียว … เอาเป็นว่าความสัมพันธ์ของเราจบลงตรงนี้แล้วกัน

สือโถวยังคงพึมพำไม่เลิก กู้ซีเฉียวสูดลงหายใจเข้าปอดลึกๆ หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาให้เด็กชาย สือโถวรับไป ปลดล็อกหน้าจออย่างชำนาญ จากนั้นก็กดเข้าเกมที่กู้ซีเฉียวมักจะเปิดให้เล่น หลังจากเล่นไปได้ห้านาที…เขาก็ตาย เขาเริ่มใหม่ อีกสองนาที…ก็ตายอีก

กู้ซีเฉียว … และนั่นแหละคือสิ่งที่เธอต้องการ

หลังจากที่ระบบปรับปรุงเกมนี้ก็จัดการกับเด็กพวกนี้ได้อยู่หมัด ระบบที่นั่งอยู่ในพื้นที่เสมือนจริง แกล้งทำเป็นเช็ดน้ำตาให้สือโถว ก็เล่นมายั่วโมโหกู้ซีเฉียวตอนที่เธออารมณ์ไม่ดี มันช่าง…มีความสุขจริงๆ

ซูเหวินและเพื่อนของเขาจับปลามาจำนวนมาก ซึ่งต้องยกความดีความชอบให้พวกหนุ่มๆ มื้อเย็นพวกเขาตกลงกันว่าจะจัดปิกนิกกินปลากลางแจ้ง ซูเหวินไม่อยากขัดความสุขของคนอื่นๆ เพียงแต่เขาไม่กล้าให้เพื่อนมานั่งก่อไฟที่ลานบ้านของกู้ซีเฉียวจึงให้ทุกคนไปเจอกันที่ริมธารข้างบ่อปลา คนกลุ่มหนึ่งคอยอยู่ที่นั่นเพื่อเตรียมปลาสำหรับปรุงอาหาร ส่วนคนอีกกลุ่มกลับไปเอาอุปกรณ์ปิกนิกและวัตถุดิบอื่นๆ

ขณะที่เดินกลับมา พวกเขาเห็นคนสองคนกำลังนั่งเล่นอย่างสุขอารมณ์อยู่บนเนินเขา

แสงอาทิตย์สีแดงอมส้มสาดส่องเงาร่างของทั้งคู่ ผิวพรรณขาวใสราวหิมะของหญิงสาวสะท้อนไอแสงอบอุ่น ขนตางอนยาวคู่สวยหลุบต่ำ ซ่อนนัยน์ตาสดใส พู่กันในนิ้วเรียวบิดพลิ้วไปมาราวกับเต้นระบำ อากัปกิริยาของหญิงสาวงามประหนึ่งภาพวาดหมึกจีนที่เคลื่อนไหวได้อย่างไรอย่างนั้น

แม้พวกเขาจะเห็นจากระยะไกลและมองเห็นสีหน้าของเธอไม่ชัด แต่นั่นกลับทำให้ฝีเท้าของพวกเขาชะงักไปชั่วครู่ คนกลุ่มนั้นไม่กล้าเข้าไปขัดจังหวะหญิงสาว

ซูเหวินยืนอยู่ด้านหลังซึ่งห่างออกไปไม่ไกล เขาเห็นสีสันที่ผสมกันบนผ้าใบ ถึงเขาจะไม่ได้เรียนวาดรูปและไม่มีความรู้ในด้านนี้จึงยืนมองนิ่งๆ ฝ่ายเปาซินอี๋ที่ยืนอยู่ข้างหลังชายหนุ่มเชิดคางเล็กน้อยพลางกล่าว “นายไม่ได้เรียนอะไรพวกนี้สักหน่อย ดูออกด้วยเหรอ”

ชายหนุ่มยังไม่ทันตอบสนอง แววตาเหม่อจ้อง “คนสวย…”

เปาซินอี๋ ให้ตายเหอะ!

ครู่หนึ่งกว่าชายหนุ่มจะหลุดจากภวังค์ เขามองแววตาลุ่มลึกของเปาซินอี๋ ใบหน้าเรื่อสีแดง “คนสวยใช้เทคนิคการวาดโปร่งใสแบบโบราณ ต้องเป็นคนมีฝีมือขั้นเทพเท่านั้นถึงจะใช้เทคนิคแบบนี้ได้ ไม่ว่ารูปที่เธอวาดจะออกมาแบบไหน การใช้เทคนิคนี้ได้ก็นับว่าเก่งแล้ว”

เปาซินอี๋มองไปที่ชายหนุ่มแต่ไม่ได้กล่าวต่อ หันไปมองวาดภาพที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ก่อนจะผุดหัวเราะ “ยังไม่ไปอีก แบบนี้น่ะสู้ฉันที่เป็นมือสมัครเล่นไม่ได้ด้วยซ้ำ”

ซูเหวินขมวดคิ้ว เขาไม่ได้พูดอะไรและไม่ยอมเดินไปไหนทั้งนั้น ส่วนผู้ชายคนอื่นๆ อาการหนักกว่า

สือโถวได้ยินสิ่งที่เปาซินอี๋พูดจึงชำเลืองมองไปทางนั้น เด็กน้อยแสร้งพูดลอยๆ “ครูเคยบอกว่าอีกาเป็นสัตว์ที่น่ารังเกียจที่สุด[1] เมื่อก่อนผมไม่เชื่อ พอมาคิดๆ ดูตอนนั้นผมคงเด็กเกินไป”

“…” เปาซินอี๋โกรธจนหน้าเขียว เธอจะถือสาไอ้เด็กนี่ได้เหรอ

ฉะนั้นเธอจึงยืนนิ่งๆ คอยดูว่ากู้ซีเฉียวจะกู้สถานการณ์อย่างไร แต่หลังจากนั้นเพียงไม่นาน เธอก็รู้สึกเหมือนถูกตบหน้า

ผ้าใบถูกลงสีชั้นแล้วชั้นเล่า สีน้ำมันที่ผสมซ้อนหลายชั้นนูนขึ้นเป็นโครงเส้น กู้ซีเฉียวแต่งเติมสีแดงอมส้มลงไปทำให้ส่วนที่เป็นท้องฟ้าในภาพเหมือนถูกเปลวเพลิงลามเลีย ภายใต้แสดงอาทิตย์อาบฟ้าทำให้ทั้งหมู่บ้านแลดูสงบเงียบ ภาพนี้สะท้อนวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของผู้คนตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตก

ตอนแรกสือโถวนั่งทำหน้าหน่ายเล่นเกมอยู่ข้างๆ กู้ซีเฉียว ประเดี๋ยวก็นั่งถอนหญ้า ประเดี๋ยวก็นั่งนับแมลง ไม่ได้รู้สึกสนใจอะไรจริงจัง แต่ครั้นภาพวาดของกู้ซีเฉียวเริ่มดูเป็นรูปเป็นร่าง เด็กน้อยก็มองด้วยสายตาตื่นตะลึง ดวงตาเบิกโพลงจดจ้องภาพนั้นตาไม่กะพริบ

แค่มองปราดเดียวเขาก็รู้ได้ในทันทีว่านั่นคือภาพหมู่บ้านของพวกเขา ภาพของหมู่บ้านที่ถูกอาบด้วยแสงอาทิตย์อัสดงดูงดงามแต่แข็งแกร่ง แม้สือโถวไม่ได้เข้าใจเกี่ยวกับศาสตร์การใช้สีน้ำมัน แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงเสน่ห์ของภาพวาดผืนนั้น เด็กชายเอื้อมมือออกไปสัมผัสแผ่วเบา เหมือนได้เดินเข้าไปใกล้ขึ้นอีกก้าว เขารับรู้ได้ถึงไอเย็นจางๆ ของอาทิตย์ที่ใกล้จะลาลับขอบฟ้า

ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างเปาซินอี๋เลิกคิ้วอย่างจงใจ “ฉันว่าแล้วเชียวว่าคนสวยจะต้องวาดรูปสวยแน่ๆ จากที่เห็น ต่อให้เป็นอาจารย์ของพวกเราก็คงสู้เธอไม่ได้ โคตรสุด เทคนิคการวาดระดับเทพ สีสันสดใส องค์ประกอบของภาพครบถ้วน จากภาพที่เห็นบอกได้เลยว่าทักษะในการควบคุมสีของคนวาดนี้เทพขนาดไหน…”

คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของชายคนนั้น แต่แม้จะเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่นั่นไม่ได้ทำให้ความรู้สึกประทับใจของพวกเขาลดลง

ใบหน้าของเปาซินอี๋หม่นคล้ำ เธอชำเลืองมองไปที่ชายหนุ่มที่ยังเอ่ยชมไม่หยุดปาก อยากจะบีบคอตานี่ให้ตายจริงๆ

กู้ซีเฉียวทราบตั้งแต่แรกแล้วว่ามีคนยืนอยู่ข้างหลังเธอ กว่าภาพวาดจะเสร็จสมบูรณ์ก็เย็นมากแล้ว เธอเก็บภาพแล้วส่งให้สือโถวถือ เมื่อหันหลังกลับมาจึงเห็นว่าซูเหวินและคนอื่นๆ ยังยืนอยู่ตรงนั้น เธอเลิกคิ้ว “พวกนายไม่มีอะไรต้องไปทำหรอกเหรอ”

“มีๆๆ จะไปเดี๋ยวนี้แหละ” เขาฉีกยิ้มและอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชม “เธอวาดรูปสวยมาก”

ชายหนุ่มอีกสองสามคนยืนพยักหน้าเห็นพ้องอยู่ด้านหลัง

เมื่อกู้ซีเฉียวเดินไปแล้ว เปาซินอี๋ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “สวยตรงไหน ผู้หญิงคนนั้นก็แค่เกิดมาหน้าตาดี พวกนายก็ทำเหมือนไม่เคยเห็นไปได้ ไม่รู้ว่าผ่านคนมาตั้ง…”

“ซินอี๋!” ซูเหวินตีหน้าขึงขัง เขามองไปที่เปาซินอี๋ ใบหน้าเย็นชาเช่นนี้มีให้เห็นไม่บ่อยนัก “เมื่อก่อนเธอไม่ได้พูดจาไร้สาระขนาดนี้นี่!”

แม้เมื่อก่อนเธอจะเอาแต่ใจ แต่นั่นก็เป็นนิสัยทั่วไปของผู้หญิง เธอไม่เคยคิดร้ายกับใคร แต่หลายวันมานี้ เธอเปลี่ยนไปมาก มากเสียจนเขาอดคิดไม่ได้ว่า การที่เขาพาเธอมาด้วยเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องจริงหรือ

“ฉันไร้สาระงั้นเหรอ” สีหน้าของเปาซินอี๋เปลี่ยนไปทันที “จากที่ฉันเห็น นายต่างหากที่หลงจนไม่ลืมหูลืมตา!”

เมื่อเปาซินอี๋กล่าวจบเธอก็หันหลังเดินไป โดยที่มีอีกสองคนวิ่งตามไปติดๆ หนึ่งในนั้นหันมามองซูเหวินด้วยสายตาตำหนิ “ซินอี๋พูดถูก ซูเหวิน ตอนเด็กๆ ผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกกำพร้า ฉะนั้นแล้วทั้งรถหรู ทั้งของแบรนด์เนม…เอาเป็นว่านายอย่าไปหลงกลผู้หญิงแบบนั้นเลยจะดีกว่า ถ้าเป็นความสนใจแค่ชั่วครั้งชั่วคราวยังพอเข้าใจ แต่อย่าให้คนๆ เดียวเป็นต้นเหตุให้นายทำร้ายความรู้สึกของซินอี๋เลย ผู้หญิงสวยๆ นายจะไปหาเอาที่ไหนก็ได้!”

คนที่ยังเหลืออยู่คือคนที่สนิทกับซูเหวิน ต่างก็หันมามองหน้ากัน ไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องถึงกลายเป็นแบบนี้ จู่ๆ เด็กหนุ่มที่เรียนศิลปะก็ยกมือขึ้น “อะไรกันหนักกันหนา ผมแค่พูดนิดเดียวเอง พี่ซูพี่อย่าไปฟังสองคนนั้น คนสวยนั่นวาดรูปเก่งจริงๆ ผมเรียนด้านนี้มา ไม่มีใครรู้ดีเท่าผมอีกแล้ว ถ้าเอารูปที่เธอวาดไปขาย รับรองว่าราคาไม่ต่ำกว่าเจ็ดหลักแน่ๆ”

“เจ็ดหลัก? ขนาดนั้นเลย!” มีคนตาเป็นประกาย อุทานออกมาด้วยความตกใจ

เว้นก็แต่ซูเหวิน เขาเพียงแต่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ชายหนุ่มไม่เคยสงสัยในความสามารถของกู้ซีเฉียว เพียงแต่เขาดันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “พวกนายว่าที่เรื่องพวกผู้หญิงถกกันตลอดทั้งบ่าย พวกชาวบ้านจะรู้เรื่องนี้ด้วยรึเปล่า”

“ถ้าอิงตามความขี้เม้าท์ของคนในหมู่บ้านแล้วล่ะก็คาดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น” คนหนึ่งเอ่ยขึ้นนิ่งๆ

ใบหน้าหล่อเหลาหม่นลงเล็กน้อย ซูเหวินเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ค่อยๆ มืดลงพลางถอนหายใจเล็กน้อย สิ่งที่เขาไม่อยากให้เกิดที่สุดก็คือเรื่องพรรค์นี้

[1] ประเทศจีนมีคำกล่าวที่ว่า ปากอีกา ใช้ตำหนิคนปากเสีย

โฮสต์สาวพลิกอดีตกับระบบสุดเทพ

โฮสต์สาวพลิกอดีตกับระบบสุดเทพ

Status: Ongoing
ชาติก่อนเธอเผาตัวตายเพราะถูกทรยศ ชาตินี้เธอย้อนกลับมาเพื่อเขียนอดีตของตนใหม่อีกครั้ง! นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีที่นางเอกมีระบบสุดเทพที่ทำได้ทุกอย่าง!กู้ซีเฉียว ลูกนอกสมรสไร้ค่าจากบ้านนอก ส่วนเกินในสายตาของคนในตระกูลจวบจนวาระสุดท้ายเธอก็ยังเป็นเช่นนั้น ไร้ซึ่งศักดิ์ศรีใดๆแต่ชาตินี้เธอจะเขียนอนาคตของตนขึ้นใหม่จะไม่มีเด็กสาวน่าสมเพชไร้ความสามารถคนเดิมอีกต่อไป มีเพียงหญิงสาวผู้เป็นอัจฉริยะรอบด้าน!เพราะสิ่งที่เธอนำกลับมาด้วยหลังความตายไม่ใช่เพียงพรสวรรค์ดั้งเดิมแต่เป็น ‘ระบบ’ สุดโกงที่จะช่วยแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้เพียงแลกแต้มคะแนนสะสม!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท