บทที่ 98 ปิดฉากอสูรวิญญาณระดับแปด
การตื่นขึ้นของอสูรวิญญาณระดับแปดสะเทือนทั้งหุบเขาพญายม เสียงคำรามเคล้าความโกรธเกรี้ยวแผ่ออกไปเป็นวงกว้าง ส่งผลให้อสูรวิญญาณตนอื่น ๆ โดยรอบสั่นกลัวหลบกลับมุม ไม่กล้าย่างกรายออกมา
ทำให้เหล่าอสูรวิญญาณทั้งหลายสิ้นหวัง
ก่อนหน้านี้มีอสูรวิญญาณพลังสะท้านชั้นฟ้าเลื่อนขั้น ส่งผลให้พวกมันกลัวแทบตาย ไม่กล้าออกหาอาหารแม้จะหิวไส้กิ่ว เพียงมีชีวิตรอดไปวันหนึ่งก็นับว่าดีมากแล้ว เกรงว่าหากย่างกรายออกมาจะเจอกับอสูรระดับสูงเข้า แล้วตอนนี้ยังมีอสูรวิญญาณระดับสูงอีกตัวปรากฏขึ้นอีก…..
ดูท่าพวกมันคงต้องวางแผนออกจากสถานที่นี้โดยเร็ว ไม่เช่นนั้นอาจตายโดยไม่รู้ตัวได้
ที่อีกฝั่งหนึ่งของหุบเขาพญายม ชายหนุ่มสองคน โหลวจวินเหยาและไป๋จือเยี่ยนที่ได้ยินเสียงความวุ่นวายก็หยุดฝีเท้าลง
“นั่นเป็นกลิ่นอายอสูรวิญญาณระดับแปด” โหลวจวินเหยาเอ่ย ทอดสายตามองไปยังที่ไกล “อีกทั้งมันยังเป็นอสูรวิญญาณกลายพันธุ์ ความสามารถเหนือกว่าอสูรวิญญาณระดับแปดธรรมดา”
ไป๋จือเยี่ยนส่ายหน้า “กล่าวกันตามหลักเหตุผล สถานที่ประหลาดเช่นนั้นไม่สมควรปรากฏบนแดนระดับต่ำแบบนี้ อีกทั้งระดับของอสูรวิญญาณที่นี่ยังค่อนข้างสูง เกือบจะมีระดับเทียบเท่าอสูรวิญญาณในดินแดนระดับกลางแล้ว”
โหลวจวินเหยาหลุบตาลงต่ำ ครุ่นคิดอยู่ครู่ก่อนเอ่ยขึ้นช้า ๆ “การมีอยู่ของสถานที่นั้นไร้เหตุผล และตอนนี้…. หุบเขาพญายมยังจมลงสู่ผืนดิน ไม่อาจกลับขึ้นมาบนดินได้อีก”
พูดจบก็ตวัดสายตาดำมืดมองไป๋จือเยี่ยน “สำคัญคือต้องหาสัตว์เลี้ยงของเจ้าให้เจอเสียก่อน หากมันไม่รู้จักชั่วดี ทำร้ายแม่นางน้อยเข้า ข้าไม่สนว่าเจ้าคิดจะใช้มันทำสิ่งใด แต่ข้าจะจัดการมันแน่”
ไป๋จือเยี่ยนมุมปากกระตุก ต้องโหดร้ายเช่นนั้นเลยหรือ? อีกอย่าง แม่นางน้อยนั่นไม่ใช่ประเภทที่จะเสียเปรียบง่าย ๆ เจ้ารู้หรือไม่?
ชิงอวี่ถูกพลังเจ้าตะขาบที่เลื่อนระดับผลักไปด้านข้าง เห็นว่าร่างมันใหญ่ขึ้นหลายเท่า ปากมันที่เดิมทีดูไม่น่ากลัวมากนัก ทว่าตอนนี้กลับดูน่าขวัญผวา บัดนี้ไม่ว่าเถาวัลย์มืดจะแข็งแกร่งเพียงไหนก็ไม่อาจกักขังมันไว้ได้อีก เส้นสายสีดำเริ่มล่าถอยกลับลงใต้ดินไป
“นายหญิง” จั้งไหมเห็นดังนั้นก็เริ่มเป็นห่วง เคลื่อนกลับมาอยู่ข้างกายนายหญิงตนแล้วเอ่ยเสียงจริงจัง “ใช้ข้าสินายหญิง! ตั้งแต่มาถึงที่โลกประหลาดแห่งนี้นายหญิงกับข้าก็ไม่เคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันสักครั้ง”
ชิงอวี่เหลือบมองเขาคราหนึ่ง “กลับไปดูเสี่ยวเป่ยให้ข้า อย่ามายุ่งตรงนี้”
“แต่นายหญิงอาจบาดเจ็บได้!”
“แล้วอย่างไร?” ชิงอวี่ท่าทีสงบนิ่ง “มีแต่บาดเจ็บหลั่งโลหิตจึงจะแข็งแกร่งขึ้นได้”
นัยน์ตางดงามเย้ายวนของเด็กสาวพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงและสีทอง กลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่างแปรเปลี่ยนไปทันใด เป็นความเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลให้จั้งไหมสั่นสะท้าน ใบหน้าเขาแต้มด้วยรอยตื่นเต้น
“แค่อสูรวิญญาณระดับแปดเท่านี้ ไม่มีค่าให้ข้าต้องใส่ใจ วันนี้เป็นวันแรกและจะเป็นวันสุดท้ายที่มันได้กลายเป็นอสูรวิญญาณระดับสูง”
เงาร่างที่เห็นได้ชัดว่าทั้งผอมทั้งบางพลันแผ่กลิ่นอายราวกับราชันที่ก้มมองโลกด้วยนัยน์ตาดูถูก
นัยน์ตาจั้งไหมแปรเปลี่ยนเป็นล้ำลึก นี่คือนิสัยที่แท้จริงของนายหญิง หยิ่งผยองทระนงตัว มีเพียงนายหญิงเท่านั้นที่คู่ควรสืบต่อวิชาฝังวิญญาณ! แม้ตอนนี้จะต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น พละกำลังไม่แข็งแกร่งเช่นกาลก่อน หากแต่ลึกลงไปภายในยังคงมีจิตวิญญาณที่คงความดื้อรั้นทรงพลังอยู่
แม้ตะขาบปีศาจกลายร่างจะยังคงไร้ตาไร้หู แต่ตอนนี้ประสาทสัมผัสต่าง ๆ ของมันไวขึ้นเป็นร้อยเท่า ดูท่ามันไม่จำเป็นต้องจับสัมผัสการเคลื่อนไหวของศัตรูเพื่อระบุเป้าหมายอีก ศิลาที่เยี่ยนซีโหรวและเยี่ยนซีอู่ซ่อนอยู่พลันถูกพิษจากตะขาบปีศาจทำลายจนสิ้น หากหลบไม่ทัน ร่างก็คงสลายกลายเป็นกองของเหลวตรงนั้นแล้ว
เพื่อไม่ให้เด็กเจ้าปัญหาสองคนนี้เป็นตัวถ่วงชิงอวี่ จั้งไหมจึงดึงพวกนางมาอยู่ข้างกาย ก่อนจะยกร่างไร้สติของชิงเป่ยขึ้นแล้วถอยออกมาราวร้อยเมตร
ยามล่องหน มีเพียงชิงอวี่ที่มองเห็นเขาได้ ดังนั้นเมื่อเด็กสาวทั้งสองเห็นร่างชิงเป่ยลอยขึ้นบนอากาศ พวกนางที่รู้สึกเช่นกันว่าร่างกายตนกำลังถูกลากไปยังทิศหนึ่งก็มองหน้ากัน ดวงตาสับสนมึนงงไม่อยากเชื่อ
แต่เมื่อเห็นว่ามันพานางมายังที่ปลอดภัย พวกนางก็ไม่กลัวอีก
เมื่อเห็นว่าชิงอวี่เผชิญหน้าอยู่กับอสูรประหลาดหน้าตาน่ากลัวทั้งยังตัวใหญ่ยักษ์เพียงคนเดียว เยี่ยนซีโหรวก็ขมวดคิ้วแล้วหัวเราะถามเสียงขื่นขึ้น “นางจะตายหรือไม่?”
เด็กหนุ่มผมทองที่กำลังตั้งใจมองภาพการต่อสู้ดันได้ยินคำถามนั้นเข้า ตวัดสายตามุ่งร้ายไปยังเด็กสาวสองคนแล้วส่งแรงเคาะทีหนึ่งไป เยี่ยนซีโหรวส่งเสียงร้องดังด้วยความเจ็บปวด นางมองซ้ายมองขวา หน้าตาเหมือนเห็นผี
“เป็นอะไรไป?” เยี่ยนซีอู่ถามด้วยความฉงนเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอามือกุมหัวด้วยความกลัว
“เปล่า ไม่มีอะไร” เยี่ยนซีโหรวตอบเสียงเจื่อน
หรือจะเจอผี? นางพึมพำเพียงแผ่วเบาแต่กลับถูกได้ยินเสียอย่างนั้น? คงไม่ใช่ชิงอวี่กระมังที่เคาะหัวนางเมื่อครู่?
หางหนาทรงพลังกวาดมาทางชิงอวี่ นางกระโดดหลบโดยง่าย เมื่อหันไปก็พบว่าพื้นตรงที่นางยืนอยู่เมื่อครู่กลายเป็นหลุมลึก หากหลบหางที่ฟาดมาเมื่อครู่ไม่ทันก็คงกลายเป็นมนุษย์แบนราบกับพื้นตรงนั้นแล้ว
นัยน์ตานางเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก ในเมื่อเจ้านี่หมายจะสังหารนางเช่นนี้ เช่นนั้นนางก็จะไม่ยั้งมือ!
ภายในปากที่อ้ากว้างเพื่อพ่นพิษคือฟันที่คมราวกับใบมีดที่เกยกันอยู่ ท่าทางมันจะอยากฉีกกระชากร่างนางเป็นชิ้น ๆ เมื่อมันเข้ามาใกล้ กลิ่นทีแผ่ออกจากปากนั้นทำให้ชิงอวี่หน้าบูดเบี้ยว นัยน์ตามีแววสังหาร
ร่างบางเหินขึ้นกลางอากาศ กระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนหัวตะขาบปีศาจ ฝ่ามือนางส่องแสงหนึ่งออกมา ก่อนที่พริบตาต่อมาเจ้าตะขาบจะเปล่งเสียงร้องเจ็บปวดดังถึงชั้นฟ้า เสียงดังสนั่นสะเทือนขุนเขา
จากนั้นหัวของมันที่เต็มไปด้วยฟันแหลมคมก็เกิดรอยแยกผ่ากลาง โลหิตมากมายพุ่งกระฉูดออกมาไม่หยุด
พริบตานั้น ความโกลาหลที่ปะทุขึ้นยิ่งเลวร้ายลงกว่าเดิม ราวกับฟ้าจะถล่มผืนดินจะแยกจาก ส่งผลให้เหล่าอสูรวิญญาณทั้งหายสั่นกลัว ใจเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ได้แต่คิดว่าวันนี้คงไม่รอดแล้วเป็นแน่แท้
แม้ชิงอวี่จะเคลื่อนตัวว่องไว หลบไปยังด้านข้างตะขาบปีศาจ แต่เพียงแวบหนึ่งที่เผลอไผลกลับถูกหินที่สะบัดมาพร้อมกับหางยักษ์ของมันพุ่งเข้ากระแทก ความเจ็บปวดแสนสาหัสพลันแล่นทั่วร่าง นางกัดริมฝีปากแรงโดยไม่รู้ตน ดูท่าแขนนางจะเคลื่อน
นัยน์ตาเด็กหนุ่มผมทองทะมึนลงเมื่อเห็นภาพนั้น ลูกตาสีเงินและทองงดงามถูกหมอกดำทำให้แปดเปื้อน ดูแปลกประหลาดชั่วร้ายไม่น้อย
จิตวิญญาณอาวุธนั่นเชื่อมต่อกับจิตใจผู้ทำพันธสัญญา และแม้จิตใจชิงอวี่จะถูกความเจ็บปวดทำให้ไม่อาจนิ่งสงบได้ นางก็ยังสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนไปของจั้งไหม ขมวดคิ้วเป็นปมแน่น “ไหมไหม…..”
นางไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มแอบไปทำสิ่งใดที่นางไม่รู้มาก่อน วิญญาณมนุษย์ชั่วร้ายที่เด็กหนุ่มกลืนเข้าไปเพื่อคืนร่างวิญญาณคงไม่ใช่คนธรรมดา ไม่เช่นนั้นจะสามารถส่งผลกระทบกับไหมไหมได้มากถึงเพียงนี้หรือ?
“ข้าไม่เป็นไร เจ้าใจเย็นลงก่อน อย่าเพิ่งเสียสติ”
เด็กหนุ่มกะพริบตาทีหนึ่ง สีหน้าของเขาช่างใสซื่อน่ารัก หากแต่ภายใต้ใบหน้านั้นกลับมีไอสังหารแฝงอยู่ “แต่มันทำร้ายนายหญิง”
ใบหน้างามของเด็กสาวมีหยดเลือดประดับอยู่เต็ม เมื่อครู่นางถูกเหวี่ยงออกมาไม่ทันระวังจึงได้แผล นางยกนิ้วเรียวขึ้นปาดเลือดบนหน้าออก เงยหน้าขึ้นมาอีกทีนัยน์ตานางก็เต็มไปด้วยแววสังหาร
ริมฝีปากสีผลอิงเถาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มงามน่ามอง “ไหมไหม เจ้าคิดว่าข้าจะใช้เวลา….. จัดการเจ้านี่นานเท่าไร?”
เด็กหนุ่มตาเป็นประกายวาบ มองไปยังตะขาบปีศาจที่กำลังโกรธเกรี้ยว มันสะบัดร่างไปมาสร้างพายุทรายฟุ้งหลายตลบ “มันบ้าคลั่งอยู่เช่นนี้จึงมีพลังเทียบเท่ากับอสูรวิญญาณระดับเก้า หากเป็นนายหญิงในอดีตคงสังหารมันได้ในพริบตา แต่นายหญิงในตอนนี้….. ชั่วหนึ่งก้านธูปกระมัง”
ชิงอวี่ฟังคำพูดระมัดระวังเด็กหนุ่มของเด็กหนุ่มนิ่ง ดูท่าเขาจะเกรงว่าพูดออกไปแล้วจะทำให้นางเสียศักดิ์ศรี แต่ก็ยังเลือกพูดออกมาตามตรง
นางหัวเราะเสียงเบาจากนั้นเดินเข้าไปหาอสูรวิญญาณที่กำลังอาละวาดอย่างหนัก ท่ามกลางสายลมอันบ้าคลั่ง นางพึมพำประโยคหนึ่งออกมาเสียงเรียบ “ชั่วสิบลมหายใจก็มากเกินพอ”
ตาที่หรี่ลงของจั้งไหมพลันเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นว่ากลิ่นอายบนร่างเด็กสาวแปรเปลี่ยนไปในพริบตา เขาเผลอกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว
เขารู้ดีว่าหากชิงอวี่ตัดสินใจแล้วจะไม่เปลี่ยนใจอีก นางไม่ชอบให้ใครยื่นมือเข้ายุ่งเรื่องของนาง ดังนั้นไม่ว่าจั้งไหมจะเป็นกังวลมากมายเพียงไหนก็ทำอันใดไม่ได้ มีแต่เพียงกดความกังวลนั้นไว้ภายในแทน
รออีกหน่อยเถอะ…..
หากมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น ถึงจะถูกนางตำหนิหนักแต่เขาจะไม่ยอมยืนมองอยู่เฉย ๆ แน่
แม่เมื่อเขาเงยหน้ามองภาพฉากตรงหน้าอีกครั้ง ก็พบว่าตนเองกังวลไปเสียเปล่า
นัยน์ตาหงส์แฝงแววกระหายเลือดหรี่ลงเล็กน้อย ฝ่ามือที่มีไฟสีทองเหลือบแดงส่งเสียงเปรี๊ยะ ๆ กลายเป็นกรงเล็บหนึ่ง จากนั้นนางก็ส่งกรงเล็บนั้นเข้าปะทะที่กลางหัวตะขาบปีศาจที่ถูกการโจมตีเมื่อก่อนหน้าผ่าจนแยกออก ส่งผลให้โลหิตมากมายพุ่งกระฉูดออกมาอีกครา หากแต่ไม่มีหยาดโลหิตใดที่เปรอะเปื้อนชุดขาวบริสุทธิ์ของนางเลย
เสียงเนื้อหนังถูกฉีกกระชากกระดูกถูกหักนั้นฟังแล้วรู้สึกหนาวลึกถึงกระดูก
ตะขาบปีศาจไม่อาจปกป้องตนเองได้ เปลวเพลิงที่ราวกับมาจากโลกันตร์ปะทะเขากับแผลเก่าลามจากหัวไปจนถึงหาง นิ้วเรียวของเด็กสาวที่ดูอ่อนแอเปราะบางแทงลึกลงใกล้จะถึงแก่นผลึกวิญญาณของมัน พยายามกระชากมันออกจากร่าง
ไม่เคยมีครั้งไหนที่เจ้าอสูรวิญญาณจะรู้สึกหวาดกลัวเท่าครั้งนี้ มันยังมีชีวิตและลมหายใจ แต่กลับต้องเผชิญกับความรู้สึกเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัสยามแก่นผลึกวิญญาณของมันถูกดึงออกมา
แก่นพลังของอสูรวิญญาณนั้นอยู่ในแก่นผลึกวิญญาณ หากไร้แก่นผลึกวิญญาณ แม้มันจะยังไม่ตาย แต่ก็จะกลายเป็นเพียงแมลงไร้ค่าอ่อนแอตัวหนึ่งที่ไร้ความสามารถในการโจมตี อายุขัยมันจะลดลงมาก นับเป็นความทรมานที่ไม่อาจจินตนาการถึง
ตะขาบปีศาจรู้สึกเสียใจนัก เหตุใดมนุษย์อ่อนแอผู้นี้จึงกลายเป็นดุดันในพริบตาได้ ความร้อนประหลาดยังคงกัดกินภายในร่าง ทำให้ทั่วทั้งร่างรู้สึกราวกับจะระเบิด
ตะขาบปีศาจทรมานใจนัก มันไม่อยากยอมแพ้เท่านี้ มันอยากดิ้นรนและหนีไปให้พ้นเงื้อมมือนาง
หากแต่พริบตาต่อมา เนื้อหนังและเลือดของมันก็เริ่มสลายหายไป เริ่มตั้งแต่หางของมันขึ้นไปทีละนิด หายไปจนเหลือเพียงกระดูกขาวๆ เช่นนี้น่าสะพรึงกลัวนัก เป็นเพราะมันรู้สึกได้อย่างเด่นชัดว่าความตายกำลังคืบคลานเข้ามา
ไม่! ไม่ใช่เช่นนี้! ไม่มีทาง!
มันเป็นอสูรวิญญาณระดับแปด! อสูรวิญญาณระดับแปดเชียว! เป็นอสูรวิญญาณระดับที่สูงที่สุดในแดนนี้! วันใหม่ของมันยังไม่ทันได้เริ่ม กลับต้องมาจบลงตอนนี้แล้วหรือ?
เรื่องเช่นนี้มันรับไม่ได้!!
มันคำรามเสียงเศร้าออกมาพร้อม ๆ กับความมืดกลุ่มสุดท้ายบนท้องฟ้าที่พลันสลายหายไป เมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นกลายเป็นวันใหม่ ร่างของตะขาบปีศาจยืดตัวตรงอยู่กับที่ เหลือเพียงโครงกระดูก
ในมือของเด็กสาวคือแก่นผลึกสีแดงสด ใหญ่ราวกำมือทารก มันส่องประกายแวววาวน่ามองออกมา นางยกยิ้มที่มุมปาก “หึ ได้มาแล้ว”