ศูนย์กลางของป่าโคลนสาบสูญนั้นกว้างใหญ่มาก ด้วยเวลามีจำกัด ทางสำนักจึงทำเพียงจัดตั้งลานประลองชั่วคราวขึ้นมาเท่านั้น
รอบข้างคือเกราะที่เหล่าผู้อาวุโสผู้มีพลังบำเพ็ญล้ำลึกช่วยกันสร้างล้อมรอบไว้ และจะเปิดทำงานเมื่อมีคนเข้าลานประลอง คนด้านนอกไม่อาจยุ่งเกี่ยว และคนด้านในไม่อาจออกไปได้ก่อนการต่อสู้จะสิ้นสุดลงหรือมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมแพ้ไปก่อน
รอบ ๆ ลานประลองมีที่นั่งสิบที่นั่งวางเรียงรายอยู่ ท่านเจ้าสำนักจะไม่ได้เข้าร่วมพิธี ด้วยเพราะที่ผ่านมาเป็นผู้อาวุโสทั้งห้าและศิษย์ที่รั้งอันดับ 1-5 เป็นผู้เปิดและเข้าร่วมงาน แต่ในเมื่อเหล่าศิษย์อันดับต้น ๆ นั้นต่างเป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ ทำสิ่งใดตามใจตน เว้นซู่หลีม่อไว้คนหนึ่งที่ยังพอจะโผล่หน้าโผล่ตามาบ้าง คนอื่น ๆ ในสำนักยังรู้จัก แต่นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครในสี่อันดับที่ศิษย์คนอื่น ๆ รู้จักหน้าตาเลย
เจ้าสำนักสำนักละอองหมอกเป็นคนลึกลับ ไม่เคยเข้าร่วมงานพิธีสำคัญใด ๆ เลย ไม่แน่ว่าศิษย์ห้าอันดับแรกอาจต้องการเลียนแบบเขา แต่ด้วยพวกเขามีสิทธิ์ทำตัวเย่อหยิ่งเอาแต่ใจ ท่านเจ้าสำนักจึงปล่อยให้เป็นไปเช่นนั้น
สำนักละอองหมอกมักจะปฏิบัติกับศิษย์ที่มีความสามารถสูงส่งเป็นพิเศษ
งานประลองจะเริ่มต้นขึ้นในยามเฉินหนึ่งเค่อหลังจากพระอาทิตย์ทอแสง หากแต่ตอนนี้มีผู้คนมากมายพากันหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุดตั้งแต่ก่อนยามเฉินแล้ว
ส่วนมากเป็นศิษย์สำนักละอองหมอกที่สวมชุดสำนักสีขาว และศิษย์สายรองที่สวมชุดสีเขียวหม่น หากครั้งนี้พวกเขาสามารถโดดเด่นขึ้นมาได้ ไม่แน่ว่าอาจเบียดเข้าไปเป็นศิษย์สายหลักได้สำเร็จ ได้รับทรัพยากรในการบำเพ็ญตนที่มากขึ้นกว่าเดิมก็เป็นได้
“เพ้ย ๆ! โชคร้ายจริง! ข้าเกือบจะออกมาไม่ได้แล้ว!” น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวหนึ่งร้องเพ้ยและสบถด่าเสียงดัง กวาดสายตาคนโดยรอบให้หันไปมอง
พวกเขาเห็นคนผู้หนึ่งสวมชุดมีราคา หากแต่ยับยู่ยี่ไปทั้งร่าง อีกทั้งยังเปรอะโคลนสกปรก เลอะเทอะเปรอะเปื้อนไม่ต่างจากขอทานคนหนึ่ง
เสียงกลั้วหัวเราะของคนผู้หนึ่งเอ่ยถามเขาขึ้น “พี่ชาย เกิดอะไรขึ้นกับท่านกัน? ท่านเพิ่งคลานออกมาจากหลุมโคลนหรืออย่างไร?”
คนผู้นั้นร้องเพ้ยออกมาอีกคำด้วยความแขยง ก่อนเอ่ยเสียงเศร้า “ข้าไม่อยากเล่า ข้าเดินทางราบรื่นมาโดยตลอด แต่เมื่อถึงจุดเลี้ยวสุดท้ายกลับมีเถาวัลย์ประหลาดโผล่ขึ้นมาฉุดขาข้าไว้ไม่ทันตั้งตัว หากข้าตอบสนองช้าไม่ทันการณ์ก็คงถูกบ่อโคลนดูดลงไปแล้ว”
“พี่ชาย ท่านโชคดีไม่น้อย อย่างน้อยก็ยังรอดชีวิตมาได้”
“ถูกต้องแล้ว โชคดีที่สวรรค์ยังมีตา”
เห็นได้ชัดว่ากลุ่มคนเหล่านี้คือผู้คนที่พากันเสี่ยงชีวิตตนเพียงเพื่อมาชมการประลองในครั้งนี้ แม้จะอยู่ในสภาพไม่สู้ดีนัก แต่ก็สามารถผ่านพ้นเดินทางมาสำเร็จ ไม่อาจรู้ได้ว่าคนที่เดินทางตามหลังมาจะโชคดีเช่นพวกเขาหรือไม่
หลังจากเวลาผ่านไปราวหนึ่งถ้วยชา เงาร่างอีกหลายคนก็เดินเข้ามาเรื่อย ๆ เป็นทั้งศิษย์ชายและหญิงในชุดสำนักสีขาว ที่ปลายแขนเสื้อและคอปกปักลายเมฆ
คนที่สามารถดึงสายตาได้มากที่สุดในหมู่คนย่อมเป็นเพียงสตรีหนึ่งเดียวในสิบอันดับ ยอดสตรีอัจฉริยะแห่งแคว้นชิงหลาน เยี่ยนหนิงลั่ว นั่นเอง
ใบหน้างดงามจนน่าตกตะลึง ท่วงท่าสูงส่งหาใครเทียม กลางหน้าผากยังมีรอยดอกจื่อยวนแต่กำเนิด
ทำนายกันว่าผู้ที่สามารถแต่งงานกับเยี่ยนหนิงลั่วได้จะสามารถครอบครองทั่วทั้งแคว้น บรรลุความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ด้วยนางนำโชคดีมากมายมาให้คู่ครอง ดังนั้นนางจึงมีเหล่าผู้หลงในอำนาจหมายตานางไว้มากมายนับไม่ถ้วน
ไม่ใช่เพียงผู้ที่อยู่ในแคว้นชิงหลานที่ชื่นชอบนางเท่านั้น หากแต่ชายหนุ่มในดินแดนอีกสามแห่งจากทั้งหมดต่างก็อยากเอาชนะใจนางให้ได้ หากแต่นางไม่เพียงมีรูปโฉมงดงาม ยังมีพลังบำเพ็ญลึกล้ำ นิสัยเย็นชาของนางยิ่งทำให้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเข้าใกล้นางได้ง่าย ๆ แม้จะไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดนางจึงยกเลิกการหมั้นหมายกับองค์รัชทายาทแคว้นชิงหลานที่มีมาตั้งแต่ทั้งคู่ยังเด็กในครั้งนี้ไป แต่เรื่องนั้นก็ทำให้ผู้คนทั้งหลายใจกล้า หมายจะเกี้ยวพานางให้สำเร็จมากขึ้น
นอกจากเยี่ยนหนิงลั่วแล้ว ยังมีหญิงสาวอีกสองคนที่สวมชุดสำนักสีขาวปักลายเมฆ ทั้งยังมีหน้าตาสะสวยงดงามไม่ต่างกันนัก เยี่ยนหนิงลั่วนั้นรั้งอันดับที่ 9 ส่วนหญิงสาวอีกสองคนอันดับที่ 12 และ 14 อันดับของพวกนางไม่เคยห่างไปไกลจากเยี่ยนหนิงลั่วมากนัก นับเป็นสองคนที่คอยสนับสนุนนางมาโดยตลอด
ไม่นานหลังจากที่พวกนางเดินทางมาถึง คนอีกกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามา คือซวนหยวนเช่อและเหลียนฉ่าวเจี๋ย พร้อมกับเหล่าศิษย์สายหลักอีกหลายคนที่เดินมาพร้อมกัน พวกเขาพูดคุยกันในกลุ่ม หากแต่มีคนผู้หนึ่งพลันกระซิบกระซาบเสียงเบาขึ้น “ที่อยู่ตรงนั้นคือเยี่ยนหนิงลั่วไม่ใช่หรือ?”
เป็นตอนนั้นเองที่ซวนหยวนเช่อเพิ่งจะสังเกตเห็นคนสองสามที่อยู่ด้านหน้า เขาเงยหน้ามองไปยังทิศทางนั้น นัยน์ตาประสานเข้ากับเยี่ยนหนิงลั่ว แล้วทั้งสองก็หลบสายตาออกจากกันในทันที
นับตั้งแต่ที่ยกเลิกการหมั้นหมายไปในวังหลวงครานั้น ทั้งสองคนก็ไม่ได้พบกันอีก เวลาอยู่ในสำนักพวกเขาก็คอยหลบสายตากันตลอด ช่วงนี้คนอื่น ๆ วุ่นวายอยู่กับการเตรียมงานประลอง และเยี่ยนหนิงลั่วก็เพิ่งออกจากบำเพ็ญอย่างสันโดษ ครั้งนี้จึงนับเป็นครั้งแรกที่คนทั้งคู่ได้พบหน้ากันในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา
เยี่ยนหนิงลั่วเบนสายตาไปทางอื่น ไม่คิดจะพูดคุยอันใดกับซวนหยวนเช่อมากนัก
หญิงสาวร่างเล็กน่ารักด้านซ้ายที่มีดวงหน้างดงาม อายุอานามพอ ๆ กับเยี่ยนหนิงลั่ว อีกทั้งยังมาจากตระกูลสูงศักดื์เหมือนกัน นางมีชื่อที่อ่อนโยนและงดงามดั่งดวงหน้า นามว่า เจียงอี้หาน
ส่วนหญิงสาวร่างสูงเพรียวด้านขวามีนามว่า เสิ่นจิง ดูมีคุณธรรมและกล้าหาญ แต่ก็ยังเผยกลิ่นอายงดงามบางอย่างออกมา มีนิสัยสบาย ๆ เป็นกันเอง มีความเป็นธรรมชาติ ตรงไปตรงมาคล้ายกับหญิงสาวในยุทธภพเป็นยิ่งนัก นางหันมองกลุ่มคนที่อยู่ไม่ไกล จากนั้นเอาไหล่กระทุ้งเยี่ยนหนิงลั่ว “ซวนหยวนเช่อผู้นั้น เจ้าถอนหมั้นกับเขาจริงหรือ?”
“อืม” เยี่ยนหนิงลั่วตอบ
“ได้ยินว่าเขาเป็นองค์รัชทายาทแห่งแคว้น มาจากตระกูลสูงส่ง ทั้งยังมีพลังน่ายำเกรง อยู่อันดับที่ 7 ในศิษย์สายหลัก อันดับสูงกว่าเจ้าอีกด้วย เจ้าไม่ชอบคนที่แข็งแกร่งเช่นนี้หรือ? หรือเจ้าสนใจเพียงคนห้าอันดับแรกเท่านั้น?” เสิ่นจิงเอ่ยหยอก
เยี่ยนหนิงลั่วตอบเสียงเรียบ “นิสัยเราเข้ากันไม่ได้ เขาไม่พอใจกับการหมั้นหมายครั้งนี้พอ ๆ กับข้า ดังนั้นข้าจึงยกเลิกการหมั้นหมายเพื่อผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย”
เสิ่นจิงส่ายหน้าช้า ๆ “ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าพวกเจ้าคิดอะไรอยู่”
ในสองคนนี้นับเป็นมังกรคู่หงส์ในหมู่คนทั้งแดน แต่นิสัยหัวดื้อหัวรั้นของคนทั้งคู่ทำให้ไม่อาจประนีประนอมอยู่ร่วมกันได้ ไม่มีใครยอมก้มหัวให้อีกฝ่าย ทำให้สุดท้ายต้องแยกจากกันเช่นนี้ นับว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างใหญ่หลวง
ศิษย์สำนักละอองหมอกยังคงเดินทางหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด ไม่นานก็เดินทางมาถึงจนครบ หลาย ๆ คนยืนล้อมลานประลองเป็นวงกลมใหญ่ เมื่อนับรวมศิษย์ทั้งสายหลักและสายรองแล้ว มีรวมกันทั้งสิ้นห้าถึง 600 คน ดังนั้นที่อยู่ ณ ที่นี้จึงไม่ใช่ศิษย์ทั้งหมดของสำนัก
ก่อนจะเปิดการประลองขึ้น ทางสำนักได้กรองคนมาชั้นหนึ่งแล้ว เนื่องจากจะมีกลุ่มคนเถื่อนจากภายนอกเข้ามาท้าประลองในครั้งนี้ด้วย ดังนั้นผู้ชนะงานประลองในครั้งนี้จะเป็นผู้ที่ต้องต่อสู้กับศัตรูเหล่านั้น
เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป หลากหลายคนต่างรู้สึกราวกับเลือดในกายเดือดพล่าน อยากจะมาสั่งสอนศัตรูสักยก แต่เมื่อรู้ว่าศัตรูที่จะเดินทางมาท้าประลองคือปีศาจแดนสีเลือดผู้ดุร้ายป่าเถื่อน สังหารคนไร้เมตตา คนจำนวนมากก็ล่าถอยไปด้วยความหวาดกลัว
หนึ่งในศิษย์เฝ้าประตูในวันนั้นที่รอดชีวิตกลับมา ไม่รู้เพราะเหตุใดกลับวิ่งพล่านออกมาอย่างบ้าคลั่ง ปากก็ตะโกนกู่ร้องอย่างไร้สติ มือทั้งสองกุมหัวตนแน่น “อย่าสังหารข้า อย่าสังหารข้า…..” เป็นภาพที่ทำให้ทุกคนกดดันยิ่งขึ้นไปอีก
ดังนั้นยอมแพ้เสียตั้งแต่ตอนนี้คงจะทำให้พวกเขามีโอกาสรอดชีวิตได้บ้าง เพราะหากต้องประมือกับแปดปีศาจแดนสีเลือดจริง ไม่แน่ว่าอาจจะตายศพไม่สมประกอบ แล้วใครจะกล้ารับความเสี่ยงเช่นนั้นได้?
พริบตานั้นจำนวนคนที่ขอยอมแพ้การประลองก็มากขึ้นเรื่อย ๆ เป็น 200 คน เมื่อเห็นการกระทำขี้ขลาดเช่นนี้ สำนักละอองหมอกจึงทำการล้างความทรงจำแล้วไล่คนเหล่านั้นออกจากสำนักทันที ไม่อนุญาตให้พวกเขาก้าวเท้าเข้ามาในสำนักอีก การที่ถูกลบล้างความทรงจำทั้งหลายเกี่ยวกับสำนักละอองหมอกนับว่าเป็นบทลงโทษที่โหดร้ายมาก
บนที่นั่งแถวหน้าสุด ผู้อาวุโสทั้งห้าเดินทางมาถึงและนั่งลงบนที่นั่งที่ตระเตรียมไว้แล้ว หากแต่ศิษย์ห้าอันดับที่ควรจะมาดูแลการประลองในครั้งนี้กลับยังไม่ปรากฏตัว
ศิษย์บางคนเริ่มส่งเสียงกระซิบกระซาบแผ่วเบา “พวกคนห้าอันดับแรกหยิ่งผยองพองขนดังเดิม โอ้อวดถึงขั้นนี้ ทำตัวราวกับตนสูงส่งกว่าผู้อาวุโส”
“พวกเขาก็ไม่ได้เป็นเช่นนี้มาวันสองวัน เจ้ายังไม่ชินชาอีกหรือ?” อีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ข้าอยู่ในสำนักละอองหมอกมาสามปี ไม่เคยเห็นหน้าพวกเขามาก่อน คำร่ำลือเกี่ยวกับพวกเขาคล้ายกับจะกลายเป็นตำนาน แต่ก็คงเป็นได้เท่านั้น เป็นได้แค่คำร่ำลือ”
“ไม่ใช่ว่าครั้งนี้ซู่หลีม่อจะมาหรือ? อย่างไรวันนี้ก็คงมาคนหนึ่ง?”
ผู้อาวุโสต่างพากันมองหน้ากัน ก่อนสายตาทั้งหมดจะหันไปยังชายที่มีอายุน้อยที่สุดในหมู่ผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ตรงกลาง
เมื่อเทียบกับหมู่ผู้อาวุโสทั้งหลายที่มีใบหน้าเหี่ยวย่น หนวดเคราผมเผ้าสีดอกเทา ชายที่อยู่ตรงกลางกลับยังดูอายุอานามเพียงสามสิบห้า ใบหน้าสง่างามสงบนิ่ง คล้ายกับจะมีสติปัญญาเฉียบแหลมมั่นคงเกินอายุ
แต่นอกจากท่านเจ้าสำนักและผู้อาวุโสทั้งสิบสองแล้ว มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าชายผู้นี้ไม่เพียงเป็นจอมยุทธ์พลังลึกล้ำ แต่ยังเป็นผู้มีญาณทิพย์ ทำนายโชคดีและเหตุเภทภัยได้
“ผู้อาวุโสเหยียน ข้าคิดว่าเจ้าพวกนั้นคงไม่มาแล้ว เหตุใดเราจึงไม่เปิดการประลองก่อนเลยเล่า? ไม่เช่นนั้นหากแปดปีศาจแดนสีเลือดเดินทางมาถึงเราคงไม่ได้จัดการประลองกันพอดี” ชายวัยกลางคนด้านข้างเอ่ยเสียงขรึม
ผู้อาวุโสเหยียนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนเงยหน้าขึ้น “เช่นนั้นก็เริ่มเถอะ!”
การประลองของศิษย์สายหลักนั้นจะเริ่มขึ้นภายหลัง ศิษย์สายรองจะทำการประลองกันก่อน โดยคัดคน 50 จาก 100 คน ลานประลองมีขนาดใหญ่มาก สามารถจัดการแข่งขัน 20 รอบขึ้นในคราวเดียวได้ ดังนั้นผลลัพธ์จึงออกมาเร็วมาก
วันรับศิษย์ใหม่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ หากพวกเขายังอยากรั้งอยู่ในสำนัก ไม่ถูกไล่ออกไปแล้วก็ต้องทุ่มให้การประลองในครั้งนี้อย่างสุดความสามารถ ไม่คิดถึงมิตรสหายและความสัมพันธ์ใดที่เคยมีต่อกัน อาจเพราะความกระหายอยากอยู่ในสำนักนั้นรุนแรงมากจนพบว่ายังมีศิษย์สายรองบางคนที่ก็มีฝีมือดีอยู่เช่นกัน
“ได้ยินว่างานประลองภายในเช่นนี้แต่เดิมจัดในสำนัก ทำให้ข้าสงสัยนักว่าเหตุใดครั้งนี้จึงมาจัดที่นี่ได้” ชายหนุ่มท่าทางอ่อนโยนหน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่งในชุดคลุมสีน้ำเงินหรูหราเอ่ยเสียงเบา
เขาคือชิงเป่ยที่เพิ่งจะเดินทางมาถึงหลังจากที่ผ่านพ้นบ่อโคลนมาได้ ระหว่างทางเขาเผลอย่ำลงบ่อโคลนอยู่หลายครั้ง แต่เขาตอบสนองรวดเร็ว ทำให้สามารถกระโดดหลบมายังที่ปลอดภัยได้ทันเวลา ดังนั้นจึงยังมีเนื้อตัวสะอาดสะอ้าน
ชิงอวี่เดินขึ้นมาจากด้านข้างก่อนเอ่ยเสียงเบา “ได้ยินว่ามีกลุ่มคนฝีมือสูงส่งส่งคำท้าประลองมายังสำนักละอองหมอก พวกเขาไร้ทางเลือกจึงต้องทำเช่นนี้เพื่อเลี่ยงไม่ให้คนกลุ่มนั้นบุกเข้าไปในสำนักได้ พวกนั้นคือ….. แปดปีศาจแดนสีเลือดกระมัง? ใช่แล้ว เป็นพวกเขา”
“แล้วท่านไปได้ยินเรื่องนี้มาจากไหนกัน?” ชิงเป่ยถามด้วยความประหลาดใจ
ชิงอวี่ใช้คางชี้ “ศิษย์หญิงเหล่านั้นพูดคุยเรื่องนี้กัน ข้าเลยเดินเข้าไปถาม พวกนางเลยบอกข้ามา”
ชิงเป่ยมองตามสายตานางไป แล้วก็พบกับสายตาเร่าร้อนของหญิงสาวเหล่านั้นที่กำลังมองมาทางพวกเขาด้วยความหลงใหล
“…..” เด็กสาวคนนี้ใช้เสน่ห์ตนเองเก็บข้อมูลจากผู้อื่นอีกแล้ว!