เขาพลันพูดขึ้นมา ชิงเป่ยจึงหันไปมองเขาด้วยสายตาระแวดระวัง นัยน์ตาทะมึน คนผู้นี้แอบฟังพวกเขาหรือ?
ชิงอวี่เม้มปาก จากนั้นหันมองชายหนุ่มด้วยใบหน้าที่ไร้รอยยิ้ม นางเลิกคิ้วน้อย ๆ นัยน์ตาน่าหลงใหลดั่งปีศาจจ้องมองเขา อีกฝ่ายถึงกับชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นน้ำเสียงรื่นหูพลันเอ่ย “ท่านเอ่ยเกินไปแล้ว แต่คุณชายแอบฟังความลับที่พวกเราพูดไม่ให้สุ้มให้เสียงเช่นนี้ดูไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ ท่านไม่เคยได้ยินหรือว่าอะไรที่ไม่ได้เอ่ยถึงท่านก็ไม่ควรเงี่ยหูฟัง?”
เจ้าเด็กนี่ปากคอเราะร้าย ร้ายพอ ๆ กับเจ้าหน้าปีศาจผู้นั้นที่นำพาเภทภัยสู่แคว้นสู่ผู้คนจริง ๆ
ชายชุดคลุมดำคร่ำครวญอยู่ภายใน
“น้องชายไม่ต้องกังวลถึงเพียงนั้น ข้าเพียงอยากทำความรู้จักกับพวกเจ้าเท่านั้น” ชายหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ เป็นตอนที่เด็กหนุ่มทั้งสองหันมานั่นเองเขาถึงได้เห็นว่าทั้งสองหน้าตาคล้ายกันมาก เป็นพี่น้องกันไม่ผิดแน่
“ทำความรู้จัก?” ชิงอวี่เลิกคิ้วอีก จากนั้นเอ่ยขึ้นช้า ๆ “ข้าสงสัยว่าคุณชายเคยได้ยินคำกล่าวนี้หรือไม่?”
“อะไรหรือ?” ชายชุดคลุมดำถาม แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงสัมผัสได้ว่าคงไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่ แล้วก็เป็นไปอย่างที่คิด
“ความสนใจที่ไม่ได้เชื้อเชิญย่อมหวังผลบางอย่าง” ชิงอวี่ตอบกลับด้วยใบหน้าใสซื่อ
ชายชุดคลุมดำ “…..”
นับเป็นครั้งแรกที่เขาพบกับเรื่องไม่คาดฝันเช่นนี้ ถูกมองว่าเป็นคนมีเจตนาชั่วร้าย หากคนอื่น ๆ รู้เข้าก็คงหัวเราะเยาะเย้ยเขาจนตายกันไปข้าง
แต่เขายังไม่ยอมแพ้เท่านั้นและสำรวมกิริยาเสียใหม่ “น้องชาย ข้าไม่อาจเห็นด้วยกับคำพูดเจ้าจริง ๆ เจ้าดูข้า ข้าเหมือนกับคนมีเจตนาชั่วร้ายหรือ?”
เขาสุภาพอ่อนโยน ทั้งยังหล่อเหลาเช่นนี้ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นคนดี
ชิงอวี่นิ่งเงียบไปครู่ นัยน์ตานางซับซ้อน ราวกับกำลังมองสิ่งมีชีวิตไร้สมองอยู่ นางเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “ยังมีอีกคำกล่าวหนึ่ง อย่าตัดสินคนจากภายนอก มีคนชั่วที่ไหนเขียนคำว่า “ข้าเป็นคนชั่ว” ไว้บนหน้าตนบ้าง?”
นางรู้สึกได้ว่าสมองของคนผู้นี้น่าจะมีปัญหาที่ใดสักแห่งจริง ๆ
ชายชุดคลุมดำได้ยินดังนั้นใบหน้าก็กลายเป็นหดหู่ใจ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีใครเห็นเขาเป็นคนชั่วร้ายได้ถึงเพียงนี้! บนหน้าเขาเขียนคำว่า “ข้าเป็นคนดี” ไว้จนทั่วเจ้ารู้บ้างหรือไม่?
เจ้าเด็กนี่ไม่ยุติธรรมกับหน้าตาอันหล่อเหลาของเขาแม้แต่น้อย! เหตุใดเขาจึงกลายเป็นคนชั่วเช่นนั้นได้เล่า?
ยามเห็นว่าชายหนุ่มคล้ายกับจะหลั่งน้ำตาแห่งความขุ่นเคืองออกมาได้ทุกเมื่อ นัยน์ตายวนใจของชิงอวี่ก็ส่องประกายระยับ ยกมุมปากขึ้นสูงก่อนเอ่ยคำ “คุณชายอย่าได้ถือโทษโกรธเคือง ข้าเพียงล้อเล่นเท่านั้น”
ล้อเล่นเช่นนี้ก็ได้หรือ?!
ชายหนุ่มเกือบสำลักน้ำลาย พยายามควบคุมอารมณ์ที่ปั่นป่วนของตัวเองอยู่นานจึงจะสงบลงได้ โชคดีที่เขาเป็นคนใจกว้าง ไม่เก็บเรื่องเช่นนี้มาใส่ใจ จากนั้นเขาจึงมองหน้าชิงอวี่สายตาจริงจัง “เช่นนั้นก็เป็นสหายกันได้หรือไม่?”
เขาดื้อดึงไม่น้อย
ด้วยสายตาเฉียบคม เขาจึงมองเด็กทั้งสองออกได้ไม่ยาก คนที่มีใบหน้างดงามดั่งปีศาจ ดึงดูดสายตาคนดั่งเกสรดอกไม้ลวงผึ้งคงจะเป็นคนกุมอำนาจตัดสินใจ ส่วนเด็กหนุ่มท่าทางหล่อเหลาอ่อนโยนอีกคนเป็นผู้ติดตามและรับคำสั่ง อย่างเห็นได้ชัดเจนเช่นนี้
ยามเขาเอ่ยออกไปอีกครา อีกฝ่ายก็ไม่ปฏิเสธอีก ยิ้มรับคำเขาโดยดี ทำให้เขาอดคิดว่าก่อนหน้านี้เจ้าเด็กนั่นปั่นหัวเขามาโดยตลอดกระมัง!
แม้ชิงเป่ยจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดชิงอวี่จึงยอมคบอีกฝ่ายเป็นสหายง่ายดายเช่นนี้ แต่เมื่อคิดว่านางทำอะไรย่อมมีเหตุผล เขาจึงไม่คัดค้านแต่อย่างใด
การประลองยังคงดำเนินต่อไป แม้จินเจ๋อเฮ่าจะมีฝีมือไม่ถึงขั้นเท่าอีกฝ่าย แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้และสู้สุดกำลัง หากเขายอมแพ้ไปเสีย บิดาของเขาที่เป็นหนึ่งในสิบสองผู้อาวุโสคงจะเสียหน้าแย่ ดังนั้นเขาจะยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด
แม้เหลียนฉ่าวเจี๋ยจะนับถือความมุ่งมั่นของจินเจ๋อเฮ่าไม่น้อย แต่ทั้งสองก็อยู่บนลานประลอง ดังนั้นจึงไม่คิดยั้งมือและสู้เต็มกำลัง หมายจะซัดพลังส่งร่างจินเจ๋อเฮ่าลอยออกจากสนามประลองไป จะได้รู้ผลกันเสียที
แต่ตอนที่กำลังรวบรวมพลังวิญญาณในร่างอยู่นั่นเอง สีหน้าเขาก็พลันเปลี่ยน ร่างทั้งร่างชะงักค้างอยู่เช่นนั้น
เปลวเพลิงสว่างโชติช่วงที่ปกคลุมร่างพลันสีหม่นลง ค่อย ๆ กลายเป็นสีน้ำตาลแดงคล้ำ เป็นสีคล้ายยามเลือดแข็งตัวแล้ว ใบหน้าเหลียนฉ่าวเจี๋ยที่ดูแข็งแรงพลันเปลี่ยนเป็นคล้ำลงเช่นกัน
“เหลียนฉ่าวเจี๋ยเป็นอะไรไป? ดูไม่ค่อยดีเลย!”
“เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่ากลิ่นอายเขาสับสนวุ่นวายเช่นนี้ หรือพลังวิญญาณจะถูกมารเข้าแทรก?”
“ดูนั่น! กระทั่งหน้ายังเปลี่ยนสี! หรือที่ผ่านมาเขาแอบฝึกวิชาชั่วร้ายงั้นหรือ!?”
เหล่าผู้ชมส่งเสียงถกเถียงกันดังระงม สีหน้าเหล่าผู้อาวุโสพลันเปลี่ยน ท่าทางของเหลียนฉ่าวเจี๋ยในตอนนี้คล้ายจะถูกมารเข้าแทรกจากการฝึกวิชาชั่วร้ายจริง ๆ!
จินเจ๋อเฮ่าที่เตรียมแพ้การประลองไว้แล้วไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้ กลิ่นอายของเหลียนฉ่าวเจี๋ยอ่อนแอลงเล็กน้อย หากจินเจ๋อเฮ่าชิงลงมือตอนนี้ก็อาจมีโอกาสถึงขั้นพลิกสถานการณ์และเอาชนะอีกฝ่ายไปได้
แต่การลงมือกับคนที่กำลังอ่อนแอเช่นนี้ไม่ใช่วิถีแห่งบุรุษเอาเสียเลย
จินเจ๋อเฮ่าขมวดคิ้ว รู้สึกสับสนไม่น้อย ในตอนที่คิดอะไรไม่ออกนั่นเอง ร่างกายเขาก็พลันเคลื่อนไหวไปเอง ส่งท่าฝ่ามือดุดันเข้าปะทะที่อกของเหลียนฉ่าวเจี๋ย ท่าฝ่ามือครั้งนี้มีพลังสูงกว่าท่าอื่น ๆ ที่เขาปล่อยออกไปถึงสิบเท่า
ราวกับว่าเหลียนฉ่าวเจี๋ยถูกตอกติดอยู่กับพื้น ไม่อาจตั้งรับได้เลย ร่างสูงของเขากระเด็นออกจากลานประลองไปคล้ายว่าวสายขาด จากนั้นกระอักเลือดอึกใหญ่ออกมา ใบหน้าซีดขาวลงทันใด
มองจากสายตาผู้ชมด้านล่างแล้ว จินเจ๋อเฮ่าไม่เพียงไม่หยุดมือ กระทั่งคว้าร่างเหลียนฉ่าวเจี๋ยกลับขึ้นมาบนลานประลองแล้วทุ่มลงกับพื้นอย่างไร้เมตตา ใส่กำลังลงไปมากจนซี่โครงเหลียนฉ่าวเจี๋ยเกือบหัก
นัยน์ตาจินเจ๋อเฮ่าเต็มไปด้วยความพรั่นพรึง เขาไม่รู้ว่ากำลังเกิดเรื่องอะไรขึ้นแม้แต่น้อย หากแต่เขาไม่อาจคุมร่างกายตนเองได้ ไม่อาจหยุดยั้งการกระทำไร้ความปรานีของตนเองได้ มือยังซัดพลังปะทะร่างเหลียนฉ่าวเจี๋ยจนอีกฝ่ายกระอักเลือดไม่หยุด
“จินเจ๋อเฮ่าแข็งแกร่งเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร!?”
“ไม่ลงมือหนักเกินไปหน่อยหรือ? แม้เหลียนฉ่าวเจี๋ยจะฝึกวิชานอกรีต แต่ตอนนี้ก็ไม่อาจปัดป้องอันใดได้แล้ว เหตุใดจินเจ๋อเฮ่าจึงไร้เมตตานัก? ลงมือกับเหลียนฉ่าวเจี๋ยจนใกล้จะสิ้นลมแล้ว!”
“เจ้าพูดไม่ผิด หรือทั้งสองจะเคยมีเรื่องบาดหมางกันหรือ?”
จินเจ๋อเฮ่าไม่รู้ว่าคนอื่น ๆ มองเหตุการณ์บนสนามประลองอย่างไร เขารู้เพียงตนเองไม่อาจหยุดมือได้ ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความกระหายเลือดในจิตใจที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่เหลียนฉ่าวเจี๋ยสิ้นเรี่ยวแรงลงเรื่อย ๆ เขาอยากหยุดเพียงเท่านี้ แต่กลับรู้สึกราวกับตนเป็นเพียงหุ่นเชิดตัวหนึ่ง ถูกผู้อื่นควบคุมตามคำสั่งและลงมือหนักขึ้นเรื่อย ๆ
“หยุด! หยุดได้แล้ว! ข้าไม่อยากทำเช่นนี้! ข้าไม่เอา!” จินเจ๋อเฮ่าดวงตาแดงก่ำ ภายในใจกรีดร้องเสียงดังลั่น กลับพบว่าตนเองไม่อาจเอ่ยคำใดออกไปได้เลย
เขาได้แต่กรีดร้องอยู่ภายใน ในหัวมีแต่เสียงหัวเราะชั่วร้ายดังกึกก้อง มันดังสะท้อนไปมาอยู่ในหูทั้งสอง เกิดเป็นเสียงอื้ออึงฟังไม่รู้ความ
“เจ้าจะกลัวอะไร? ข้ากำลังช่วยเจ้าลงมืออยู่นี่ไง อีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าแล้วอย่างไรเล่า? ข้าให้เจ้าได้ทรมานมันอย่างถึงที่สุด รู้สึกอย่างไรเล่า? ตื่นเต้นหรือไม่? ซัดพลังให้แรงขึ้นอีกหน่อย เจ้าจะได้สังหารมันด้วยมือของเจ้าเอง!”
“เจ้าปีศาจร้าย แกเป็นใครกัน!?” จินเจ๋อเฮ่าคำรามเสียงเกรี้ยวกราด “แกเพียงต้องการให้พวกข้าสังหารกันเองเพื่อสนองความต้องการอันบิดเบี้ยวของแก! แกมันเสียสติไปแล้ว!”
“ฮ่า ๆ ๆ! เจ้านี่มันเป็นไอ้หนูที่น่าสนใจไม่น้อย ไม่ใช่ว่าแปดปีศาจสุดเขตแดนตะวันออกเป็นพวกป่าเถื่อน โหดร้ายทารุณไม่ใช่หรือ?”
จินเจ๋อเฮ่าเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ แปดปีศาจแดนสีเลือด!
พวกมันมาตั้งแต่ตอนไหนกัน? ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจจะ….. อยู่ที่ไหนกัน!? เหตุใดจึงไม่มีใครรู้ตัวเลย?
“จินเจ๋อเฮ่า! เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ!? หยุดมือเดี๋ยวนี้!” ผู้อาวุโสจินตะโกนขึ้นด้วยความโกรธ ลุกขึ้นแล้วรุดหน้าเข้าไปในลานประลองทันที
เดิมทีเขาเกรงว่าเด็กคนนี้จะพ่ายแพ้ให้เหลียนฉ่าวเจี๋ยอย่างหมดท่าจนต้องอับอาย แต่สุดท้ายจินเจ๋อเฮ่าไม่เพียงพลิกสถานการณ์ แต่กลับลงมือกับคู่ต่อสู้อย่างโหดเหี้ยมอยู่ฝ่ายเดียว
ผู้อาวุโสจินกังวลเรื่องเหลียนฉ่าวเจี๋ยมาก ด้วยเขาหายใจรวยริน หากเป็นเช่นนี้ต่อไปต้องรักษาชีวิตไม่ได้เป็นแน่ แต่เขาไม่อาจเข้าใจได้ เจ้าเด็กจินเจ๋อเฮ่าดูเป็นคนขี้อายมาโดยตลอด เกิดอะไรขึ้นกับเขาจึงได้กลายเป็นคนไร้เมตตา ลงมือโหดเหี้ยมเช่นนี้?
เกราะที่กางไว้รอบสนามประลองจะไม่ถูกปลดจนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมแพ้ แม้จะเป็นผู้อาวุโสแต่ก็ไม่อาจขัดขวางการประลองได้
ดังนั้นผู้อาวุโสจินจึงทำได้เพียงร้องตะโกนอย่างตื่นตกใจเท่านั้น “เหลียนฉ่าวเจี๋ย! ยอมแพ้เสีย! เรื่องเช่นนี้ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ ข้าต้องมีคำตอบให้เจ้าแน่ การประลองครั้งนี้ไม่นับผลแพ้ชนะแต่อย่างใด ดังนั้นยอมแพ้แล้วลงมารักษาแผลเถอะ!”
เหลียนฉ่าวเจี๋ยเป็นบุตรชายคนเดียวของแม่ทัพฝ่ายขวาแคว้นอู่ชาง หากมาประสบภัยในสำนักละอองหมอกเช่นนี้ แคว้นอู่ชางจะไม่เคลื่อนทัพมากำราบหุบเขาของสำนักละอองหมอกจนราบเป็นหน้ากลองหรอกหรือ?
แต่เขาไม่รู้ว่าเหลียนฉ่าวเจี๋ยไม่ใช่ไม่อยากยอมแพ้ หากแต่เขาไม่อาจกล่าวคำยอมแพ้ได้ต่างหาก
เขาขยับร่างกายไม่ได้แม้แต่นิด ไม่อาจปัดป้องได้ ได้แต่รับแรงซัดจากจินเจ๋อเฮ่าที่ซัดเข้ามาเป็นระลอกเพียงเท่านั้น ปะทะร่างแต่ละครั้งเจ็บลึกถึงกระดูกในร่าง
“จินเจ๋อเฮ่า! เจ้าได้ยินคำข้าหรือไม่? หากเจ้ามีเรื่องบาดหมางอันใดก็ค่อยไปจัดการยามเหมาะสม! หากยังลงมือไร้เมตตาเช่นนี้ ข้าจะปลดเจ้าออกจากการประลอง!”
ผู้อาวุโสจินโกรธเกรี้ยวเป็นยิ่งนัก นัยน์ตาเบิกกว้างด้วยความโกรธ แต่คนบนลานประลองกลับไม่ฟังเขาแม้แต่น้อย
“มีบางอย่างผิดปกติ” หรงอี้พลันขมวดคิ้วแน่น “เหลียนฉ่าวเจี๋ยและจินเจ๋อเฮ่าคล้ายกับถูกใครบางคนควบคุมอยู่”
“หรงอี้ เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น?” คนที่เอ่ยถามคือผู้อาวุโสที่มีอายุน้อยที่สุด ผู้อาวุโสเหยียน
หรงอี้ตอบเสียงขรึม “เหลียนฉ่าวเจี๋ยแกร่งกว่าจินเจ๋อเฮ่ามาโดยตลอด แม้จินเจ๋อเฮ่าจะกินยาต้องห้ามอะไรไป แต่พลังก็คงไม่เพิ่มสูงขึ้นถึงขั้นที่สามารถซัดพลังใส่เหลียนฉ่าวเจี๋ยจนเจ็บหนักได้เช่นนี้ อีกทั้งเหลียนฉ่าวเจี๋ยทำท่าคล้ายกับพลังบำเพ็ญถูกผนึก ไม่อาจป้องกันการโจมตีใดได้ ถูกจินเจ๋อเฮ่าโจมตีใส่อยู่ฝ่ายเดียวราวกับถูกจับมัดอยู่”
เขาคล้ายกับเจ้าสำนักละอองหมอกที่เชื่อคำหรงอี้ ถามเสียงเบาขึ้น “เจ้าหมายความว่า…..”
หรงอี้นัยน์ตาทะมึนลง เงาร่างเคลื่อนย้ายขึ้นไปบนบานประลองในพริบตา ส่งหนึ่งฝ่ามือใส่จินเจ๋อเฮ่า อีกมือหนึ่งก็เคลื่อนไหวฉับไวเกินที่ตาจะมองทัน ผลักเหลียนฉ่าวเจี๋ยลงจากลานประลองไป
ทั้งหมดเพียงชั่วเวลาลมหายใจหนึ่งเท่านั้น
ทุกคนคิดว่าตนตาฝาด คนอื่น ๆ ไม่ต้องกล่าว กระทั่งผู้อาวุโสทั้งห้ายังเบิกตามองกว้างด้วยความประหลาดใจ
เจ้าเด็กหรงอี้….. มีพลังมากถึงขั้นนี้เลยหรือ?
เกราะล้อมสนามประลองนั่นใช้พลังของผู้อาวุโสทั้งห้าในการกาง….. แต่เจ้าเด็กนั่นกลับสามารถเข้าออกได้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น!
แล้วมีอันดับที่ 21 หรือ? อันดับบอกอะไรได้บ้างเล่า!?
พริบตาที่เหลียนฉ่าวเจี๋ยถูกผลักออกจากสนามประลอง ความเจ็บปวดก็ประดังขึ้น เจ็บปวดมากกว่าเดิมหลายเท่า เป็นความเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งร่างส่งผลให้เขากรีดร้องออกมาเสีงดัง ตา ปาก จมูก และหูมีโลหิตไหลออกมาไม่หยุด