ดูเหมือนเขาจะชอบเสนอตัวให้นางอยู่ตลอดเวลาเสียจริง ทั้งที่นางไม่เคยคิดรบกวนเขาเลยก็ตาม
คิด ๆ ดูแล้วก็คงเพราะอาหลานกระมัง เขาถึงได้ใส่ใจนางเป็นพิเศษ
ชิงอวี่ยกยิ้ม ไม่คิดว่าเขาจะเรียกนางไว้ด้วยเรื่องนี้ คิ้วที่ขมวดคลายลงทันที ส่งให้ใบหน้างามยิ่งดูเปล่งประกายมากกว่าเดิม “ได้”
น้ำเสียงตอบกลับของนางเจือไว้ด้วยความอ่อนโยนอย่างที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
โหลวจวินเหยาตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง เด็กสาวที่เย็นชาไร้อารมณ์กลับส่งยิ้มจริงใจเช่นนั้นออกมาได้ ช่างเป็นความรู้สึกอ่อนโยนอย่างที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน เป็นชั่วขณะที่เขาไม่มีวันลืม
และเป็นภายในค่ำคืนที่เกิดเรื่องขึ้นมากมายคืนนั้นเองที่มีความเปลี่ยนแปลงกำลังเกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ
วันต่อมา ชิงเป่ยกำลังจะเคาะประตูห้องนอนพี่สาวเมื่อพบว่าประตูห้องปิดไม่สนิท ตัวปิดเหมือนจะคลายออกมา
ดังนั้นเขาจึงประหลาดใจอยู่บ้างขณะผลักประตูเข้าไป แล้วก็พบว่าภายในห้องว่างเปล่าอย่างที่เขาคาดไว้
อ้อใช่ เว้นเสียแต่เจ้าก้อนถ่านหน้าตาเศร้าสร้อยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นวมตัวยาวตรงนั้นไว้ตัวหนึ่ง มันกำลังมองไปยังทิศทางหนึ่งไม่ละสายตา
นัยน์ตาสีน้ำเงินกลมโตที่เผยอารมณ์ออกมานั้นดูหงอยเหงาจนมองแล้วเจ็บปวดใจนัก กระทั่งชิงเป่ยที่ไม่ค่อยพ่ายแพ้ต่อสิ่งมีชีวิตตัวเล็กน่ารักยังอดเดินผ่านมันไปไม่ได้ ต้องเดินเข้าไปเอยถามด้วยความเป็นห่วง “เป็นอะไรไปโร่วโร่ว?”
โดนดุหรือ? ไม่มีทาง ท่านพี่ตามใจเจ้าตัวเล็กจะตาย แล้วจะหักใจดุมันลงได้อย่างไรกัน?
โร่วโร่วถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาก่อนจะสบนัยน์ตาเป็นห่วงของเด็กหนุ่มแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านแม่….. อาจจะไม่รักข้าแล้ว”
ชิงเป่ยงุนงงไป “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
โร่วโร่วปิดเปลือกตาลงด้วยความเศร้าใจ จากนั้นก็ใช้ขาหน้าน้อย ๆ ชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “เมื่อคืนข้าหลับไป ตื่นมาก็ไม่พบท่านแม่ ข้าจึงคิดจะออกไปตามหานาง แต่พักหนึ่งท่านแม่ก็กลับมา แล้วนางก็เอามันกลับมาด้วย!”
ชิงเป่ยยังรู้สึกสับสนไม่น้อย แต่ก็มองตามอุ้งเท้าเล็กไป เมื่อเห็นของก็ทำเอาเขาถึงกับชะงักค้างไป
บนตู้เล็กข้างเตียงตรงนั้นคือชุดคลุมสีม่วงที่ถูกพับไว้อย่างเรียบร้อย เนื้อผ้าดูหรูหราประณีต มองคราเดียวก็รู้ได้ว่าเป็นของมีราคาสูง ไม่ใช่เสื้อคลุมที่คนธรรมดาจะหามาใส่ได้
แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญนัก ที่สำคัญคือมันคือชุดคลุมบุรุษ
โร่วโร่วเห็นเขาชะงักค้างไปก็เหมือนจะนึกได้ว่าต้องบ่นต่อ “เจ้าคิดว่าท่านแม่ไปมีบุรุษอื่นข้างนอก ดังนั้นจึงแอบออกไปพบกันลับ ๆ หรือไม่? ข้าเห็นว่ายามนางกลับมาก็ดูอารมณ์ดียิ่งนัก!!”
โร่วโร่วเบะปาก ทำท่าคล้ายจะร้องไห้อยู่รอมร่อ “โร่วโร่วต้องการเพียงท่านแม่ ไม่ต้องการท่านพ่อ เขาจะแย่งท่านแม่ไปจากข้า”
ชิงเป่ย “…..”
ก็แค่ชุดคลุมตัวหนึ่ง แต่เจ้าตัวเล็กกลับจินตนาการไปไกลเชียว
แต่ชุดคลุมนั่นก็ดูคุ้นตาอยู่ไม่น้อย
เขากำลังพยายามปลอบเจ้าตัวเล็กที่คิดมาก ทั้งยังมีจินตนาการสูงส่งยิ่ง เมื่อเสียงชิงอวี่ดังขึ้นที่นอกประตู “พวกเจ้าสองคนคิดจะทำอะไร?”
นางกำลังถือกล่องไม้รูปร่างงดงาม ภายในคล้ายจะเต็มไปด้วยอาหารเลิศรสจากภัตตาคารร้อยรส
“ท่านไปไหนมาหรือ?” ชิงเป่ยเอ่ยถามพลางมองอสูรน้อยที่ซุกอยู่กับแขนเสื้อเขาอย่างดื้อดึง ทั้งยังดึงแขนเสื้อมาเช็ดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริงอีกต่างห่าง หัวเราะแห้ง ๆ แล้วก็ว่าต่อ “ตอนเข้าห้องมาข้าเห็นเจ้าตัวเล็กทำหน้าเศร้าน่าสงสารนัก ข้านึกว่าท่านดุมันเสียอีก!”
“หือ?” ชิงอวี่เลิกคิ้วขึ้นก่อนหันมองอสูรน้อยที่ดูมีท่าทีเศร้าสร้อย “คราวก่อนเจ้าบอกว่าได้กลิ่นของอร่อยจนใจสั่นไม่ใช่หรือ? นี่เป็นอาหารใหม่จากภัตตาคารร้อยรสเชียว กินคำแรกรับรองว่าตกหลุมรักกุ้งทอดนี่แน่ ข้าออกไปซื้อมาให้เจ้าตั้งแต่ยังไม่รุ่งสาง แล้วเจ้ายังจะมานั่งเศร้าเช่นนี้อีก”
เมื่อได้ยินว่ามีของอร่อยให้กิน เจ้าตัวเล็กก็เบิกตากว้างขึ้นดูแจ่มใส แต่ก็ยังดูซึมเศร้าอยู่เล็กน้อย
ชิงอวี่เห็นแล้วก็ไม่สบายใจอยู่บ้าง “มันเป็นอะไรไปหรือ?”
ปกติแล้วมันจะกระโจนเข้าหาทันทียามได้ยินว่ามีอาหาร แต่วันนี้กลับนั่งนิ่งไม่ไหวติงเลยงั้นหรือ?
ชิงเป่ยเม้มริมฝีปาก จากนั้นใช้คางพยักพเยิดไปทางหนึ่ง “มันเห็นชุดคลุมตรงนั้นแล้วก็นั่งเศร้ามาจนถึงตอนนี้ บอกว่าท่านไปมีบุรุษอื่นข้างนอก ไม่รักมันอีกต่อไปแล้ว”
ชิงอวี่เหลือบมองชุดคลุมที่นางไม่มีโอกาสได้เก็บให้พ้นตา “…..”
การมีสัตว์เลี้ยงที่อารมณ์อ่อนไหวจนเกินเหตุเช่นนี้ก็นับว่าน่าเหนื่อยหน่ายใจไม่น้อย
ชิงอวี่หันมองอสูรน้อยผู้เศร้าสร้อยด้วยรอยยิ้มอ่านไม่ออก “ข้าจะนับถึงสาม หากยังไม่มากินข้าจะโยนไปให้สุนัขที่สวนด้านหลังให้หมด หนึ่ง…… สอง…..”
นางเพิ่งนับถึงสองเมื่ออสูรน้อยรีบกระโจนเข้าใส่กล่องไม้ทันที ใบหน้าเป็นกังวล จ้องตานางด้วยสายตากลมโต “อันนี้ของโร่วโร่ว ไม่ใช่ของสุนัข”
ชิงอวี่อสูรน้อยทำท่าเศร้าแล้วก็นึกขำ เกือบหลุดหัวเราะออกมาอยู่รอมร่อ แต่ยังคงรักษาท่าทีเย็นชาใบหน้าเรียบเฉยไว้ได้ “เอาออกไปกินข้างนอกเสีย ท่านแม่มีเรื่องจะพูดกับท่านน้าเจ้าสักหน่อย”
“อืม” เจ้าก้อนถ่านตอบ ก่อนจะเดินต้วมเตี้ยมไปด้านนอก ก้าวทีหนึ่งหันกลับมามองนางทีหนึ่ง
ชิงเป่ยอดหัวเราะลั่นออกมาไม่ได้ หลังจากหัวเราะจนพอแล้วก็ยังไม่ลืมถามเรื่องสำคัญ “เป็นชุดคลุมของบุรุษที่หอเมฆาเคลื่อนใช่หรือไม่?”
เท่าที่เขาจำได้ มีบุรุษที่ชอบสวมชุดคลุมสีม่วงเช่นนี้ และยังสนิทสนมกับนางในระดับหนึ่งมีเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ถูกต้อง” ชิงอวี่พยักหน้า จากนั้นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเล่าเรื่องเมื่อคืนให้เขาฟัง อย่างไรนางกับเขาก็เป็นพี่น้องฝาแฝด ปิดเรื่องใดไว้เป็นความลับต่อกันได้ไม่นานอยู่แล้ว
หลังจากเล่าจบก็เป็นไปตามที่นางคิด ชิงเป่ยนิ่งไปชั่วอึดใจใหญ่ ๆ คงจะกำลังย่อยข้อมูลที่จู่ ๆ ก็ได้รับมากระมัง
ชิงอวี่ไม่รีบร้อน รอคอยให้เขาตอบสนองอย่างอดทน
ผ่านไปอึดใจหนึ่ง เสียงแหบห้าวเล็กน้อยของเด็กหนุ่มก็ดังออกจากปาก “ท่านแม่…..ยังไม่ตายจริงหรือ?”
ชิงอวี่พยักหน้าแล้วเอ่ยเสียงเบา “ยังไม่ตาย แต่หนทางในการฟื้นคืนสติให้นางอาจลำบากยากเย็นและยาวนานนัก”
“ข้าไม่สน! หากนางยังมีชีวิตอยู่อะไรก็ย่อมได้!” ชิงเป่ยร้องบอกพร้อมกำมือแน่น น้ำเสียงมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวเป็นยิ่งนัก “อย่างน้อยนางก็ไม่ได้ทอดทิ้งเราหรอกใช่หรือไม่?”
นัยน์ตาเด็กหนุ่มดูเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น ราวกับตั้งใจรอฟังคำตอบจากปากนาง
ที่ผ่านมา เขาโหยหาความรู้สึกของครอบครัวอย่างเป็นบ้าเป็นหลังมาโดยตลอด แม้กระทั่งตอนที่รู้ว่าเยี่ยนซู่ไม่ใช่บิดาแท้ ๆ ของตน แต่ก็หวังจะได้รับความสนใจจากเขาบ้างสักเล็กน้อยก็ยังดี ทำให้กลายเป็นเด็กหนุ่มที่ดูน่าสมเพชไร้ค่าอันใด แม้ภายในจะมีความภูมิใจอยู่เต็มเปี่ยมก็ตาม เขาเพียงไม่อยากยอมแพ้แต่เพียงเท่านี้
ชิงอวี่ถอนหายใจยาวออกมา จากนั้นลูบใลหน้าเด็กหนุ่มเบา ๆ ก่อนเอ่ยเสียงอ่อน “แน่นอนว่าไม่ใช่ ท่านแม่ของเราดีที่สุดแล้ว ไม่ว่าอะไรจะทำให้นางต้องทิ้งเราไว้ แต่เรื่องหนึ่งที่เราไม่ควรลืมคือนางคิดถึงพวกเราอยู่ตลอด”
คำเหล่านั้นปลอบโยนใจชิงเป่ยที่เต็มไปด้วยความขุ่นข้องหมองใจอยู่ไม่น้อย ใบหน้าหล่อเหล่าเริ่มปรากฏรอยยิ้ม “ข้าเชื่อ ข้าเชื่อเช่นนั้นมาโดยตลอด”
ได้รับข่าวเกี่ยวกับท่านแม่ก่อนได้เข้าสำนักละอองหมอกเช่นนี้ นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีจริง ๆ
แต่ร่างวิญญาณของนางแตกกระจายออกไปทั่วทุกทิศเช่นนี้แล้ว การจะรวบรวมซากวิญญาณของนางแล้วฟื้นคืนชีวิตให้นางได้ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกระมัง?
แต่เรื่องเหล่านี้ นางไม่ได้เล่าให้ชิงเป่ยฟังด้วย
เวลาหนึ่งเดือนไม่นับว่าเร็วหรือช้า วันเวลายังคงหมุนผ่านไปเรื่อยดังเดิม
ใบไม้แปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและค่อย ๆ ปลิดปลิวออกจากต้น เว้นเสียแต่ต้นที่ไม่เกรงกลัวความหนาวเย็น ยังคงผลิดอกบานยาวนานทั้งสี่ฤดู สีเขียวเริ่มมีให้เห็นบางตาลงเรื่อย ๆ เปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้กลายเป็นดูรกร้างเปล่าเปลี่ยวไป
ในสถานที่ที่มีอากาศอบอุ่นยังไม่เท่าไร หากแต่แคว้นบนผิวน้ำเช่นหลินยวนที่มีทะเลล้อมรอบทุกทิศทางมีเพียงน้ำแข็งและหิมะเท่านั้น มองไปทางใดก็พบแต่หิมะกองพะเนิน ไม่ละลายไปทั้งปี ทุกครั้งที่วสันต์ฤดูมาเยือน หิมะแข็งบนยอดเขาจะละลายในคิมหันต์ฤดูในปีถัดไปเท่านั้น เห็นได้ชัดเจนว่าฤดูหนาวในแคว้นหลินยวนนั้นหนักหนาสาหัสถึงเพียงไหน
ด้วยมีอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ คนหลินยวนจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าตนจะสามารถนั่งคุดคู้อยู่ในผ้าห่มอุ่นจนกระทั่งฤดูหนาวผ่านพ้นไปได้
เงาร่างเปล่าเปลี่ยวของคนผู้หนึ่งยืนอยู่ที่หน้าประตูสำนักไร้สิ้นสุดอย่างเงียบเชียบ เป็นคนร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง ในขณะที่คนอื่น ๆ สวมชุดฤดูหนาวทั้งหนาและหนัก หากแต่เขากลับสวมชุดเพียงชั้นเดียว เป็นชุดคลุมสีดำยาว ท่าทางโดดเดี่ยวเคร่งขรึม
เกล็ดหิมะร่วงหล่นลงบนเรือนผมสีเงินไม่หยุด พริบตาเดียวเงาร่างของเขาก็พลันหายไป ชุดคลุมสีดำถูกเกล็ดหิมะขาวปกคลุมจนทั่วจนแทบมองไม่เห็นสีเดิม เขาไม่ขยับกายแม้แต่นิด ไม่รู้ว่าเขายืนท่ามกลางหิมะมานานเท่าไรแล้ว ทั้งร่างจึงถูกหิมะกลืนไปเช่นนั้นได้
ยามอาจิ่นออกมาจากตำหนัก ภาพที่เขาเห็นคือภาพฉากนี้
พระอาทิตย์เพิ่งจะโผล่พ้นขอบฟ้าด้วยในฤดูหนาวรุ่งสางจะมาช้ากว่าปกติ แต่เขาก็ยังคงตื่นเร็วเช่นเมื่อก่อน และไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพนี้เข้า ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นตื่นมาตั้งแต่เมื่อไร ดูจากหิมะหนาที่อยู่บนเสื้อแล้ว คงจะยืนอยู่เช่นนั้นมาอย่างน้อยสองชั่วยามแล้วกระมัง
แม้ผู้บำเพ็ญเพียรจะมีพลังวิญญาณคุ้มครองร่าง ไม่หวาดกลัวความเหน็บหนาว แต่สภาพอากาศในหลินยวนนั้นไม่ใช่ความหนาวธรรมดา หนาวเย็นกว่าแคว้นอื่นหลายสิบเท่า อย่างไรก็เป็นมนุษย์ที่มีเนื้อหนัง แล้วจะฝืนความหนาวเช่นนี้ได้อย่างไร?
อาจิ่นถอนหายใจยาว ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในเพื่อหาร่ม เขากางร่มแล้วเดินเข้าไปหา กางร่มบังหิมะที่ร่วงพรูให้อีกฝ่าย “นายท่าน ข้างนอกอากาศเย็น ท่านกลับเข้าด้านในเถอะ”
คนผู้นี้ไม่ค่อยดูแลตนเองอยู่ตลอด โดยเฉพาะยามอารมณ์ไม่ดียิ่งชอบทำเช่นนี้เพื่อทำให้ใจเย็นลงและเพื่อให้สมองโล่ง
อาจิ่นอยากให้เขาเป็นเช่นที่คนภายนอกว่ากันมากกว่า เป็นฆาตกรกระหายเลือดที่สังหารคนตาไม่กะพริบ เพราะยามที่เขาเป็นเช่นนั้น อย่างน้อยก็สามารถปลดปล่อยอารมณ์ที่กดซ่อนไว้ภายในออกมาได้ ไม่ปล่อยให้มันสะสมอยู่ในใจวันแล้ววันเล่าเช่นนี้ พอเวลาผ่านไปก็ยิ่งดูเศร้าซึมเคร่งขรึมมากขึ้นกว่าเดิม
ชิงเยี่ยหลีรู้สึกว่าภวังค์ความคิดตนที่ลอยไปไกลถูกดึงกลับมา นัยน์ตาสีเขียวเข้มหรี่ลงอยู่ครึ่งหนึ่ง ขนตายาวดูเกียจคร้านมีหิมะเล็ก ๆ ติดอยู่เต็มไปหมดด้วยไม่ได้ขยับมานาน เศษน้ำแข็งเล็ก ๆ พลันร่วงหล่นลงมาจากขนตาเขา
เขาเงยหน้าขึ้นมองขอบฟ้าที่อยู่ห่างไกลราวกับกำลังเพ่งมองสถานที่บางแห่งหรือคนบางคนอยู่
“ฤดูหนาวมาเยือนเร็วนัก” น้ำเสียงเย็นชานุ่มลึกเอ่ยขึ้นเสียงเบา
อาจิ่นชะงักไป แต่ก็เอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะขั้น “นายท่าน ท่านอยู่ที่แคว้นหลินยวนมาสิบสี่ปีแล้ว ยังไม่ชินกับฤดูหนาวของหลินยวนอีกหรือ?”
ภายใต้หน้ากากนั้นไม่อาจเห็นสีหน้าใดจากเขาได้ ได้ยินเพียงเสียงเท่านั้น “ผ่านไปสิบสี่ปีแล้วหรือ…..”
รู้สึกเพียงชั่วพริบตา แต่กลับผ่านไปหลายปีเช่นนั้นแล้ว
เดิมทีเขาคิดจะใช้ชีวิตน่าเบื่อเช่นนี้ไปจนตาย ไม่คิดเลยว่าสวรรค์จะยังใส่ใจเขาอยู่
สายตาชิงเยี่ยหลีพลันอ่อนโยนลง “อาจิ่น จัดการเรื่องที่นี่ให้เสร็จโดยเร็ว ข้าอยากกลับไปข้างกายนางให้เร็วที่สุด”
อาจิ่นย่อมเข้าใจว่าชิงเยี่ยหลีพูดถึงใคร
ม้วนภาพที่ถูกเก็บไว้อย่างดีมานานหลายปี ภาพที่ไม่ว่าใครก็ไม่ได้รับอนุญาตให้มองเพียงชั่วขณะ คนที่บุรุษผู้นี้เก็บไว้ในใจมาโดยตลอด
เขายังจำได้ว่าก่อนกลับมา ตอนที่อีกฝ่ายกอดเด็กสาวไว้ ที่ขอบตายังมีสีแดงเรื่ออยู่เล็กน้อย
บุรุษหนุ่มผู้ไร้หัวใจและแสนเย็นชา ในสายตาไม่ใส่ใจสิ่งใดมาก่อน ดูจะมอบความอบอุ่นที่มีทั้งหมดให้กับคนเพียงคนเดียวเท่านั้น มันเป็นสายตาที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน ทั้งยังเป็นภาพที่เห็นแล้วประทับในจิตใจนัก