สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! – บทที่ 156 ความริษยาของสตรีนั้นน่ากลัวเพียงไหน

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

บทที่ 156 ความริษยาของสตรีนั้นน่ากลัวเพียงไหน

ชิงอวี่มองนางพลางยิ้ม “ยังมีอีกหลายคนที่ยอมทำตามคำเยี่ยนหนิงลั่วโดยไม่กังขา เจ้าเพิ่งเข้ามาใหม่ ต้องจำไว้ว่าปากพาซวยได้”

เยี่ยนซีอู่ได้ยินก็ยกสองมือขึ้นปิดปากฉับเบิกตากว้าง มองไปรอบกายด้วยความระแวดระวัง

นี่อย่างไร ก่อนหน้านางยังใจกล้าอยู่เลย นี่มิใช่พริบตากลายเป็นขี้ขลาดงั้นหรือ ?

ใครพูดอะไรนางก็คงมีปฏิกิริยาไปเสียทุกอย่างกระมัง

คนราวห้าถึงหกคนกำลังเดินมาทางพวกนางจากไกล ๆ ที่เดินนำด้านหน้าคือเยี่ยนหนิงลั่ว ด้านขวาคือสหายที่คอยอยู่เคียงข้างนางตลอดทั้งสอง เจียงอี้หานกับเสิ่นจิง และศิษย์สายหลักอีกหลายคนเดินมาด้วย

อย่างไรคนทั้งสองกลุ่มก็ต้องพบหน้ากัน เพราะต้องใช้เส้นทางเดียวกันเดินไปยังห้องโถง ชิงอวี่และคนอื่น ๆ ยังมัวแต่คุยกันในกลุ่ม รอบกายมีแต่เหล่าศิษย์ที่เดินผ่านไป จึงไม่ทันเห็นเยี่ยนหนิงลั่วกับสหายของนางที่เดินอยู่ด้านหน้า

ทว่าเสิ่นจิงที่งดงามกล้าหาญนั้นตาแหลมนัก เห็นคนอีกกลุ่มหนึ่งทันที

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบสอดส่องสายตาไปโดยรอบ ในกลุ่มเด็กสาวทั้งห้าทุกคนมีหน้าตารูปโฉมงดงาม ย่อมต้องดึงสายตาคนได้มาก อีกทั้งแม่นางหนึ่งคนในนั้นยังงามหาใครเทียมยามสวมชุดสำนักสีขาว เครื่องหน้างามกว่าดอกไม้บานที่งามที่สุด คือชิงอวี่ที่ใครมองเป็นต้องถูกกระชากวิญญาณนั่นเอง

ทั่วแดนนี้ไม่ขาดคนงาม แต่คนที่งามจนลืมไม่ลงแม้มองคราเดียวนั้นหาได้ยากยิ่ง

ในแคว้นชิงหลาน และกระทั่งในสำนักละอองหมอก ใบหน้างดงามของเยี่ยนหนิงลั่วนับว่าหาใครเทียม ไม่มีใครคาดคิดว่าในศิษย์ใหม่ที่เข้ามาจะมีเด็กสาวที่มีรูปโฉมงดงามเช่นนี้อยู่ ไม่แพ้เยี่ยนหนิงลั่วแม้แต่น้อย

“อี้หาน เจ้าดูเด็กคนนั้น น่ารักน่าชังเสียจริงเนอะ?”

เสิ่นจิงมีนิสัยตรงไปตรงมาและใจกว้างไม่จุกจิกจู้จี้เรื่องเล็กน้อยอย่างสตรีคนอื่นที่เห็นคนอื่นงามกว่าก็ริษยา หากแต่นางกลับรู้สึกชื่นชมอีกฝ่ายอย่างจริงใจ

เจียงอี้หานได้ยินก็เงยหน้ามอง เมื่อเห็นคนงามก็ตาเป็นประกายประหลาดใจ จากนั้นหันไปมองสีหน้าหญิงสาวข้างตัว “ก็นับว่างาม แต่เป็นความงามฉูดฉาดยั่วยวน ข้ายังคิดว่าหนิงลั่วงามกว่านัก”

เสิ่นจิงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยคำ แต่เมื่อเห็นว่าเยี่ยนหนิงลั่วจ้องคนกลุ่มนั้นนิ่งก็เลิกคิ้วถาม “หนิงลั่ว เจ้ารู้จักพวกนางหรือ?”

ยามนางพูด พวกนางสองสามคนก็เดินล่วงหน้าไปแล้ว ห่างกันไม่กี่ก้าวเท่านั้น

กลายเป็นเยี่ยนหนิงลั่วที่เอ่ยเสียงเบาไม่ยินดียินร้าย “ยินดีด้วยที่ผ่านการทดสอบเข้าสำนัก”

ชิงอวี่คลี่ยิ้ม แต่ไม่ทันได้เอ่ยคำก็ได้ยินเยี่ยนซีอู่ข้าง ๆ เอ่ยเสียงเสียดสีขึ้น “ขอบคุณท่านพี่ที่เป็นห่วง แต่ขออภัยด้วยที่พวกข้าไม่ได้มาทำตนให้อับอาย กลับผ่านเข้าสำนักมาได้โดยไม่ถูกคัดออกตั้งแต่รอบแรก ท่านพี่คงจะผิดหวังมาก”

คำคุ้นหูนัก มันคือคำที่เยี่ยนหนิงลั่วเคยว่าพวกนางไว้เมื่อครึ่งปีก่อนนั่นเอง เยี่ยนซีอู่โยนมันกลับไปให้เยี่ยนหนิงลั่วราวกับตบหน้า

เยี่ยนหนิงลั่วสีหน้าไม่เปลี่ยน แต่นัยน์ตาทะมึนลง

เจ้าโง่นี้กำลังโอ้อวดอยู่งั้นหรือ? หึ! คิดว่าเข้าสำนักละอองหมอกแล้วมันมีอะไรหรือ? ที่เข้ามาได้ก็เพราะโชคช่วยไว้เท่านั้น

คิดว่าไปเข้าพวกกับเยี่ยนชิงอวี่แล้วก็ไร้ปัญหางั้นหรือ?

แต่เจ้าเด็กโง่นี่ไปสนิทสนมกับเยี่ยนชิงอวี่ตั้งแต่เมื่อไรกัน?

“เอ๋ หนิงลั่ว นางเป็นน้องสาวเจ้าเองหรือ? ทำไมข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเจ้ามีน้องสาวด้วย!?” เจียงอี้หานถามเสียงฉงน

เยี่ยนหนิงลั่วเอ่ย “นางเป็นลูกชายารองที่เป็นสามัญชน ข้ามีเพียงพี่ชายคนหนึ่งที่เกิดจากมารดาเดียวกันเท่านั้น”

“อ้อ งั้นหรือ”

สถานะของมารดาว่าเป็นสามัญชนหรือเป็นชาติกำเนิดสูงส่งในตระกูลใหญ่นั้นสำคัญมาก เป็นตัวชี้สถานะในตระกูลเลยทีเดียว ใครที่เกิดเป็นสามัญชนคนธรรมดามักไม่มีใครเห็นความสำคัญ

เยี่ยนซีอู่เห็นท่าทางเย็นชาออกอีกฝ่ายก็อยากอาเจียนนัก ทำเป็นวางท่าสูงส่งไปได้

นางเป็นเช่นนี้อยู่ตลอด ใช้ฐานะตนที่เป็นพี่สาวคนโตปฏิบัติกับน้องคนอื่น ๆ ที่มีฐานะต่ำกว่าราวกับข้าทาส ไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา

หากไม่ใช่เพราะนางมีมารดาชาติกำเนิดสูงส่งที่แต่งเข้ามาตั้งแต่เนิ่น ๆ นางจะมีดีกว่าคนอื่น ๆ งั้นหรือ?

เยี่ยนซีอู่ส่งสายตาไม่ปิดบังความรังเกียจ เยี่ยนหนิงลั่วย่อมสังเกตเห็น แต่นางไม่คิดลดตัวไปยุ่งกับอีกฝ่าย ที่นางสนใจคือเด็กสาวที่มีท่าทางอ่อนแอ ผู้ที่มักจะมีรอยยิ้มจางประดับอยู่ต่างหาก

จนถึงตอนนี้ เด็กสาวเป็นคนที่นางไม่อาจหยั่งถึง เป็นสิ่งมีชีวิตที่นางทั้งเกลียดทั้งระแวงที่สุด

“ได้ยินว่าเจ้าเข้าภาควิชาพิเศษ อยู่ที่นั่นจำต้องมีฝีมือกว่าที่อื่น เจ้าต้องพยายามเข้ากับคนที่นั่นให้ดี หากเผลอล่วงเกินใครเข้าข้าอาจช่วยเจ้าไม่ได้” เยี่ยนหนิงลั่วเอ่ยราวกับเป็นพี่สาวช่างจุกจิกกำลังชี้แนะน้องสาว น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยคล้ายเป็นห่วง ทั้งเห็นใจและเจือแววเศร้า

ชิงอวี่ยิ้มไม่โต้ตอบ แต่เอ่ยอย่างเป็นมิตร “ขอบคุณท่านพี่ที่ชี้แนะ ศิษย์พี่ของข้าใจดีมาก ข้าไม่พบปัญหาอะไรเลย”

“งั้นหรือ? ก็ดี” เยี่ยนหนิงลั่วเอ่ยพลางเม้มปาก

นางยังไม่รู้ว่าการอยู่ในภาควิชาพิเศษมันยากเย็นเพียงไหน หลายปีที่ผ่านมามีตั้งหลายคนที่ลาออกจากที่นั่นด้วยตัวเอง อยู่ได้นานที่สุดแค่ยี่สิบกว่าวันเท่านั้น ยังไม่พ้นระยะทดลองหนึ่งเดือนด้วยซ้ำ พอถึงเวลานางจะนึกเสียใจเอง

จนถึงตอนนี้นางยังไม่อยากเชื่อสิ่งที่นางได้เห็นในห้องโถงใหญ่วันทดสอบเข้าสำนักเลย

ผู้ถือครองทุกธาตุ อัจฉริยะหาใครเทียมที่มีพลังวิญญาณและพลังยุทธ์ขั้นสูงสุด

ฮึ่ม จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?

เยี่ยนชิงอวี่ที่อ่อนแอไร้ความสามารถ ไม่กล้าแม้แต่จะมีปากมีเสียง หลบอยู่หลังเด็กพิการไร้ค่าอย่างเยี่ยนชิงเป่ยเช่นนาง จู่ ๆ พลันมีพลังขึ้นมาเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? การที่นางได้เจอปรมาจารย์เร้นกายเช่นนั้นไม่ควรเกิดขึ้นกับคนอย่างนางเลย

ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

อีกทั้งข้างกายนางยังมีคนที่นางไม่สมควรได้พบหรือได้ข้องเกี่ยวด้วยปรากฏขึ้นอีก

เมื่อนึกถึงท่าทางที่เฟิ่งเทียนเหิงปฏิบัติกับเด็กสาวในการทดสอบเข้าสำนัก เยี่ยนหนิงลั่วยังรู้สึกว่ามันดูเหมือนเรื่องไม่จริงอยู่บ้าง

เท่าที่นางจำได้ ตัวนางเองยังเคยเห็นเขาเพียงสองครั้งเท่านั้น

ครั้งหนึ่งเมื่อหลังจากเรื่องโกลาหลภายในสำนักสงบลงแล้ว ยามที่สำนักถึงคราตกต่ำที่สุด

ท่านเจ้าสำนักเหวินเหรินเชียนได้เลือกศิษย์มาสิบคนจากเด็ก ๆ ที่มีพรสวรรค์สูงส่ง พากลับมายังสำนักละอองหมอก และนางคือหนึ่งในนั้น

เฟิ่งเทียนเหิงในตอนนั้นเพิ่งจะเป็นเด็กหนุ่มอายุ 18 แต่กลับมีความคิดลึกล้ำจนอ่านไม่ออก นางเคยเห็นยามเหวินเหรินเชียนพูดคุยกับเขายังต้องสุภาพ ท่าทีไม่เหมือนกับที่ใช้คุยกับศิษย์คนอื่น ๆ แต่คล้ายกับต้องพึ่งพาชายหนุ่มเสียอย่างนั้น

อีกครั้งเมื่อยามนางได้เลื่อนตำแหน่งเป็นศิษย์สายหลักภายในเวลาสองปี เฟิ่งเทียนเหิงกล่าวคำกับนางว่า “ไม่เลว”

ชายผู้นั้นน่ากลัวนัก เห็นชัด ๆ ว่ามีหน้าตาหล่อเหลาอ่อนโยน สายตาน่าหลงใหลละลายใจคนได้ แต่ถึงกระนั้นกลับทำให้ใจคนบังเกิดความกลัวโดยไร้เหตุ

แต่ย้อนไปเมื่อวันนั้น ท่าทางที่เขามีต่อชิงอวี่ทั้งอดทนอดกลั้นและตามใจอีกฝ่ายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

หากชิงเยี่ยหลีเป็นฝันที่นางเฝ้าหาตั้งแต่เด็ก เฟิ่งเทียนเหิงก็คือพลังที่นางคิดไขว่คว้ามาครอบครอง

แล้วเหตุใดทั้งสองคนนี้จึงดูจะเชื่อมโยงกับชิงอวี่ได้?

ชิงอวี่กับสหายทักทายคนแล้วก็เดินจากไป ทิ้งเยี่ยนหนิงลั่ว และคนอื่น ๆ ให้มองหลังพวกนางที่ค่อย ๆ ห่างไกลออกไปเรื่อย

เสิ่นจิงยิ้มขันพลางเอ่ย “หนิงลั่ว น้องสาวคนนั้นของเจ้าน่าสนใจไม่น้อย”

เยี่ยนหนิงลั่วนัยน์ตาทะมึนไม่ตอบความ มุ่งหน้าไปยังห้องโถงทันที คนอื่น ๆ เบื้องหลังได้แต่มองตากันไปมา

“นางเป็นอะไรไป?” เสิ่นจิงเอ่ย สีหน้าฉงนยิ่ง

เจียงอี้หานส่ายหน้าก่อนตอบ “หนิงลั่วไม่เคยชอบคนชาติกำเนิดต่ำต้อย ตอนนี้พวกน้อง ๆ พากันมาเข้าสำนักเดียวกัน นางคงไม่ชอบใจเท่าไหร่กระมัง”

เสิ่นจิงเลิกคิ้วแต่ไม่กล่าวอะไร

ศิษย์ใหม่ทั้งหลายล้วนมาถึงยังห้องโถงแล้ว มีเพียง ศิษย์สายหลักกับอาวุโสและอาจารย์บางท่านเท่านั้นที่ยังมาไม่ถึง

ราวหนึ่งเค่อต่อมา ก็เห็นภาพคนหลายคนค่อย ๆ เดินออกมาจากด้านหลังห้องโถงใหญ่ ชายหนุ่มท่าทางงามสง่าใบหน้าดูดี สวมชุดสีเขียวเข้มเดินยิ้มนำคนมา พวกศิษย์ได้แต่เพ่งมองเขาด้วยความสงสัย

ศิษย์ใหม่กำลังคิดเดาฐานะของชายหนุ่มอยู่ในหัว ยังไม่ทันได้ตอบสนองอะไรก็เห็นว่าเขาเดินขึ้นไปนั่งยังที่นั่งตรงกลาง ด้วยท่วงท่าสูงส่งนัก

“พวกเจ้าไม่ทำความเคารพท่านเจ้าสำนักหรือ?” ผู้อาวุโสเคราขาวข้าง ๆ เอ่ยเสียงดัง สายตาต้องเหล่าศิษย์อย่างดุร้าย

เป็นตอนนั้นเองที่พวกศิษย์รู้ว่าชายหนุ่มอายุราวสามสิบกว่าปีคนนี้คือท่านเจ้าสำนักผู้ลึกลับ เหวินเหรินเชียนนั่นเอง

ทุกคนรีบเก็บสายตาตน เอ่ยทักทายตื่นเต้นออกมา “คำนับท่านเจ้าสำนัก!”

เหวินเหรินเชียนหัวเราะเสียงเบา เอ่ยวาจาอ่อนโยน “ไม่เป็นไรผู้อาวุโสโม่ อย่าเพิ่งเข้มงวดมาก เด็ก ๆ ทั้งหลายไม่เคยเห็นข้ามาก่อน ย่อมไม่รู้จักข้า การที่เด็ก ๆ ไม่รู้ย่อมไม่ผิด”

ผู้อาวุโสโม่จึงยอมปล่อยไป รับคำด้วยเสียงงึมงำก่อนพยักหน้า

เหวินเหรินเชียนกวาดตามองไปทั่วห้องโถงใหญ่ และเมื่อไม่เห็นคนที่มองหาก็เอ่ยถามเสียงประหลาดใจ “เฟิ่งเทียนเหิงยังไม่มาหรือ?”

“พี่ใหญ่เพิ่งนึกได้ว่าลืมของเลยกำลังกลับไปเอา ไม่นานคงกลับมาขอรับ” ลั่วหลานจืออธิบาย

“มันคืออะไร ทำไมเขาไม่ใช้ศิษย์คนอื่นไปเอา แต่กลับต้องไปด้วยตนเองกัน?” เหวินเหรินเชียนถามขึ้น

ลั่วหลานจือพลันยิ้ม “เขาว่าเป็นของสำคัญที่ไม่อยากให้ตกไปอยู่ในมือของผู้อื่นขอรับ”

เหวินเหรินเชียนไม่ถามให้มากความ ทำท่าเหมือนนึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้แล้วเอ่ยกับลั่วหลานจือ “อัจฉริยะน้อยที่ภาควิชาพิเศษรับมาเล่า? ขอข้าเห็นหน้านางหน่อย ข้ายังไม่ได้เห็นเลย”

ชิงอวี่เดินทางมาพร้อมกับหมิงอีอี และคนอื่น ๆ แต่เมื่อมาถึงห้องโถงใหญ่ ศิษย์ทั้งหลายก็แยกย้ายกันไปตามภาควิชาแล้ว ดังนั้นชิงอวี่ไปอยู่จึงอยู่กับคนภาควิชาพิเศษ

ถูกเรียกเช่นนี้ สายตาทั้งหลายจึงจับจ้องมายังนาง ทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัวอยู่บ้าง ก้าวเท้าไปด้านหนึ่งถึงสองก้าว

ตอนนี้ทั่วทั้งห้องใหญ่เงียบสนิท การเคลื่อนไหวของนางย่อมเป็นที่จับตามอง เมื่อเห็นนางยืนอยู่ฝั่งภาควิชาพิเศษ อีกทั้งยังมีใบหน้างดงามเช่นนั้น ทุกคนจึงเดาตัวตนนางได้ไม่ยาก

“นั่นน่ะหรืออัจฉริยะผู้ถือครองทุกธาตุ? เหตุใดจึงหน้าตายั่วยวนมีเสน่ห์ได้เช่นนี้กัน?”

ได้ยินคำนี้ก็รู้ทันทีว่าออกจากปากสตรีที่มีใจคิดริษยานัก

“แต่ข้ากลับมองว่านางน่ารักจิ้มลิ้มนัก!” ชายคนหนึ่งเอ่ยโต้

“นางดูอ่อนเยาว์ ดูเปราะบางจนอยากปกป้อง พวกสตรีในภาควิชาพิเศษเป็นนางเสือร้ายกันทั้งนั้น หวังว่าจะไม่ถูกรังแกนะ”

“เจ้าว่ามาเช่นนั้นข้าถึงกับปวดใจ เหตุใดศิษย์น้องเล็กน่ารักเช่นนางต้องตกไปอยู่ในกรงเล็บปีศาจของเจ้าพวกนั้นด้วย? ใจดวงนี้ของข้ารับไม่ไหว!”

ได้ยินเสียงคนคร่ำครวญร่ำร้องราวกับในห้องโถงไม่ได้มีสายตานับร้อยแล้ว คนจากภาควิชาพิเศษก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

กำลังเล่นตลกอะไรอยู่หรือ?

ตกไปอยู่ในกรงเล็บปีศาจนี่มันหมายความว่าอะไรกัน!?

ไม่ใช่ว่ากลับกันหรือ?! ยัยหนูนั่นน่ะใช้หน้าตาท่าทางอ่อนแอมาหลอกคนได้นักแล!

พวกข้าแทบจะปราดเข้าไปคารวะนางแล้วด้วยซ้ำนะ? ไหนเลยจะกล้ารังแกนาง?! น่าขันสิ้นดี!!

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

Status: Ongoing
ชิงอวี่ วิญญาณที่ล่องลอยมานานหลายปี จนในที่สุดก็ได้มาเข้าร่างของเด็กหญิงชะตาอาภัพ พ่วงมาพร้อมกับน้องชายฝาแฝดผู้พิการขาเดินไม่ได้ ชิงอวี่ที่ชินกับการอยู่ตัวคนเดียวมาทั้งชีวิต ได้ตัดสินใจจะดูแลน้องชายคนนี้ให้ดีที่สุด จนสุดท้ายนางถึงกับขโมย “แก่นเพลิงเยือกแข็ง” มาจากชายที่ผู้คนใต้หล้าเรียกเขาว่า “จอมมาร” และถูกเขาตามหวงหนี้แทบพลิกแผ่นดิน ชิวอวี่จะชดใช้หนี้ในครั้งนี้อย่างไรโปรดติดตาม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท