จั้งไหมชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่อาจตอบสนองได้ “อะไรนะ?”
“ยังจำที่เจ้าคิดทำสัญญาเลือดกับข้าเมื่อตอนนั้น กลายเป็นจิตวิญญาณอาวุธของข้าได้ไหม?” ชิงอวี่ถามเสียงเรียบ
แม้จะไม่รู้ว่าทำไมนางถึงเอ่ยเรื่องนั้นขึ้นมา จั้งไหมก็พยักหน้าตอบ “ข้าจำได้ ข้าถูกคนในเผ่าไล่ล่า บาดเจ็บสาหัส คงร่างเดิมไว้ยังไม่ได้ เป็นนายหญิงที่ช่วยชีวิตข้าไว้”
ชิงอวี่ในตอนนั้นเพิ่งจะอายุได้เพียง 2-3 ขวบ เป็นเด็กตัวกระจ้อยที่ยังไม่รู้ความ แต่กลับมีจิตใจโตกว่าอายุ หลังจากนางเก็บเขากลับมา ก็คอยรักษาแผลให้ ช่วยให้เขาฟื้นคืนพลังบำเพ็ญ การพักฟื้นครานั้นยาวนานถึงสามปี
งูเป็นสัตว์เลือดเย็น และอาจเพราะเด็กสาวทำให้เขารู้จักกับความอบอุ่นและความรู้สึกปลอดภัยเป็นครั้งแรก จั้งไหมหายแล้วจึงยังไม่จากไป เต็มใจเป็นจิตวิญญาณอาวุธให้นาง ยอมเข้าร่างมาทำสัญญาเลือดกับนาง อยู่และตายด้วยกัน ไม่ทอดทิ้งหรือจากนางไปไหน
ในฐานะจิตวิญญาณอาวุธที่อยู่ข้างกายนางมาแต่เด็ก กล่าวได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับชิงอวี่นั้นลึกล้ำนัก
แต่ไม่คิดเลยว่าเขาอยู่กับนางทั้งวันทั้งคืน แต่ความเลือดเย็นภายในสายเลือดกลับไม่จางหายไปเลย
หากนางไม่ฟื้นมาทันการณ์ แม้โหลวจวินเหยาจะไม่ตาย แต่ร่างกายก็จะบาดเจ็บหนัก กลายเป็นคนอ่อนแอขี้โรคไปได้ และนางจะกลายเป็นต้นเหตุให้มันเป็นเช่นนั้น แล้วนางจะไม่รู้สึกกับเรื่องที่เขาลงมือทำไปได้อย่างไร?
ชิงอวี่คิดแล้วก็ถอนหายใจ “ไหมไหม ข้าอาจใจดีกับเจ้าเกินไป แต่ข้าเคยบอกเจ้าจำได้หรือไม่? อย่าแตะต้องคนรอบกายข้า”
จั้งไหมตะตกลึงไป “นายหญิง….. ท่านโทษข้าหรือ?”
เขาไม่คิดว่าตนทำอะไรผิดไปจริง ๆ เพราะเขาทำไปก็เพื่อนายหญิง แล้วตอนนี้นางกลับสงสัยเขาเพราะคนนอกคนหนึ่งงั้นหรือ?
ชิงอวี่ไม่ตอบ แต่มองเขานิ่ง “เจ้าให้เขาเสียเลือดไปตั้งมากเพื่ออะไร ในเมื่อใช้ไม่กี่หยดก็เพียงพอแล้ว? เจ้าทำเพื่อช่วยข้าแน่หรือ?”
“ร่างกายเขาไม่เหมือนคนอื่น อีกทั้งเขายังเคยดื่มเลือดข้ามาก่อน ทำให้พลังจากเลือดเขายิ่งแข็งกล้าขึ้น ดังนั้นเลือดของเขาจึงสามารถเพิ่มพลังบำเพ็ญได้ คิดว่านี่คงเป็นสิ่งที่เจ้ากับเจ้าตัวในตำราแพทย์แดนเซียนวางแผนไว้ล่ะสิ!”
เสียงเรียบเรื่อยของเด็กสาวพลันเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นไร้อารมณ์ ราวกับไม่ได้พูดเรื่องตนเอง
แต่มันกลับทำให้จั้งไหมใบหน้าทะมึน เขากำมือแน่นราวกับไม่ยอมรับสิ่งที่ได้ยิน
ชิงอวี่ยิ้ม “แปลกใช่ไหมที่ข้ารู้? เพราะทั้งเจ้าตัวในตำราแพทย์แดนเซียนและเจ้าต่างก็มีกลิ่นเลือดโชย พวกเจ้าคงจะลืมไปว่าข้าเป็นนักปรุงยา”
ไม่ว่าเขาจะซ่อนดีขนาดไหน แต่ก็ยังไม่อาจหลบประสาทรับกลิ่นอันเฉียบคมพ้น
ในฐานะจิตวิญญาณอาวุธของนาง จั้งไหมย่อมซื่อสัตย์ต่อนางสุดหัวใจ นางไม่ต้องกลัวเขาจะทรยศ
แต่นอกจากนางแล้ว เขาก็ปฏิบัติกับคนอื่น ๆ อย่างไร้อารยะและโหดร้ายเสมอ คนรอบกายนางก็ไม่สน เพื่อนางแล้ว เขายอมทำทุกอย่าง กระทั่งเรื่องที่ขัดความต้องการนางก็ยอม
“ไหมไหม บางทีตอนนั้นเจ้าอาจรีบร้อนตัดสินใจไป ข้าอาจไม่เหมาะจะเป็นนายหญิงของเจ้า และเจ้าเองก็อาจไม่เหมาะเป็นจิตวิญญาณอาวุธของข้า เจ้าต้องติดตามข้าเพราะการผูกสัญญาเช่นนี้คงทำให้เจ้ารู้สึกอึดอัดนัก” ชิงอวี่ใบหน้าเหมือนเดิม ที่มุมปากมียิ้มบาง “เรื่องสัญญาเลือดเจ้าไม่ต้องห่วง มันยกเลิกได้ ทั้งเจ้ายังไม่ได้รับผลกระทบอะไร”
เด็กหนุ่มหลบสายตาลง ไม่พูดอะไรอยู่นาน ชั่วอึดใจหนึ่งจึงเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ท่านไล่ข้าไปเพราะบุรุษผู้นี้หรือ”
ชิงอวี่ส่ายหน้าหัวเราะเสียงเบา “ข้าไม่ได้ไล่เจ้า เพียงแต่อยากเปิดหูเปิดตาเจ้า ให้เจ้าได้เลือกสิ่งที่ดีกว่าก็เท่านั้น ในอดีต ไม่ว่าเจ้าจะทำผิดอะไร ข้าเลือกปิดตาข้างหนึ่งเสมอ เพราะอย่างไรสิ่งที่เจ้าทำก็เป็นประโยชน์ต่อข้า ข้าก็ไม่ใช่คนใจบริสุทธิ์อะไรนัก แต่มีเรื่องหนึ่งที่ไหมไหมหลงลืมไป ข้าเคยบอกไว้ว่าห้ามแตะต้องคนรอบกายข้า และเจ้าขัดคำสั่งนั้น”
จั้งไหมกำมือแน่น ไม่พูดอะไรราวกับกำลังอดกลั้นบางอย่างไว้ สุดท้ายก็รั้งอยู่ต่อไม่ไหวอีก หมุนตัวเดินจากไป กระแทกประตูปิดตามหลัง
ชิงอวี่ใบหน้าไร้อารมณ์ ไม่กล่อมให้เขาอยู่ต่อ นางตามใจเขามากเกินไป ไม่เช่นนั้นเขาจะกล้าทำเรื่องข้ามหัวนางเช่นนี้หรือ? หากไม่สั่งสอนเสียบ้างก็คงไม่เสียใจไม่ปรับปรุงตน
“เจ้าไล่เขาไปเช่นนั้นเลยหรือ?” เสียงชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นแผ่วเบาที่เบื้องหลัง น้ำเสียงนั้นแหบเล็กน้อย อาจเพราะเขาผล็อยหลับไปครู่หนึ่ง ยังไม่ตื่นเต็มที่ เพิ่งจะฟื้นเท่านั้น
ชิงอวี่หันไปมอง เห็นชายหนุ่มนอนลืมตาอยู่ครึ่งหนึ่ง ตาสีม่วงเจือรอยยิ้ม เขาจ้องนางนิ่ง ใบหน้าหล่อเหลายังซีดเซียวราวกับคนป่วย ทำให้ใบหน้าดื้อรั้นนั้นดูบอบบางอยู่เล็กน้อย
“ดูท่าพิษข้าจะแรงไม่พอ ท่านถึงได้ฟื้นเร็วขนาดนี้” ชิงอวี่ว่าพลางเลิกคิ้ว ใช้หางตามองเขา
โหลวจวินเหยานอนเอาศีรษะหนุนแขน มุมปากยกยิ้มชั่วร้ายขึ้น “เจ้าจะวางยาพิษให้ข้าตายเลย? ทำลงจริงหรือ?”
ช่างเป็นจิ้งจอกน้อยจอมสับปลับนัก แถมยังปากร้ายอีกต่างหาก นางป้อนยาบำรุงเลือดให้เขาเห็น ๆ แต่กลับบอกว่าเป็นยาพิษ
ชิงอวี่หัวเราะหึ “ทำไมจะทำไม่ลง? ท่านก็ดูเหมือนคนเง่าที่ไม่คิดรักชีวิตตนอยู่แล้ว แทนที่จะเสียเวลามารักษาชีวิตท่าน ข้าจับท่านกรอกยาพิษจบชีวิตไปเลยดีกว่า ตายเร็วจะได้ไปเกิดใหม่เร็ว ๆ”
รอยยิ้มโหลวจวินเหยาแข็งค้างไป “…..”
ยัยจิ้งจอกปากร้าย ไม่คิดยอมลงให้เขาบ้างเลย
บรรยากาศดูประหลาดและเงียบเชียบไปชั่วขณะ โหลวจวินเหยาจึงเพิ่งจะเห็นว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน
เรือนผมเด็กสาว ข้าง ๆ อยู่ในสภาพไม่เรียบร้อยเท่าไร นางนั่งหลบอยู่ในผ้าห่ม สวมเพียงเสื้อคลุมตัวในตัวบางเท่านั้น ส่วนเขาเองก็สวมเพียงเสื้อคลุมสีขาวตัวใน กำลังนอนอยู่บนเตียงข้าง ๆ นาง
คนทั้งสองนอนเบียดกันอยู่ใกล้เช่นนี้ ชิงอวี่จึงแบ่งผ้าห่มให้เขาส่วนหนึ่ง กลัวว่าเขาจะหนาว ช่วยคลุมไปถึงหน้าท้องเขาให้ ในตอนนั้นหากเขาขยับกายสักนิดก็จะแตะโดนตัวเด็กสาวเป็นแน่
พริบตานั้น คงทั้งคู่ก็ชะงักไปเล็กน้อย
ชิงอวี่ตั้งสติได้ก่อน แล้วเริ่มอธิบาย “อย่าเข้าใจผิดเสียล่ะ เพราะร่างกายท่านอ่อนแอจากการเสียเลือดมาก ทั้งในฤดูหนาวอากาศเย็นนัก หากท่านเป็นไข้เพราะนอนรับลมหนาว ข้าก็ต้องมานั่งรักษาอีก”
แล้วทำไมคำอธิบายนี้ของนางจึงยิ่งทำให้สถานการณ์ดูน่าอึดอัดขึ้นกัน?
โดยเฉพาะเมื่อใบหน้างามของเด็กสาวแต้มความกระดากอายอยู่จาง ๆ
โหลวจวินเหยาอดคลี่ยิ้มไม่ได้ เห็นใบหน้านางตอนนี้น่ารักน่าแกล้งนัก เอนร่างเข้าไปใกล้นางอีกสักหน่อย แล้วเอ่ยเสียงทุ้มน่าฟังขึ้นว่า “ข้าจะไปเข้าใจผิดอะไร?”
ชิงอวี่นั่งบื้อไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นสายตาหยอกล้อของเขา นางหลบตา ก่อนจะกระแอมแล้วเอ่ยเสียงติดขัด “เข้าใจผิด….. ว่าคิดทำอะไรไม่ดีกับท่านน่ะสิ!”
การที่ชายหนุ่มไม่คิดถึงความปลอดภัยตนเองมาช่วยนางในครั้งนี้ทำให้สิ่งที่อยู่ลึกลงในใจนางปั่นป่วนนัก อีกทั้งยังทำโดนไม่คิดอะไรมากอีก ใครจะไปรู้ว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาเร็วเช่นนี้ ทำให้สถานการณ์ดูไม่กระจ่าง ทำให้นางต้องคิดหาคำอธิบาย
ได้ยินดังนั้น ดวงตาสีม่วงของโหลวจวินเหยาก็พลันปั่นป่วนวุ่นวาย ลึกล้ำขึ้นไม่น้อย เขาเอนร่างไปใกล้ใบหูเด็กสาวแล้วเอ่ยเสียงเกือบจะยั่วยวนขึ้นว่า “ข้าไม่ว่าอะไรเลยหากเจ้าคิดจะทำอะไรไม่ดีกับข้า”
ชิงอวี่ใบหน้าชะงักค้างไป รีบยื่นแขนผลักอกเขาออก สร้างระยะห่างระหว่างคนทั้งคู่ อีกมือก็ทาบหน้าผากชายหนุ่มแล้วร้องขึ้น “ก็ไม่มีไข้นี่ ทำไมท่านถึงเอ่ยวาจาไร้สาระเช่นนั้นได้!”
โหลวจวินเหยาหัวเราะก่อนส่ายหน้าจนใจ “เจ้านี่มันจริง ๆ เลย”
“ข้าไม่สนท่านแล้ว ท่านถอยไป ข้าจะออก”
ชิงอวี่อยู่บนเตียงฝั่งด้านใน มีบุรุษแขนขายาวเก้งก้างมานอนเหยียดเช่นนี้เป็นสิ่งอุจาดตานัก แต่ตอนนี้นางเองก็แต่งตัวไม่เรียบร้อย จะให้ยืนขึ้นเลยก็คงไม่ควร ดังนั้นจึงเหยียดขาถีบเขาออกไปให้พ้นทาง
โหลวจวินเหยาร้องเสียงเกินจริง “ตอนนี้ข้าเป็นคนป่วยอ่อนแอบอบบางนะ เจ้าจะอ่อนโยนกับข้าบ้างไม่ได้เลยหรือ?”
“…..” เสแสร้งนัก! แตะนิดแตะหน่อย ทำเป็นร้องเสียงโหยหวนน่าสมเพชไปได้
ชิงอวี่คิ้วกระตุกยิก มองชายหนุ่มที่ไม่ยอมลงจากเตียงนางไปง่าย ๆ นางพลันเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงสุขุมสงบนิ่ง “ขอทางข้าหน่อยได้หรือไม่? ข้าต้องไปจัดการเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตคนเราเรื่องหนึ่ง”
โหลวจวินเหยาชะงักไปด้วยความประหลาดใจ “เรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตคนเราเรื่องหนึ่ง?”
“ในภาษาคนธรรมดาก็คือจะไปห้องน้ำ” ชิงอวี่พูดยิ้ม ๆ
โหลวจวินเหยาได้ยินแล้วก็หัวเราะจนหายใจแทบไม่ทัน ใช้เวลานานกว่าจะสงบลงได้ “เจ้านี่มันประหลาดจริง”
ชิงอวี่ “…..”
ประหลาด? หมายถึงนางน่ะหรือ??
ก็นางเอนร่างนอนมาทั้งวัน ไม่แปลกหรือที่อยากเข้าห้องน้ำ? มันมีอะไรน่าแปลก?
เมื่อเห็นว่าเขายอมขยับตัวเสียที ชิงอวี่จึงเบ้ปาก ค่อย ๆ เคลื่อนร่างไปปลายเตียง แต่บางครั้งเรื่องบังเอิญก็เกิดขึ้นได้ ชายมุมชุดนางดันถูกร่างโหลวจวินเหยาทับอยู่
และพอนางยืนขึ้นก็พบว่าร่างถูกกระชากกลับไป
โหลวจวินเหยาไม่ทันเห็นว่าเขานั่งทับชุดนางอยู่ จังหวะที่เขาทันเห็น ร่างเด็กสาวก็ร่วงลงมาแล้ว เขารีบอ้าแขนรับร่างเล็กที่กำลังล้มลงมาทันที
ทั้งสองไม่ทันตั้งตัว ต่างก็ตกใจไปตาม ๆ กัน ชิงอวี่เบิกตาโตด้วยความตกใจ
ริมฝีปากทั้งคู่อยู่ใกล้กันมาก ราวกับว่าหากมีคนหนึ่งเปิดปากพูดขึ้นมาก็คงจะแตะโดนกันได้ ชิงอวี่เผลอกลั้นหายใจ นางใช้มาสองชีวิต แต่ไม่เคยใกล้ชิดกับบุรุษในท่าเช่นนี้มาก่อน นางจึงรู้สึกใจเต้นไม่น้อย
หลังจากตกตะลึงไปชั่วอึดใจหนึ่งแล้ว โหลวจวินเหยาก็พลันแผ่ยิ้มชั่วร้ายแล้วเอ่ยขึ้น “นี่เจ้าคิดจะ….. ลงมือทำตามแผนชั่วร้ายที่คิดไว้งั้นหรือ?”
ชิงอวี่พลันโต้กลับด้วยความไม่พอใจ “ไม่ใช่สักหน่อย! ใครใช้ให้ท่านนั่งทับชุดข้าเล่า!? หากจะมีเรื่องคิดมิดีมิร้ายจริง ก็คงเป็นท่านมากกว่าที่จะมีความคิดสกปรกเช่นนั้นได้!”
รอยยิ้มมุมปากโหลวจวินเหยายิ่งกดลึกขึ้น นัยน์ตาสีม่วงหรี่ลงน้อย ๆ แววประกายในนัยน์ตาคู่นั้นละลายใจคนมอง ชายหนุ่มมักจะยิ้มอยู่ตลอด มีทั้งยิ้มจอมปลอม ยิ้มเยาะเย้ย ยิ้มไม่ใส่ใจไยดี และยิ้มชั่วร้ายที่มองแล้วเสียวสันหลังวาบ
แต่รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขใจเช่นนี้เห็นได้ยากนัก
อาจเพราะเวลาเขาอยู่กับชิงอวี่ เขาจึงสามารถยิ้มออกมาได้ตรง ๆ และผ่อนคลายสบายใจได้เช่นนี้
หากมองจากมุมนี้ สายตาของชายหนุ่มทั้งอ่อนโยนและร้อนแรงนัก ราวกับว่ากำลังจ้องมองบุคคลอันเป็นที่รัก ในดวงตาคู่นั้นมีเพียงภาพสะท้อนของนาง ไม่มองสิ่งอื่นใดอีก
วงแขนที่โอบรอบเอวไม่มีทีท่าจะคลายลงแม้แต่น้อย นิ้วที่ดันอกเขาออกไปเริ่มงอเป็นหมัก คล้ายกับกำลังจะเริ่มดิ้น
เป็นตอนนั้นเองที่จู่ ๆ ประตูก็ถูกผลักเข้ามา ไป๋จือเยี่ยนส่งเสียงเอะอะแล้วเดินเข้ามา “เป็นไง? ชิงอวี่ฟื้นหรือยัง? จวินเหยา….. พวกเจ้าสองคนกำลังทำอะไรน่ะ…..”
น้ำเสียงธรรมดาค่อย ๆ หายไป แทนที่ด้วยโทนเสียงสูง เป็นเสียงสูงที่แห่งความประหลาดใจ
ไม่ง่ายเลยกว่าชิงอวี่จะดิ้นออกมาจากวงแขนเขาได้ แล้วถูกคนเข้ามาทำให้ตกใจเช่นนี้ มือที่ดันอกเขาก็พลันเสียกำลัง ล้มลงใส่เขาอีกครั้งหนึ่ง ริมฝีปากกระแทกเข้ากับบางสิ่งแข็ง ๆ ก่อนที่ชายหนุ่มจะร่างแข็งค้างไปราวกับเป็นไม้แผ่นหนึ่ง