บทที่ 198 ท่านจอมมารรังแกจิ้งจอกน้อย
ใบหน้างามแดงฉ่า กำผ้าห่มในมือแน่น ทั้งอายทั้งโกรธ
โหลวจวินเหยาเลิกคิ้วขึ้น ถูใบหูที่ถูกเสียงกรีดร้องลั่นทำร้ายเข้าแล้วถอนหายใจอย่างจนใจ “เจ้าเป็นอะไรไป?”
“เสื้อผ้าข้าอยู่ไหน!” ชิงอวี่อยากจะระเบิดเสียตรงนั้น
ภายใต้ผ้าห่มไร้เสื้อผ้าใดปกปิดร่าง มีเพียงชุดชั้นในที่แทบปิดบังจุดสำคัญไม่มิด ใส่ก็เหมือนไม่ใส่
แล้วยังมีหน้ามาถามว่านางเป็นอะไรอีก?!
โหลวจวินเหยาตอบหน้านิ่งเสียงสงบ “เจ้าถูกพลังของปีศาจซากผีซัดร่าง เนื้อหนังยังบาดเจ็บไม่มีชิ้นดี ยังจะมาห่วงเสื้อผ้าอีก”
ชิงอวี่โกรธจัดกว่าเก่า ตวัดสายตามองชายหนุ่ม “แล้วมันอยู่ที่ไหน!”
“มันขาดหมดแล้ว ใส่ไม่ได้อีก ข้าก็เลยโยนทิ้งไปแล้ว” โหลวจวินเหยาตอบ
“ท่านถอดชุดข้าเพื่ออะไรกัน?!” ชิงอวี่โกรธนัก
โหลวจวินเหยาเลิกคิ้วมองนาง “แล้วคิดว่าถอดให้ใครเล่า? บาดแผลบนหลังเจ้าต้องเปลี่ยนผ้าพันบ่อยครั้ง เจ้าจึงสวมชุดอะไรไม่ได้เป็นการชั่วคราว”
ชิงอวี่หยุดพูด หันกลับไปด้านในเงียบ ๆ ราวกับไม่อยากเห็นหน้าเขา
โหลวจวินเหยาส่ายหน้าแล้วหัวเราะเมื่อเห็นนางเป็นเช่นนั้น มือหนึ่งแตะผมนุ่มของนางแผ่วเบาแล้วเอ่ยขึ้น “อะไรกัน? ข้าไม่ได้เตรียมชุดไว้ให้ เจ้าต้องเขินเช่นนั้นเลยหรือ?”
ส่วนเรื่องที่ทำไมเขาถึงรู้ว่าจิ้งจอกน้อยกำลังเขินนั้น แค่มองลำคอขาวและใบหูเล็ก ๆ ของนางที่เปลี่ยนเป็นสีแดงก็รู้ได้แล้ว
เขาพูดจบ เด็กสาวก็หัวเราะหึออกมาแล้วเมินเขาไป
นัยน์ตาสีม่วงของโหลวจวินเหยารู้ดีนัก เขาคลี่ยิ้มน่าหลงใหล เอนร่างเข้าไปใกล้นางแล้วเอ่ยเสียงต่ำเคล้ารอยยิ้มที่ข้างใบหูนางว่า “เจ้าอย่าโกรธไปเลย ไม่เช่นนั้นให้ข้าถอดชุดให้เจ้าดูแผ่นหลังข้าบ้างดีหรือไม่? อีกทั้งข้าแค่ดูแผล ไม่ได้ดูอย่างอื่นเลยจริง ๆ…”
ชิงอวี่ได้ยินแล้วก็อยากลงมือฟาดคน นางกำผ้าห่มแน่นก่อนกัดฟันเอ่ยขึ้น “แล้วเห็นอะไรบ้าง?”
“อืม ข้าเห็นเพียงว่าจิ้งจอกน้อยผิวขาวร่างบางนัก รูปร่างบางแต่ก็สมบูรณ์ดี ถึงจะยังโตไม่เต็มที่ แต่ก็ไม่มีส่วนไหนที่…”
“ท่านเงียบไปเลย!”
ชิงอวี่ใบหน้าแดงเรื่อ จะอธิบายอะไรของเขา คนบ้าหน้าไม่อายนี่!
ร่างที่ถูกผ้าห่มบดบังอยู่นั่นดูอ่อนแรงนัก ทว่าผิวกายขาว ๆ กลับแดงก่ำราวกับเป็นกุ้งแห้ง
โหลวจวินเหยาอดหัวเราะเสียงดังออกมาไม่ได้ เขาแกล้งจิ้งจอกน้อยจนนางแทบจะพองขนตวัดกรงเล็บใส่คนแล้ว สุดท้ายจึงยอมแพ้ จากนั้นจึงดึงผ้าห่มนางออก “เจ้าโผล่หน้าออกมาหน่อยมันจะตายหรือ?”
“ก็ข้าไม่อยาก” น้ำเสียงนางดุร้ายนัก
จะนับว่านางน่ารักมากก็ว่าได้ เพราะหากได้เห็นชิงอวี่ในยามปกติ การจะได้เห็นด้านนี้ของนางนั้นยากเสียยิ่งกว่าอะไรดี เพราะนางไม่ใช่สาวน้อยที่ขวยเขินขี้อายเช่นนี้
ดังนั้นเมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ โหลวจวินเหยาจึงเห็นว่ามันน่ารักมากจริง ๆ
เขายิ้มกว้างพลันเอ่ยว่า “หากเจ้ายังเอาแต่หลบอยู่ในนั้น ข้าจะเผามันทิ้งเสีย ถึงตอนนั้นก็อย่าโทษว่าข้าได้เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นก็แล้วกัน”
แม่นางน้อยผู้นี้ ไม่คิดเลยว่าจะขี้อายเข้ากระดูกเช่นนี้ ทั้งที่ปกตินางดูกล้าหาญใจกว้างมากแท้ ๆ น่าสนใจจริง ๆ
เมื่อเด็กสาวได้ยินคำขู่จึงค่อย ๆ โผล่ศีรษะออกมาจากผ้าห่มด้วยนัยน์ตาขุ่นเคือง
เจ้าตัวเล็กนี่ ตอนเขาพูดดี ๆ กลับไม่ชอบ ต้องให้เขาขู่จึงจะยอมกระมัง
โหลวจวินเหยายื่นมือไปยืดแก้มนาง ก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่มไร้พิษภัย “ในเมื่อตื่นแล้วก็ดื่มยาเองเถอะ”
ชิงอวี่ถูกเขาขู่ก็ยังไม่หายโกรธ ได้ยินเขาว่ามาเช่นนี้จึงตกตะลึงไป “ท่านว่าอะไรนะ?”
โหลวจวินเหยาเอื้อมไปหยิบชามยาจากโต๊ะที่ตั้งอยู่ไม่ไกล ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็ได้กลิ่นยาโชยมาอย่างรุนแรงแล้ว
นางขมวดคิ้วมุ่นแทบจะทันที ก่อนจะสะบัดหน้าหนี “เอาออกไปเลย”
โหลวจวินเหยามองหน้านางสีหน้าประหลาดใจ นัยน์ตาสีม่วงจ้องมองนางด้วยความสนอกสนใจ “เจ้าเป็นหมอที่กลัวการดื่มยาจริง ๆ เสียด้วย”
“ท่านรีบเอามันออกไปเถอะ” ชิงอวี่เอ่ยขึ้นอีก นางเขยิบไปด้านข้างอย่างยากลำบากทั้งที่บนหลังมีแผลขนาดใหญ่ ดูท่านางจะไม่ชอบดื่มยามากจริง ๆ
โหลวจวินเหยาเหลือบมองนางพลางคลี่ยิ้ม นิ้วเรียวยกช้อนขึ้นคนยาในชามเบา ๆ อุ่นกำลังดีเลยเชียว
“เจ้าดื่มยาแต่โดยดีเถอะ ไม่เช่นนั้นหากเหลือแผลเป็นไว้บนหลังจะไม่น่ามอง” โหลวจวินเหยาพยายามเกลี้ยกล่อม
ทว่าชิงอวี่กลับไม่ใส่ใจ เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ก็ช่างมันเถอะ ข้ามองไม่เห็นหลังตนเองอยู่แล้ว พอสวมชุดทับก็มองไม่เห็นอยู่ดี ข้าท่องใต้หล้าย่อมพบอันตรายมากมาย แผลเป็นเท่านี้ไม่เท่าไหร่หรอก”
หึ นางใจกล้าไม่น้อย หากเป็นสตรีอื่นแค่มีแผลเป็นเท้าปลายเล็บก็คงร้องห่มร้องไห้ไปแล้ว แต่นี่นางมีแผลฉกรรจ์ทั้งหลัง แต่นางกลับไม่คิดเป็นอะไร
“ตอนเจ้าหมดสติยังยินยอมดื่มยาแต่โดยดี แต่พอฟื้นแล้วกลับไม่ยอมงั้นหรือ” โหลวจวินเหยานัยน์ตาเป็นประกาย “ดูท่าว่าคงต้องให้ข้าป้อนเสียแล้วกระมัง”
ได้ยินดังนั้น ชิงอวี่ก็เบิกตากว้างประหลาดใจ “ตอนข้าหมดสติข้าดื่มยาหรือ?”
เป็นไปได้ยังไง?
นิสัยไม่ชอบดื่มยาของนางติดมาจากเมื่อชาติก่อน ไม่ใช่เพราะร่างกายนางต่อต้าน แต่เป็นเพราะใจนางต่อต้านมันต่างหาก
ฉะนั้นถึงแม้นางจะไม่ได้สติก็ยังไม่ยอมดื่มยาอยู่ดี นางยังจำได้ว่านางเคยมีไข้จนหมดสติไปเพราะไม่ยอมดื่มยาอยู่ครั้งหนึ่ง
ดังนั้นเมื่อได้ยินเขาบอกว่าตอนนางหมดสติยังยอมดื่มยาแต่โดยดีแล้ว ชิงอวี่จึงไม่มีทางเชื่อคำเขา
โหลวจวินเหยาจ้องมองนางด้วยสายตาน่าสงสัยพลางเลิกคิ้วมองนางยิ้ม ๆ “สงสัยเจ้าจะชอบให้ข้าป้อนเช่นนั้นกระมัง”
“ว่าอะไรนะ? ชิงอวี่มองหน้าเขาด้วยสายตาพิศวง
อีกฝ่ายไม่ตอบคำ เพียงแต่มองนางท่าทางมีความนัย สายตาดูร้อนแรงอยู่เล็กน้อย
แรกเริ่มเดิมทีชิงอวี่ก็ไม่ได้คิดอะไร แต่เมื่อเห็นว่าสายตาเขาจับจ้องมาที่ริมฝีปากตน นัยน์ตาหงส์ก็เบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ “นี่ท่าน…”
โหลวจวินเหยาทำเพียงแต่ยิ้มถาม “ต้องให้ข้าป้อนหรือไม่?”
ชิงอวี่จึงยื่นมือไปรับชามยามาไม่ทันรู้ตัว “ข้าดื่มเองได้”
ชายหนุ่มจึงหยักหน้าพึงพอใจทันที “ดีมาก”
ตอนนี้ในหัวชิงอวี่ความคิดตีกันยุ่งไปหมด นี่เขาเอาเปรียบนางตอนนางหมดสติไปงั้นหรือ…
นางดื่มยาเข้าไปรวดเดียวจนหมด ทว่าภายในกลับเริ่มรู้สึกคลื่นเหียน อีกทั้งยายังกลิ่นไม่น่าพิสมัยเอาเสียเลย นางพลันหน้าเปลี่ยนสี อยากอาเจียนมันออกเสียเดี๋ยวนั้น
ทว่าพริบตาต่อมา ของนิ่ม ๆ หวาน ๆ พลันถูกยัดเข้ามาในปาก กลบกลิ่นยาออกไปทันที บรรเทาความคลื่นเหียนของนางลง
ชิงอวี่กัดเบา ๆ ภายในนั้นมีรสเปรี้ยวอร่อยนัก นางกะพริบตาถาม “อะไรน่ะ?”
“ขนมดอกบัวรูปหัวใจ พวกเด็กดื้อบนแดนเมฆาสวรรค์ชอบกินนัก เวลาร้องไห้ป้อนขนมนี่เข้าหน่อยก็จะหยุดร้องเอง” โหลวจวินเหยาเอยยิ้ม ๆ
“ท่านทำเหมือนข้าเป็นเด็กหรือ?” ชิงอวี่จับจ้องเขานิ่ง
ทว่าอีกฝ่ายกลับยื่นมือมาลูบหัวนางท่าทางขบขัน “ก็เป็นเด็กไม่ใช่หรือไร มีแต่เด็ก ๆ เท่านั้นที่จะดื้อไม่ยอมดื่มยาเช่นนี้”
“……” ตอนนี้นางอยากฟาดคนมาก
“ตอนนี้เวลาอะไรแล้ว?” ชิงอวี่พลันนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ มองหน้าเขาแล้วเอ่ยถามขึ้น
โหลวจวินเหยารู้ดีว่านางคิดถามอะไรจึงเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืน พรุ่งนี้จะถึงวันงานสานสัมพันธ์แล้ว แต่อย่าเพิ่งดีใจว่ายังไม่ได้นอนเลยเวลา เจ้าบาดเจ็บอยู่ อย่าได้คิดจะไปร่วมงานเชียว หากเจ้าขยับตัวแผลอาจเปิดได้ อีกทั้งเจ้าคงไม่อาจขึ้นลงหุบเขาไร้กังวลเขาที่มีกับดักซุกซ่อนอยู่เต็มได้หรอก”
“แต่พวกเขาหมายจะให้ข้าไป หากข้าไม่ไปจะไม่นับว่าเป็นการสละสิทธิ์หรือ?” ชิงอวี่ดูเป็นกังวลอยู่บ้าง
“เจ้าคิดว่าบาดแผลเจ้าเป็นแผลเล็กน้อยหรือ?” โหลวจวินเหยามองนาง “ออกไปต่อสู้สังหารกันมันสนุกตรงไหน? อีกทั้งพวกคนในหุบเขาไร้กังวล นอกจากซีจ้านเฉินแล้วก็มีแต่พวกไร้ฝีมือ เจ้าไปจะมีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจ”
ชิงอวี่อยากเอ่ยความต่อ ทว่าถูกเขาขัดขึ้น “ไม่ต้องพูดแล้ว ถึงจะใช้ยาวิเศษขนาดไหน กว่าเจ้าจะหายดีอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาครึ่งเดือน จนกว่าจะถึงตอนนั้นเจ้าเป็นเด็กดีเชื่อฟังข้าเป็นพอ ไม่ต้องนึกถึงเรื่องอื่น”
“ข้าไปดูเฉย ๆ ก็ไม่ได้หรือ?” ดวงหน้าเล็กดูซีดเซียวนัก ยามช้อนตามองเช่นนั้นดูน่ารักน่าสงสารจับใจ
ทว่าโหลวจวินเหยาไม่ใจอ่อน เอ่ยเสียงเรียบว่า “ไม่ได้”
“ท่านไม่ใช่พ่อข้า เหตุใดต้องเป็นห่วงข้าด้วย?” ชิงอวี่ส่งเสียงเหอะเย็นชาออกมา
โหลวจวินเหยาได้ยินแล้วก็หัวเราะ นัยน์ตาสีม่วงทะมึนลง “หากข้ามีลูกสาวดื้อด้านเช่นเจ้า ข้าคงจับตีไปนานแล้ว”
เขาเอ่ยเสียงแข็ง แต่กลับไม่รู้เลยว่ายามตัวเองได้เป็นพ่อคนจะกลายเป็นทาสให้บุตรสาว จะเงื้อมือตียังไม่กล้า อย่าให้ได้ยินว่าใครมาต่อว่าลูกสาวเขาแม้เพียงครึ่งคำเชียว ไม่เช่นนั้นชื่อเสียงจอมมารของเขาคงเป็นแค่ลมพัดเปล่าไร้ค่าราคาใด
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ เมื่อโหลวจวินเหยาเห็นนางดูขุ่นเคืองใจนัก สุดท้ายเขาก็ยอมรับคำ ถอนหายใจเบา ๆ “ข้าพาเจ้าไปดูก็ได้ ทว่าเจ้าจำไว้ ดูแต่ตา ตัวห้ามขยับ”
“ข้าสัญญา” เด็กสาวที่หน้ายู่ลงเมื่อครู่พลันเปลี่ยนสีหน้า เงยหน้ารับคำด้วยท่าทางเชื่อฟังนัก
“หิวหรือไม่ อยากกินอะไรหน่อยไหม?” โหลวจวินเหยาถามเสียงอบอุ่น
“เรื่องกินไว้ก่อนเถอะ ข้าอยากหาเสี่ยวเป่ย ไม่รู้ว่าเข้าไปสถานที่ต้องห้ามได้รับบาดเจ็บหรือไม่ แล้วยังมีเรื่องปีศาจซากผีนั่นอีก ข้าว่ามันประหลาดนัก มันไม่ควรมาอยู่ที่แดนมุกหยก…”
“เสี่ยวเป่ยปลอดภัยดี ส่วนเรื่องที่มันปรากฏตัวขึ้นนั้นก็น่าแปลกอย่างเจ้าว่า ข้าจะไปตรวจสอบวันหลัง เจ้าไม่ต้องห่วง รักษาแผลให้หายดีเถอะ”
โหลวจวินเหยาดึงผ้าห่มที่นางเผลอทำลื่นลงไหล่ไปขึ้นมาให้ใหม่
แม้ที่แผ่นหลังจะแทบไม่เหลือเนื้อดี แต่ด้านหน้ากลับยังผิวเนียนนุ่มไร้รอยขีดข่วน โดยเฉพาะไหปลาร้าด้านล่างลำคอระหงนั่น ดูบอบบางกว่าสตรีอื่นใดนัก
ทำให้ผู้คนไม่อาจละสายตาจากไปได้…