บทที่ 225 อย่าเพิ่งได้ใจไป อาจสะดุดล้มก็เป็นได้
“จากมุมมองของข้า ข้าเองก็อยากให้ท่านยอมรับเช่นกัน”
ชิงหลานเฟยนัยน์ตากระจ่าง มองตรงไปยังใบหน้าถมึงทึงของเหยียนจูไม่หวั่นไหว น้ำเสียงนางแผ่วเบาแต่ก็เด็ดขาด “หากใต้หล้านี้ท่านเป็นคนที่ห่วงใยจิ่งอวี้ที่สุด ข้าก็เป็นคนที่รักเขาที่สุด คนสองคนที่ยอมสละชีวิตเพื่อกันและกันได้ ท่านถามว่าทำไมข้าจึงยังมีชีวิตอยู่…..”
นางหลุบขนตายาวลงเพื่อปิดบังอารมณ์ในดวงตา “ก็เพราะว่าเขายังอยู่ ข้าไม่อาจทิ้งให้เขาอยู่เพียงลำพังได้ หากไม่ได้รับการยืนยันแน่ชัดว่าเขาจากไปแล้ว ข้าก็จะไม่ยอมจากไปเด็ดขาด”
ถึงวิญญาณหลักนางจะถูกกักขังอยู่ในอารามจันทร์กระจ่างมาหลายร้อยปีจนอ่อนแอ แต่นางยังคงไม่ยอมแพ้
ม่อจิ่งอวี้รู้สึกราวกับมีมดนับหมื่นตัวกัดกินใจ เขากุมมือนางไว้แน่นแล้วเอ่ยเสียงทุ้ม “เจ้าไม่ต้องพูดแล้วเฟยเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องทำอะไรเพื่อให้เขายอมรับหรอก ข้าเป็นคนที่เจ้าจะใช้ทั้งชีวิตไปด้วยกัน เจ้ารักแค่ข้าก็พอแล้ว เฟยเอ๋อร์เป็นสตรีที่ดีที่สุดในใต้หล้า เป็นคนที่เหมาะกับข้าที่สุด เท่านี้ข้าก็พอใจแล้ว”
“จิ่งอวี้…..”
ชิงหลานเฟยเห็นเขาหน้านิ่วคิ้วขมวดก็อดยกยิ้มไม่ได้ เขายังเหมือนเดิม ไม่อาจทนเห็นนางต้องเศร้าใจแม้สักนิดได้
แม้นางจะไม่ได้รู้สึกเศร้าใจสักนิด แต่เขาก็ยังใส่ใจนาง
เหยียนจูมองคนทั้งสองปกป้องกันไปมาไม่หยุดแล้วก็อยากอาเจียนเป็นเลือดด้วยความขุ่นเคือง เช่นนั้นสองคนนี้มองเขาเป็นชายร้ายกาจที่หมายจะแยกคนรักออกจากกันงั้นหรือ!?
“เอาล่ะ ๆ! ช้าพบพวกเจ้านับว่าเป็นกรรมที่ข้าทำมาแปดชาติ พวกเจ้าเกิดมาเป็นหายนะในชีวิตข้าโดยแท้!” เหยียนจูสูดหายใจเข้าลึก สุดท้ายก็ยอมลงให้ “อย่างไรชนเผ่าหมานก็เป็นของเจ้าโดยชอบธรรม ข้าก็เพียงช่วยดูแลเท่านั้น ตอนนี้เจ้าฟื้นแล้ว ข้าก็ควรมอบคืนให้เจ้า อีกสักพักข้าจะไปแจ้งข่าวกับทุกคน”
“ไม่หรอก ไม่ต้อง” ม่อจิ่งอวี้รีบยกมือห้าม “ของข้าของเจ้าอะไรกัน? เจ้าก็ทำหน้าที่หัวหน้าเผ่าได้ดีมาโดยตลอดไม่ใช่หรือ? ดีกว่าข้าเมื่อก่อนเสียอีก เห็นได้ชัดว่าเจ้าเหมาะกับตำแหน่งหัวหน้าเผ่ามากกว่าข้า อีกทั้งจะเปลี่ยนหัวหน้าเผ่ากะทันหันในเวลาแบบนี้อาจจะทำให้ผู้คนวุ่นวายใจ ต้องสร้างปัญหาเป็นแน่”
เหยียนจูเบิกตากว้าง “เจ้าหมายความว่ายังไง? เจ้าจะให้ข้าดูแลชนเผ่าหมานงั้นหรือ?”
“แล้วไม่ได้หรือ?” ม่อจิ่งอวี้เอ่ยราวกับมันเป็นเรื่องสมควรแล้ว
“แล้วเจ้าเล่า!?”
“ข้าย่อมติดตามเฟยเอ๋อร์ไปรวบรวมเศษวิญญาณที่ขาดหายไป” ม่อจิ่งอวี้ว่าพลางจ้องนางด้วยสายตาอ่อนโยน
แม้เหยียนจูจะโกรธเกรี้ยวนัก แต่ในใจเขาก็รู้ดี
ที่ชิงหลานเฟยต้องทุกข์ทรมานจากวิญญาณไม่สมประกอบก็เพราะนางพยายามช่วยชีวิตม่อจิ่งอวี้ หากตอนนั้นนางไม่ใช่วิชาต้องห้ามเพื่อต่อชีวิตม่อจิ่งอวี้ไว้ อีกฝ่ายก็คงตายไปก่อนที่เหยียนจูจะทันช่วยนำร่างที่ยังมีลมหายใจเขากลับมาแล้ว
ดังนั้นเหยียนจูจึงไม่อาจต่อว่าม่อจิ่งอวี้ได้เมื่อชายหนุ่มคิดจะใช้วิชาต้องห้ามของเผ่าเพื่อช่วยเหลือนาง แต่อย่างไรก็ต้องมีราคาที่ต้องจ่ายบ้าง
ช่างเถอะ เขาจะไม่ยุ่งเรื่องของสองคนนี้แล้ว ในเมื่อเจ้าตัวยังไม่ใส่ใจ แล้วเขาจะใส่ใจหยุดยั้งไปเพื่ออะไร? ก็ปล่อยพวกเขาไปเถอะ!
เมื่อเหยียนจูคิดตกแล้ว เขาก็ไม่คิดจะต่อความยาวสาวความยืดอีก แต่หันหลังเดินจากไปแทน ก่อนจากยังโบกมือลาทั้งยังไม่หันกลับมามองคนทั้งสอง “เช่นนั้นก็โชคดีแล้วกัน!”
ชิงหลานเฟยมองเงาร่างนั้นหายไป “เขาโกรธพวกเราหรือไม่?”
“ทำไมต้องโกรธเล่า?” ม่อจิ่งอวี้ไล้แก้มนางพลางหัวร่อ “เจ้านั่นปากร้ายแต่ใจอ่อนราวเต้าหู้ คำพูดคำจาอาจฟังดูเย็นชาไร้หัวใจ แต่จริง ๆ เขาก็เป็นห่วงเจ้านั่นล่ะ”
“หือ?” ชิงหลานเฟยเงยหน้าขึ้นมองเขาสีหน้าฉงน
ม่อจิ่งอวี้ยื่นมือออกมาพลางคลี่ยิ้ม “เจ้าดู เขามอบกุญแจให้ข้ามาด้วย ความลับสำคัญทั้งหลายของเผ่าถูกเก็บไว้ในกระโจมใหญ่แห่งนี้”
ชิงหลานเฟยก้มหน้าลงมอง เห็นตราหยกสีเหลืองอ่อนพลันปรากฏขึ้นในมือเขา นางไม่รู้ว่าเหยียนจูมอบให้เขาตั้งแต่เมื่อไหร่
ชิงหลานเฟยเห็นแล้วก็ตื้นตันใจ จับมือเขาไว้แน่นแล้วเอ่ยเสียงเบา “เขาเป็นคนดีมาก”
“ใครจะกล้าเถียง! ?” ม่อจิ่งอวี้ถอนใจ “มีพี่น้องเช่นเขา ชีวิตนี้ของข้านับว่าคุ้มค่าแล้ว”
– แดนธาราขาว –
ตระกูลเฟิ่ง
“คุณชายรอง! คนจากสมาพันธ์กำจัดสิ่งชั่วร้ายมาอีกแล้วขอรับ!” เมื่อได้ยินน้ำเสียงลนลานจากข้ารับใช้ที่วิ่งเข้ามาแจ้งข่าว ความโกรธที่ชิงเทียนหลินพยายามกดข่มไว้ในอกก็เกือบปะทุออกมา
ดวงตาสีดำมืดชั่วร้ายตวัดมองข้ารับใช้ที่คุกเข่าตัวสั่นอยู่กับพื้น “เมื่อหลายวันก่อนก็เพิ่งมาค้นไปไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงกลับมาอีกแล้ว?”
แม้หุ่นเชิดปีศาจของชิงเทียนหลินจะไม่ถูกพบเจอ แต่ใครจะคิดว่าคนพวกนั้นกลับลงมือไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้? ช่วงนี้เขาพบปัญหามากมายจนอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้
“พวกเขาบอกว่าในเมื่อข่าวออกมาจากตระกูลเฟิ่ง แสดงว่าต้องมีมูลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงอยากค้นสถานที่อีกครั้ง เผื่อว่าครั้งก่อนจะมองข้ามสิ่งใดไป หากเกิดเรื่องพวกเขาจะรับผิดชอบเองขอรับ”
“พวกขยะนั่น!”
ชิงเทียนหลินตบที่วางแขนจนมันแหลกเป็นผง แต่ที่น่ากลัวกว่าเศษไม้ที่ร่วงลงมาเห็นจะเป็นสีหน้าของเขาเอง
ข้ารับใช้ตกใจจนสะดุ้งโหยง หลังจากแจ้งข่าวแล้วก็รีบตะเกียกตะกายออกไปทันที
คุณชายรองอารมณ์คาดเดาได้ยากขึ้นทุกที ชีวิตน้อย ๆ ของเขาสำคัญกว่ามาก ครั้งหน้าถึงจะถูกตีตายเขาก็ไม่ยอมมาแจ้งข่าวแล้ว
กลิ่นอายชั่วร้ายของชิงเทียนหลินแทบจะแผ่ปกคลุมไปทั่ว ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกระแอมดังขึ้นที่นอกประตู ตามมาด้วยเสียงเบา ๆ ของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่เจือแววขัน “อะไรกันที่ทำให้เจ้าโกรธได้ถึงเพียงนั้น? ไอ้โง่ตาบอดที่ไหนกล้ามายุแหย่เจ้างั้นหรือ?”
ชิงเทียนหลินชะงักไป ตกใจที่ตนเองปล่อยให้ความโกรธครอบงำจนไม่รู้ตัวว่ามีคนเข้าใกล้ แต่เมื่อเห็นคนที่หน้าประตู นัยน์ตาก็ยิ่งชั่วร้ายกว่าเก่า เอ่ยเสียงเย็นชาขึ้น “ใครให้เจ้าออกมา!?”
คนที่หน้าประตูนั่งอยู่บนเก้าอี้เข็นที่สร้างมาเป็นพิเศษ เขาอยู่ในชุดคลุมยาวสีท้องฟ้า ทั้งสง่างามและหล่อเหลายิ่งนัก
ที่หว่างคิ้วเขามีร่องรอยไม่แยแสสิ่งใดประดับอยู่ กลิ่นอายก็เป็นเอกลักษณ์ดูโดดเด่น แต่ใบหน้ากลับซีดขาว เห็นได้ชัดว่าร่างกายไม่แข็งแรง ถูกโรคภัยกล้ำกรายมานานหลายปี
คนผู้นั้นคือผู้สืบทอดตระกูลเฟิ่งที่ไม่มีใครพบหน้ามานานหลายปี ว่ากันว่าป่วยเป็นโรคที่น่ากลัวเกินกว่าจะออกมาพบใคร คือเฟิ่งเทียนจิ้นนั่นเอง
เขามีโรคภัยอยู่จริง และเรื่องที่ร่างกายอ่อนแอก็เป็นความ ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตเมื่อครานั้น คนหนุ่มมากความสามารถที่มีชื่อดังไปทั่วแดนธาราขาวเช่นเขา
เพียงแค่ข้ามคืนกลับสูญสิ้นไปเกือบทุกอย่าง
และเรื่องทั้งหมด ก็เป็นเพราะเจ้าปีศาจชั่วร้ายที่ตอนนี้กำราบตระกูลเฟิ่งไว้ในกรงเล็บปีศาจของตน
เฟิ่งเทียนจิ้นรู้มานานแล้วว่าคนผู้นี้ไม่ใช่เฟิ่งเทียนเหิงตัวจริง หากแต่เป็นปีศาจที่เข้ามายึดร่างเขาต่างหาก
ไม่ว่าคนเราจะเปลี่ยนไปได้อย่างไร แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเช่นนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นนิสัยหรือการกระทำก็เปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์ หากจะให้เขาเชื่อว่าเฟิ่งเทียนเหิงขี้ขลาดตาขาวนั่นจะสามารถเปลี่ยนไปเป็นผู้มีพลังลึกล้ำในชั่วข้ามคืนได้ เขาก็คงเป็นไอ้โง่แล้ว
เฟิ่งเทียนจิ้นเหมือนจะไม่รู้สึกอะไรยามสบตาเข้ากับสายตาชั่วร้ายนั่น อย่างไรตอนนี้เขาก็ใกล้ความตายเข้าไปทุกที อีกทั้งเฟิ่งเทียนเหิงก็ไม่กล้าสังหารเขาอยู่แล้ว
ภายในตระกูลเฟิ่งนั้น เขายังมีอำนาจเหนือกว่าบิดาโง่เง่าโลภมากผู้นั้นอีกมาก
“ข้าก็มาหาน้องชายที่น่ารักของข้า ที่เหมือนจะไปเตะตาพวกคนน่าชังเข้าน่ะสิ ข้าคิดว่าช่างเป็นเรื่องโชคร้ายนัก ก็เพียงแค่มาเพราะความเป็นห่วงเท่านั้น” เฟิ่งเทียนจิ้นเอ่ยพลางคลี่ยิ้มไร้พิษภัย
แต่เหมือนรอยยิ้มของเขาจะยิ่งทำให้คนที่โกรธแทบระเบิดยิ่งเคืองใจ พริบตาเดียวเงาร่างคล้ายภูตผีก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเฟิ่งเทียนจิ้น บีบคอเขาไว้แล้วยกร่างขึ้นจากเก้าอี้เข็น
ร่าเขาลอยขึ้น น้ำหนักทั้งหมดรั้งไปที่ลำคอที่ถูกบีบ เฟิ่งเทียนจิ้นเกือบหายใจไม่ออกแทบสิ้นใจ
แต่เขาเองก็เป็นประเภทเดียวกับศัตรูเบื้องหน้า เป็นพวกบ้าที่ไม่กลัวตาย อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เขาก็ยังยิ้มออก เขาเค้นรอยยิ้มออกมาจากหน้าซีดขาวที่ดูน่าผวายิ่งกว่าคนตายออกมา
“โกรธเพราะอับอายงั้นหรือ? จะเป็นผู้นำตระกูล เจ้ายังต้องเจออะไรหนักกว่านี้มาก ตอนนี้อย่าเพิ่งเสียท่าทีดีกว่า โกรธง่ายเช่นนี้ไม่ใช่ลักษณะผู้นำที่ดีเจ้ารู้ไหม…..”
เฟิ่งเทียนจิ้นพูดไม่ทันจบ มือที่กำรอบคอก็บีบแรงขึ้น จากนั้นร่างเขาก็ถูกโยนออกไป กระแทกเข้ากับเก้าอี้ไม้จันทน์สีดำเนื้อดีจนแตกกระจาย
เฟิ่งเทียนจิ้นกระอักเลือดออกมาแล้วไออย่างแรง เป็นภาพที่น่าสังเวชนัก
ชิงเทียนหลินไม่ใส่ใจ เพียงแต่เอ่ยเสียงต่ำขึ้น “ข้าไม่มีเวลามาเสียไปกับเจ้า รอข้ากลับมาเสียก่อน ระหว่างนั้นเจ้าก็คิดไว้เลยว่าอยากตายแบบไหน”
ว่าแล้วก็ก้าวเท้าจากไปทันที
รอจนอีกฝ่ายเดินหายลับไปแล้ว ชายสวมชุดเกราะสองคนก็เผยกายจากมุมมืด รีบรุดเข้ามาพยุงเฟิ่งเทียนจิ้นขึ้นบนเก้าอี้เข็น
“คุณชาย ทำไมถึงทำเช่นนี้เล่าขอรับ?” คนหนึ่งหยิบยาออกมาป้อนให้เฟิ่งเทียนจิ้น ดูท่าจะได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี สีหน้าเป็นห่วง พลางมองเลือดที่ไหลออกจากริมฝีปากเฟิ่งเทียนจิ้น ใบหน้าเจ้าตัวซีดขาวจนน่ากลัว
ทุกครั้งที่นายน้อยไปยุแหย่คนผู้นั้นจะได้รับบาดเจ็บอยู่ทุกครั้งไป แล้วทำไมถึงต้องดึงดันจะทำเช่นนั้นต่อด้วย?
เฟิ่งเทียนจิ้นกินยาแล้วรู้สึกดีขึ้นมาก เขายกยิ้มขึ้นพลางส่ายหน้า “ไม่ทำเช่นนี้เขาจะคอยระแวงข้าตลอดอย่างไรเล่า!? และทุกครั้งที่เห็นเขาโกรธเกรี้ยวกว่าเก่ายิ่งทำให้เห็นว่าแผนเสแสร้งข้าสำเร็จ ให้เขาเห็นว่าข้าไม่คิดต่อกรกับเขา เป็นแค่ไอ้บ้าที่เสนอหน้ามาพูดยียวนกวนโมโหเท่านั้น และนั่นล่ะจะเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบของเขา”
จากนั้นก็ทอดสายตาไปไกล เหมือนตกอยู่ในภวังค์ “เขากำเริบเสิบสานมานานเกินควร ตอนนี้….. ปัญหาก็มากันมาเยือนเขาก็ตลอดแล้วกระมัง?”
ที่อีกด้านหนึ่งของจวน ชิงเทียนหลินรีบมุ่งหน้าไปยังห้องโถงที่เรือนใหญ่ โดยมีข้ารับใช้เดินติดตามอยู่ด้านหลัง คนทั้งหมดทิ้งระยะห่างจากเขาแล้วพากันมองหน้ากันไปมา
ทำไมสีหน้าคุณชายรองเหมือนอยากสังหารคนเลยเล่า?
คงไม่ใช่กระมัง? พวกนั้นมาจากสมาพันธ์กำจัดสิ่งชั่วร้าย ขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแดนธาราขาวเชียวนะ! ไม่ว่าคุณชายรองจะแกร่งขนาดไหนก็คงไม่กล้าปะทะกับคนพวกนั้นหรอก!?
ชิงเทียนหลินก้าวเท้ารวดเร็ว ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาก็ถึงที่หมาย แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าเข้าห้องโถงไปก็พลันได้ยินเสียงชายหนุ่มคุ้นหูดังมา เป็นน้ำเสียงเย็นชาน่าดึงดูด รื่นหูราวกับประคำหยกร่วงลงบนถาด แต่กลับทำให้ชิงเทียนหลินกัดฟันแน่น ในใจอยากสังหารคนยิ่งนัก