บทที่ 237 อยู่ ๆ ท่านก็สลบไป
บทที่ 237 อยู่ ๆ ท่านก็สลบไป
ร่างสูงในชุดคลุมม่วง หน้าตาหล่อเหลา อุ้มเด็กสาวที่กำลังง่วงงุนเพิ่งตื่นไว้ในอ้อมแขน เขามองชายที่นอนกองกับพื้นด้วยสายตาไร้อารมณ์ หากแต่เจือด้วยไอสังหารไม่ปิดบัง
นิ้วเรียวของเขายกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะถูกมือนุ่มกดลงไป
โหลวจวินเหยาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแล้วส่งสายตาถามนาง
ชิงอวี่จึงเอ่ยปากขึ้น “คนผู้นี้มีชีวิตอยู่ยังมีประโยชน์ต่อข้า นิสัยก็ไม่แข็งทื่อเช่นคนอื่น ๆ ที่นี่ ข้าอาจเสาะหาข้อมูลบางอย่างได้จากเขา”
“งั้นหรือ?” โหลวจวินเหยาหรี่ตา “ไม่ใช่เพราะเขา….. หน้าตาดูดี เจ้าเลยเห็นเขาถูกข้าสังหารไม่ลงหรือ?”
ชิงอวี่ได้ยินแล้วก็แทบกลั้นขำไม่ไหว เกือบจะระเบิดหัวเราะออกไปอยู่รอมร่อ
เห็นหน้าเขาบูดบึ้งเช่นนั้น ชิงอวี่ก็เอื้อมไปหยิกหน้าหล่อ ๆ นั่นแล้วเอ่ยหยอก “หึงข้าหรือ? หืม?”
“เปล่า” โหลวจวินเหยาเอ่ย
“เช่นนั้นยิ้มให้ข้าหน่อยสิ” ชิงอวี่กะพริบตาบอก แต่กลับได้รับสายตาเย็นชาเสียดแทงกลับมาดังคาด
ชิงอวี่แอบก้มหน้าหัวเราะ จากนั้นใช้นิ้วจิ้มหน้าเขา “ท่านคิดว่าหน้าตาท่านดูดีไม่เท่าคนที่นอนอยู่บนพื้นหรือ?”
“หึ! มีหรือข้าจะแพ้เขา!?” โหลวจวินเหยาส่งเสียงหัวเราะเหอะออกมา น้ำเสียงมั่นอกมั่นใจนัก ยามกล่าวยังเผลอขยับเท้าเตะหลังเยว่เฝินไปอีกหนึ่งครา
เขาหมดสติไปแล้ว แต่กลับอ้าปากร้องเสียงเบาออกมา
ชิงอวี่มุมปากกระตุกยิก “…..”
เขาเตะแรงแค่ไหนถึงทำให้คนที่หมดสติไปแล้วรู้สึกเจ็บได้กัน …..
นี่เขาเป็นคนใจแคบขนาดไหนกัน?
“เอาล่ะ ๆ ท่านไปเถอะ นี่ก็ใกล้จะรุ่งสางแล้ว หากมีใครเข้ามาจะเป็นปัญหาให้ท่านได้” ชิงอวี่กล่อมเสียงอ่อนก่อนประทับจูบเบา ๆ ปลอบที่มุมปากเหยียดตรงนั้น
ซึ่งเล่ห์กลนั้นก็ใช้ได้ดีกับโหลวจวินเหยาทีเดียว เขารวบนางมากอดแน่น “คืนหน้าข้าจะมาอีก จำไว้ว่าทำอะไรต้องระวังตน เพราะในอารามศักดิ์สิทธิ์ไม่มีใครจิตใจดีนักหรอก โดยเฉพาะสตรีนางนั้น เจ้าจำไว้ว่าอย่าได้ผลีผลามล่วงเกินนาง”
“อืม ข้ารู้แล้ว” ชิงอวี่ผงกหัวรับว่าง่าย
“ส่วนคนผู้นั้น…..” นัยน์ตาสีม่วงของโหลวจวินเหยาหรี่ลงพลางมองคนที่นอนบนพื้น จากนั้นเอ่ยเสียงทุ้ม “อยู่ให้ห่างจากเขา อย่าไปพูดคุยกับเขามากนัก ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่เมตตาเขา”
“ท่านกลัวว่าข้าจะตกหลุมรักเขาหรือ?” ชิงอวี่เอ่ยขึ้นอย่างเสียมิได้ เขาเห็นทุกคนเป็นคู่แข่งหมดเลยงั้นหรือ? หน้าตาเช่นเขายังขาดความมั่นใจอยู่อีกหรือไร?
หากแต่เขากลับเอ่ยคำที่นางไม่คาดคิดออกมา “ก็เจ้าชอบทำตัวเจ้าชู้ ไปไหนก็เกี้ยวเขาไปทั่ว ไม่เว้นบุรุษหรือสตรี อีกทั้งคนคนนี้ก็เป็นบุรุษ ข้าวางใจไม่ได้หรอก”
ชิงอวี่ “…”
ได้ยินเช่นนั้นแล้ว….. ทำให้นางอึดอัดนัก นางเจ้าชู้เกี้ยวคนไปทั่วจริงหรือ?
หลังเตือนชิงอวี่ให้ระวังตนแล้ว ชายบนพื้นก็เริ่มขยับตัว โหลวจวินเหยาจึงไม่รั้งอยู่อีก รีบจากไปอย่างไร้เสียงไร้เงาดั่งยามที่มา
ชิงอวี่ส่งเสียงจุปาก ไม่รู้ว่าชายหนุ่มมีพลังบำเพ็ญสูงขั้นไหนกันแน่ แต่เป็นถึงเจ้าแคว้นหนึ่งในแดนเมฆาสวรรค์ได้ ทั้งยังเข้าออกอารามศักดิ์สิทธิ์ที่สวมควรจะเข้ามาได้ยากได้ตามใจชอบเช่นนี้ คงเป็นระดับที่ไม่อาจเอื้อมถึงเป็นแน่
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิด ชายบนพื้นเริ่มฟื้นคืนสติ นัยน์ตาเขาดูสับสนอยู่ชั่วขณะ
ชิงอวี่กลัวว่าเขาจะกระโดดขึ้นมาเกรี้ยวกราดใส่นางอยู่ครู่หนึ่ง แต่เขากลับค่อย ๆ ลุกขึ้นมาแล้วขมวดคิ้วถามนางแทน “ทำไมข้ามาอยู่ที่นี่ได้?”
ชิงอวี่กะพริบตาสงสัย “ท่านจำไม่ได้หรือ?”
เกิดอะไรขึ้น? นี่เขาถามว่าตนเองมาทำอะไรที่นี่งั้นหรือ??
“จำอะไร?” เยว่เฝินมีสายตาสงสัย
“ก็ไม่มีอะไร ท่านมาหาข้า แล้วไม่รู้เป็นอะไรท่านก็เกิดหมดสติไป ข้าเรียกท่านเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น ข้ากำลังจะออกไปขอความช่วยเหลือพอดี!” ชิงอวี่รีบตอบสนอง คิดหาเหตุผลมารองรับเสร็จสรรพ
ทว่าเยว่เฝินไม่ถูกหลอกโดยง่าย ใบหน้ายังมีความเคลือบแคลงอยู่ “อยู่ ๆ ข้าก็สลบหรือ?”
“ใช่แล้ว ๆ” ชิงอวี่ผงกหัวหน้าใสซื่อ
“ทำไมจู่ ๆ ข้าถึงสลบไปได้?”
“ข้าจะไปรู้หรือ!?”
“เจ้าลอบโจมตีข้าใช่หรือไม่?” เยว่เฝินสายตาพลันเฉียบคม
“หึ! ข้าอยู่ถิ่นท่าน มีหรือจะกล้า? ข้าไม่คิดรนหาที่ตายหรอกกระมัง?” ชิงอวี่กลอกตาเอ่ย
เยว่เฝินเห็นท่าทีนางไม่น่าสงสัย ทั้งยังดูไร้ความผิด อีกทั้งพลังบำเพ็ญเขาสูงเช่นนี้ จะลอบโจมตีนั้นทำไม่ได้ง่าย ดังนั้นจึงไม่คิดสงสัยอีก
ได้ยินคำนางแล้ว เยว่เฝินจึงจำได้ว่ามีธุระ พลันเอ่ยเสียงเย็นขึ้น “ท่านเจ้าอารามให้ข้านำตัวเจ้าเข้าพบ”
“ไปทำไม?” ชิงอวี่เลิกคิ้ว แหงนหน้ามองฟ้าก็เห็นว่ายังมืดอยู่ “เพิ่งพ้นยามเหม่า(05.00 – 06.59 น.) มาเอง ไม่เช้าไปหน่อยหรือ!?”
“ข้าไม่อยากได้ยินเจ้าพูดไร้สาระ สั่งให้ไปก็ไปเถอะ” เยว่เฝินส่งเสียงหึอย่างเหยียดหยาม จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไปไม่คิดรอนาง
“……”
หากรู้อย่างนี้ นางคงไม่ห้ามโหลวจวินเหยาให้ซัดเขาจนเอ๋อไปเลยเสียก็ดี
ทว่าเยว่เฝินที่เดินนำหน้าไปอดรู้สึกว่าร่างกายตนผิดปกติไม่ได้ จนกระทั่งหลายชั่วอึดใจจึงคิดได้ว่าทำไมเขาจึงปวดหลังนัก?
เขาจำไม่ได้ว่าได้รับบาดเจ็บอะไรที่หลัง แต่มันเหมือนกับถูกใครต่อยแรง ๆ มาเลย…..
เยว่เฝินนำชิงอวี่มาที่ห้องโถงใหญ่ที่เคยมาครั้งก่อน จากนั้นก็เดินออกไปทันที
วันนี้ต่างจากเมื่อวานที่นางมา ภายในห้องโถงกว้างไร้คนในชุดดำน่ากดดันอีก มีเพียงผู้ช่วยสองคนยืนอยู่ที่หน้าประตูเท่านั้น
ส่วนนางยืนอยู่กลางห้องโถง ยังไม่ทันกล่าวอะไร สตรีหลังม่านก็เอ่ยเสียงนุ่มออกมา “นั่งสิ!”
ชิงอวี่เหม่อไปชั่วขณะ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง
จากนั้นความเงียบก็โรยตัวอยู่ครู่หนึ่ง
ชิงอวี่นั่งเงียบท่าทางอึดอัดอยู่เช่นนั้น พลันรู้สึกว่าต้องเอ่ยปากสักคำ แต่ม่านกลับขยับเคลื่อนไหว ทันใดนั้นมือขาวซีดก็ยื่นออกมา ทั้งงดงามประณีตราวกับหยกชั้นดี
ชิงอวี่ประหลาดใจไป หรือว่านางจะ…..
ว่ากันว่าเจ้าอารามจันทร์กระจ่างนั้นลึกลับนัก ไม่เคยเผยใบหน้าแม้ยามพบแขก มักมีผ้าไหมคลุมไว้ชั้นหนึ่งเสมอ เห็นเพียงเงาร่างเพรียวบางของนางเท่านั้น
แต่แม้คนจะไม่เคยเห็นใบหน้า ทว่านางก็ได้รับการยกย่องให้เป็นโฉมงามประจำแดนเมฆาสวรรค์ ซึ่งหมายความว่านางคงจะงดงามมาก ฉะนั้นที่นางไม่ยอมเปิดเผยใบหน้าให้คนเห็นจึงเป็นเรื่องประหลาดที่ไร้คำตอบ
เห็นนางทำเช่นนั้น ชิงอวี่จึงอดคิดในใจไม่ได้ หรือว่านางจะออกมาจากหลังม่าน?
เป็นไปดังที่คิด นางค่อย ๆ เลิกม่านทั้งหลายออก เผยให้เห็นชุดสีแดงเลือดของนาง
ชิงอวี่ใจเต้นแรงอยู่ภายใน
นางคิดจะทำอะไร? ทำไมจู่ ๆ ถึงออกมา? แล้วหากมีคนเห็นใบหน้านาง นางจะสังหารทิ้งเลยหรือไม่!?
ชิงอวี่หลุบตาลง พยายามคิดหาทางรับมือ ที่หูได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังใกล้เข้ามาทีละก้าวจากบนแท่นยกสูง พริบตาเดียวนางก็มายืนอยู่ห่างจากร่างไม่เท่าไหร่แล้ว
ชิงอวี่เงยหน้ามอง และเมื่อเห็นคนตรงหน้าก็อดตะลึงไปไม่ได้
หญิงสาวเบื้องหน้ายังดูเยาว์วัยนัก เหมือนจะเพิ่งมีอายุยี่สิบกว่า ๆ นัยน์ตาหรี่ยาวมีเสน่ห์เย้ายวน เจือด้วยแววยิ้มที่แทบมองไม่ออก แต่มองแล้วหลงเสน่ห์ได้ในคราเดียว เป็นความงามดึงดูดใจที่มองคราที่สองก็ถูกกระชากวิญญาณออกไปได้
กระทั่งชิงอวี่ที่เห็นคนหน้าตางดงามมาก่อนยังอดตาวาวเมื่อเห็นนางไม่ได้
แต่พอความตกตะลึงในตอนแรกจางลง นางก็คิดว่ามีเรื่องน่าสงสัยอยู่บ้าง
ท่านเจ้าอารามทั้งอ่อนเยาว์ทั้งงดงามเช่นนี้ แล้วทำไมต้องซ่อนอยู่หลังม่านไม่ให้ใครเห็นเล่า?
เทียบกับเงาร่างสะโอดสะองคลุมเครือจากที่เห็นหลังม่านมาเมื่อวาน ชิงลั่วเยี่ยนตอนนี้ยืนห่างไปไม่กี่ก้าว ชิงอวี่เห็นใบหน้านางได้ชัดเจนนัก
เหมือน เหมือนกันไม่มีผิด!
นางเดินเข้ามาหา จากนั้นค่อย ๆ นั่งลงข้างชิงอวี่ มือเรียวงามยกกาน้ำชาจากหยกม่วงชั้นดีขึ้นรินชาหอมกรุ่น จากนั้นก็เอ่ยเสียงอ่อนโยน “นี้เป็นชาที่มีแค่ในอารามศักดิ์สิทธิ์ เจ้าลองชิมดู”
ชิงอวี่ตกใจอยู่บ้างเมื่อเห็นนางรินชาที่ยังมีไอน้ำพุ่งขึ้นมาแล้วส่งมันมาให้นาง นางจึงนิ่งค้างไปชั่วครู่
นาง….. ส่งชาให้หรือ? ควรดื่มดีหรือไม่?
เห็นชิงอวี่นิ่งค้างไป ชิงลั่วเยี่ยนก็หัวเราะ “อะไรกัน เจ้ากลัวยาพิษหรือ?”
ชิงอวี่ตั้งสติได้ยามได้ยินเสียงอีกฝ่าย จากนั้นนางจึงยกยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ทำไมต้องกลัว? ท่านเจ้าอารามย่อมไม่ทำเช่นนั้น”
ว่าแล้วชิงอวี่หยิบถ้วยชาขึ้น
ว่ากันตามตรง นางไม่กลัวอีกฝ่ายจะใส่ยาพิษมาในชาด้วยซ้ำ ตัวนางเป็นนักปรุงยาอยู่แล้ว ยาและยาพิษทั้งหลายส่วนมากใช้กับนางไม่ได้ผล อีกทั้งเรื่องที่นางมีใบหน้าเหมือนท่านแม่มาก อีกฝ่ายย่อมไม่กล้ารีบร้อนลงมือทำร้ายนางแน่
เห็นนางจิบชาตามตรงเช่นนั้น ชิงลั่วเยี่ยนจึงคลี่ยิ้มจริงใจ “เป็นอย่างไร?”
“ชาดี ไม่ขมเหมือนชาส่วนมาก ทั้งยังออกรสหวานสดชื่นเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ชื่นใจไม่น้อย” ชิงอวี่ติชมชาอย่างจริงจัง
“ดูท่าแม่นางน้อยจะชอบชาเช่นกัน” ชิงลั่วเยี่ยนเอ่ยเสียงพอใจพลางพยักหน้า
“ข้าก็รู้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เป็นความรู้เพียงผิวเผิน เทียบท่านเจ้าอารามไม่ได้หรอก” ชิงอวี่กล่าวถ่อมตน
ชิงลั่วเยี่ยนนัยน์ตามีประกายวาบ ราวกับภายในพลันมีอารมณ์หนึ่งปะทุขึ้นแล้วจางหายไป “ได้ยินจากเยว่เฝินว่าเขานำเจ้ามาจากดินแดนระดับต่ำกว่า หงส์เพลิงทองคำที่เป็นอสูรอันเป็นสัญลักษณ์แห่งอารามศักดิ์สิทธิ์ หลายปีก่อนได้หายตัวไป หัวหน้านักบวชพลันจับกลิ่นอายมันได้เมื่อหลายวันก่อน ข้าจึงส่งคนไปเอามันกลับมา ไม่รู้ว่าแม่นางน้อยเห็นอสูรศักดิ์สิทธิ์บ้างหรือไม่?”
เอากลับมาหรือ?
หึ! เมื่อตอนนั้นจะไม่ใช่กระมัง!
ตอนที่นางไปถึงถ้ำ ก็เห็นศิษย์อารามศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองโจมตีหงส์เพลิงทองคำอยู่ เห็นได้ชัดว่าพยายามสังหารมันแล้วหมายจะชิงเอาของที่มันปกป้องไป
แล้วทำไมถึงพูดสับปลับเช่นนั้น?
หรืออีกฝ่ายคิดว่านางเป็นเพียงเด็กสาวไม่ประสาจากแดนต่ำ หมายจะหลอกเช่นนั้นหรือ?