บทที่ 310 ตาบอดจากหิมะ
บทที่ 310 ตาบอดจากหิมะ
และนั่นนับเป็นโอกาสหนีที่ดีที่สุด
พริบตาเดียว ร่างนางก็ผลุบออกมาโผล่อยู่นอกคุกไร้ทางหนีแล้ว
ในฝ่ามือนางคือใบไม้ประหลาดน่าอัศจรรย์ใจที่บังเอิญช่วยนางหนีออกมาได้ มันค่อย ๆ ละลายกลายเป็นน้ำหลังจากนางออกไปจากคุก แล้วไหลไปตามร่องนิ้ว
ชิงอวี่จ้องใบไม้ที่พลันหายไปด้วยความประหลาดใจ พักหนึ่งถึงหัวเราะเบา ๆ ออกมา ดูท่าจู่ ๆ โชคจะเข้าข้างนางเสียแล้วกระมัง!
นางต้องรีบหาท่านแม่โดยเร็ว แต่นางไม่รู้สักนิดว่าคนพวกนั้นขังนางไว้ที่ไหน ที่มั่นใจอย่างหนึ่งคือมันคงจะเป็นสถานที่ที่ถูกซุกซ่อนปิดบังไว้อย่างดีเป็นแน่
คิดแล้ว นางก็เรียกจั้งไหมออกมาจากมิติพร้อมกับจิตวิญญาณตำราแพทย์แดนเซียนออกมา
“โอ้ นายหญิงของข้า ในที่สุดท่านก็เรียกข้าสักที!”
เจ้าเด็กตัวเล็กสีแดงจัดพอเห็นนางก็ดีใจเป็นล้นพ้น ดวงตากลมโตเป็นประกายราวกับมีดาราประดับ ราวกับพร้อมกระโจนใส่อ้อมแขนนางเสียเต็มประดา
ชิงอวี่เลิกคิ้ว แต่ก่อนเจ้าตัวเล็กจะทันกระโดดขึ้นมา มือหนึ่งก็คว้าคอเสื้อเขาเอาไว้ หิ้วคอเขาลอยขึ้นมาง่าย ๆ แม้จะดิ้นสุดแรงแต่ก็ไม่อาจหลุดรอดไปได้ ทั้งแขนและขาสะบัดไปมาทั่วทิศ
“ไอ้เจ้าคนชั่วช้าน่ารังเกียจ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ! มันจะเกินไปแล้วนะ!” เจ้าเด็กตัวจ้อยสะบัดกรงเล็บไปทั่วด้วยความโกรธพลางร้องเสียงดังลั่นขึ้นมา
ร่างสูงที่มีใบหน้าหล่อเหลา ผมสีทองหรี่นัยน์ตาสีเงินและทองดูน่ามองลงน้อย ๆ จากนั้นถามเสียงประชดขึ้น “เช่นนั้นข้าให้ข้าปล่อยเจ้าตรงเข้าทำร้ายนายหญิงของข้าได้หรือ?”
เจ้าเด็กตัวจ้อยได้ยินแล้วก็กัดฟันเอ่ยคำ “เจ้าพูดนายหญิง ‘ของเจ้า’ งั้นหรือ นางเป็นนายหญิง ‘ของข้า’ ชัด ๆ! หน้าไม่อายเลย! ไม่รู้จักลำดับความสำคัญว่าใครมาก่อนหลังหรือ!? ข้าอยู่ข้างกายนายหญิงเสียก่อนนางจะเกิดเสียอีก! ตอนนั้นเจ้าอยู่ไหนก็ไม่รู้!!”
“น่าขันนัก ตอนนายหญิงเกิด นางก็ไม่รู้ว่ามีเจ้าอยู่ด้วยซ้ำ พรืดดด … มาก่อนมาหลังอะไรของเจ้าน่ะ เมล็ดพันธุ์กระจอกเช่นเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาส่งเสียงดังโวยวายเช่นนี้?”
เด็กหนุ่มผมทองเอ่ยด้วยท่าทีสุขุม แตกต่างจากเจ้าเด็กตัวจ้อยที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“เจ้ามันเด็กเหลือขอ! ลืมไปแล้วหรือว่าใครเป็นคนช่วยเจ้าไว้? หากไม่ได้ข้า เจ้าก็ยังเป็นไอ้วิญญาณไม่สมประกอบไร้ค่าอยู่!”
“อย่าเร่งร้อนตัดสิน แล้วคิดจากมุมมองเดียวกันจะดีกว่า แม้ไม่มีเจ้า ข้าก็ยังฟื้นคืนวิญญาณได้อยู่ดี แค่ต้องใช้เวลามากอีกนิดเท่านั้น ไม่คิดว่าเจ้าประเมินตนเองสูงไปหน่อยหรือ?”
“เด็กอกตัญญู….. ข้าขอท้าประลองกับเจ้า!”
“ฮ่า! คิดว่ากลัวหรือ?”
“………”
ชิงอวี่มองคนทั้งสองด้วยใบหน้าเรียบเฉย
คนหนึ่งคือเด็กหนุ่มร่างสูงหน้าตาหล่อเหล่า อีกคนคือเจ้าเด็กผมแดงชุดแดงที่ดูอายุอานามไม่เกินสี่ห้าขวบ ยืนเถียงกันฉอด ๆ กันหน้าแดงก่ำโดยความโกรธ
อ้อ ต้องบอกว่าเจ้าเด็กน้อยนั่นคนเดียวหรอกที่หน้าแดงเพราะความโกรธ ส่วนจั้งไหมนั้นนิ่งสงบเรียบเฉยตั้งแต่ต้นจนจบ
ราวกับผู้ใหญ่คนหนึ่งมองเด็กดื้อที่กำลังทำตัวงอแงไร้เหตุผล
หางคิ้วชิงอวี่ยกสูงขึ้นน้อย ๆ สองคนนี้เถียงกันเรื่องที่ว่านางรักใครมากกว่ากันงั้นหรือ?
นางเรียกทั้งสองมาเพื่อช่วยตามหาท่านแม่ แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงได้ออกมาเถียงกันเช่นนี้ได้?
เมื่อเห็นว่าไม่มีวี่แววจะหยุด ชิงอวี่จึงเอ่ยเสียงเบาขึ้น “พวกเจ้าสองคนเถียงกันต่อไปนะ ข้าไปก่อนล่ะ”
สิ้นคำนาง นางก็ไม่สนว่าทั้งสองคนจะทำสีหน้าเช่นไร แล้วเดินจากไปทันที
จั้งไหมกับเจ้าเด็กตัวจ้อยจ้องกันโกรธ ๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะรีบมุ่งหน้าไปขอโทษชิงอวี่แต่โดยดี
“นายหญิง พวกเรารู้ความผิดตนเองแล้ว อย่าโกรธพวกเราเลยนะ”
ชิงอวี่เหลือบมองพวกเขาด้วยความโกรธ พ่นเสียงหึหยันออกทางจมูก
เจ้าเด็กทั้งสองรู้ว่าตนเองทำผิดคงเงียบไป ไม่กล้าพูดอะไรอีก
“ก่อนหน้านี้ข้าถูกขังไว้ในที่แห่งหนึ่ง ถูกจำกัดความสามารถ ทำให้เรียกพวกเจ้าออกมาไม่ได้ ลำบากลำบนนักกว่าจะหนีออกมาจากที่นั่น ข้าเสียเวลาไม่ได้อีกแล้ว”
ชิงอวี่พูดแล้ว ไฟสีทองก็ปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ “นี่คือธาตุเปลวอัคคี ช่วยข้าหาสถานที่ของคนที่มีธาตุนี้อยู่ ข้าคิดว่าไม่น่ายากเกินความสามารถพวกเจ้า เพราะทั้งจมูกและสัมผัสของพวกเจ้าเร็วกว่าข้านัก”
“นายหญิงโปรดวางใจ ข้าจะหาคนให้พบก่อนเขาแน่ เจ้าเด็กตัวจ้อยเอ่ยโอ้อวดด้วยความมั่นใจ
จั้งไหมหัวเราะหยัน “อย่ามั่นใจนักเลย เจ้าอาจโกรธจัดจนระเบิดไปก่อนก็ได้!”
“ข้าไม่ใช่ลูกโป่งนะ! ไม่ใช่ของชั้นต่ำไร้ค่าอย่างนั้น! ข้าคือเถาวัลย์ปีศาจเพลิงดินผู้ยิ่งใหญ่!”
“อ้อลืมไป นึกว่าเจ้าเป็นตะไคร่น้ำที่พวกสัตว์ชั้นต่ำมันกินเสียอีก”
“ข้าไม่ใช่ตะไคร่น้ำ! ข้าคือเถาวัลย์ปีศาจเพลิงดินผู้ยิ่งใหญ่ไงเล่า!!” เจ้าเด็กตัวจ้อยโกรธจนราวกับอยากต่อยคน
เห็นทั้งสองจะตบตีกันอีกครั้งแล้ว ชิงอวี่ก็มีสีหน้าเย็นยะเยือกทันที “หุบปาก”
ทั้งสองหุบปากฉับทันที
“ในเมื่อชอบเถียงกันนัก ข้าจะให้ภารกิจพวกเจ้าไปทำ ก่อนค่ำ พวกเจ้าต้องไปหาเบาะแสน่าเชื่อถือและมีประโยชน์มาให้ข้า ใครแพ้จะถูกลงโทษให้สำนึกผิดในมิติทั้งเดือน ไม่ให้ออกมาข้างนอกสักก้าวหนึ่ง”
ชิงอวี่เอ่ยคำก้ำกึ่งขู่ขวัญหน่อย ๆ แล้ว ใบหน้าคนทั้งสองก็ขรึมลงทันที
ถูกขังทั้งเดือน…..
โหดร้ายนัก ข้างนอกสนุกกว่าตั้งแยะ ถูกขังไว้นานเช่นนั้น…..
คิดแล้ว ไม่ต้องรอให้ชิงอวี่สั่งเพิ่มเติมอีก ทั้งสองก็หายตัวไปในพริบตา แข่งขันกันอย่างเงียบเชียบว่าใครจะเป็นคนเสียอิสระ ถูกขังไว้ในมิติทั้งเดือน
ชิงอวี่หัวเราะคิก หูนางได้รับความสงบสุขบ้างแล้ว นางแหงนหน้ามองไปไกลราวกับรู้ทางที่ต้องเดินไปแล้ว
เบื้องหน้ามีทิวต้นไม้สูงเรียงรายอยู่แถวหนึ่ง ลำต้นของมันขาวเหมือนหิมะ ใบเองก็มีสีขาวบริสุทธิ์เป็นประกาย ภายใต้แสงอาทิตย์แล้ว แสงสะท้อนทำให้ราวกับบนต้นไม้เต็มไปด้วยผลึกแก้ว เป็นภาพงดงามตานัก
นางค่อย ๆ เดินเข้าไปหามัน จากนั้นก้มลงหยิบใบไม้หนึ่งที่ร่วงกับพื้น รูปร่างผอมและยาว ด้านข้างใบเป็นรอยหยัก
มันเป็นใบไม้แบบเดียวกับใบไม้น่าอัศจรรย์ใจที่ปลิวเข้ามาในคุก ร่วงลงในบ่อ และช่วยให้นางหนีออกมาได้นั่นเอง
————————————–
นางเหม่อมองไปไกล เห็นว่าต้นไม้ดูแปลกตาเหล่านั้นขึ้นกันอย่างหนาแน่นทั่วสายตาเต็มพื้นที่ไปหมด
ดูเหมือนชิงหลานเฟยจะหลงทาง นางอาจจะหลงเข้ามาอยู่ในค่ายกลกระมัง
นางไม่รู้ว่าตนเดินผ่านทางคดเคี้ยวเลี้ยวลดใต้ร่มไม้หนาทึบนี่มานานเท่าไหร่แล้ว ทุกอย่างที่เห็น ไม่ว่าจะดอกไม้หรือพุ่มไม้ หรือสัตว์ที่วิ่งไปมาหรือนกที่บินอยู่บนฟ้า…..
กระทั่งหินรูปร่างประหลาดที่โผล่มาให้เห็นเป็นครั้งคราว…..
พวกมันล้วนมีสีขาวเหมือนหิมะ แม้นางจะอาศัยอยู่บนยอดเขาใจสงบมาหลายปี เห็นสีขาวมามากมาย ไม่เห็นสีอื่นใดมากมายนัก
แต่ที่นี่ นางไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนเลย
นางหลงมาที่นี่โดยบังเอิญ และอิงเกอได้บอกไว้ก่อนสิ้นใจว่าเส้นทางนี้อาจพานางออกไปได้ ไม่ก็พาไปสู่ความตาย หากนางโชคดีหาทางออกไปได้ นางก็จะได้หนีออกไปและยังรอดชีวิต
หากโชคร้าย ไม่อาจหาทางออกไปได้ นางก็อาจกลายเป็นต้นไม้อยู่ที่นี่ หรืออาจกลายเป็นหิน โดยไร้ผู้คนรู้เลยกระมัง
ยอดเขาใจสงบนั้นเป็นแดนเซียน นั่นไม่ใช่เพียงตำนานเท่านั้น
ไม่ใช่สถานที่ที่อารามจันทร์กระจ่างเทียบติดเลย เพราะที่นี่คือสถานที่ที่เผ่าเทพเคยอาศัยอยู่เมื่อนับพันปีก่อน
กระทั่งตอนนี้ ยอดเขาใจสงบก็ยังเป็นสถานที่แห่งความลึกลับที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ เพราะไม่เคยเห็นศพคนที่นี่เลย เมื่อมีสิ่งมีชีวิตตายลงในนี้ ร่างจะสลายหายไป กลายเป็นธุลี ไม่ก็กลายเป็นหญ้าเป็นดอกไม้ เปลี่ยนรูปร่างการมีอยู่ไปเป็นอีกแบบแทน
พวกเขาจะไม่ได้ตายไปจริง ๆ ทั้งจิตยังคงอยู่ แต่ในสายตาคนนอกแล้ว ไม่อาจรู้ได้เลยว่าหญ้าเส้นหนึ่งที่ดูไร้ค่าราคาใด หรือหินกรวดเม็ดน้อย ๆ เหล่านั้น ครั้งหนึ่งล้วนมาจากสิ่งมีชีวิตที่มีเนื้อหนังมีชีวิตชีวา
แต่นางไม่อยากตายไปเช่นนั้น
นางสัญญากับจิ่งอวี้แล้วว่าจะไม่ทิ้งเขาไปอีก แล้วก็สัญญากับเสี่ยวเป่ยไว้ว่านางจะทดแทนเวลาแห่งความเสียใจที่นางไม่ได้อยู่ข้างกายเขา
และนางยังไม่ได้พบลูกสาวตัวเป็น ๆ เลยสักครั้งหนึ่ง
นางได้ยินว่าเด็กน้อยหน้าตาเหมือนนางมาก คงจะฉลาดเฉลียวไม่น้อย ปราดเปรื่องและมีหน้าตางดงามเป็นแน่!
หากสุดท้ายนางออกไปไม่ได้ นั่นก็คงเป็นความเสียใจครั้งใหญ่ที่สุดของนาง
ในใจนาง นางคิดว่าที่นี่คงจะนับเป็นอันตรายต่อคนจากยอดเขาใจสงบ คงมีอะไรบางอย่างที่ลึกลับและไม่เสถียรอยู่เป็นแน่ ไม่เช่นนั้นคงไม่เลิกไล่ล่ายามนางก้าวเท้าเข้ามาที่นี่หรอก
เหมือนพวกเขามั่นใจว่านางจะไม่อาจออกไปได้ มั่นใจว่าอย่างไรนางก็ต้องตาย
แม้นางจะยังมีค่าอยู่ แต่กลับยอมแพ้ไปเช่นนั้น คงพูดได้อย่างเดียวว่าที่นี่คงนับเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับพวกเขา
แต่นางไม่รู้ว่าอิงเกอไปรู้ความลับเรื่องสถานที่นี้มาจากไหน หลายปีมานี้หญิงสาวคงทำหลาย ๆ อย่างเพื่อนางมามากมายไม่น้อย!
เด็กคนนั้นช่างคิดมีใจยุติธรรมเสมอ คงเดาได้ว่านางต้องกลับมาที่นี่สักวันหนึ่ง น่าเสียดายนัก! คนที่ใส่ใจนางถึงเพียงนั้นกลับถูกสังหารไปเพราะนาง…..
นึกย้อนไปตอนที่อิงเกอตะโกนให้นางหนีไปแล้ว ขอบตาชิงหลานเฟยก็แดงก่ำขึ้นมา
สุดท้ายนางก็ลากอีกฝ่ายล่มจมไปจนได้
ภายใต้สีขาวเงินทอดตัวไปไกลสุดลูกหูลูกตา นัยน์ตาชิงหลานเฟยราวกับเห็นภาพเป็นคู่ สายตาทั้งพร่าทั้งมัว เป็นตอนนั้นเอง หิมะร่วงลงจากฟ้า
นางรู้สึกปวดตาขึ้นมา พยายามกะพริบตาแรง ๆ เพื่อบรรเทาความเจ็บ นางยื่นแขนออกไป ปล่อยให้หิมะร่วงหล่นลงใส่เสื้อและมือทั้งสอง
ฉับพลันนางเห็นบางอย่าง สีหน้านางแข็งค้างทันที
นางจ้องแขนเสื้อนางอยู่ จากนั้นค่อย ๆ หันมาดูร่างกายตนเอง
พริบตานั้น ราวกับนางได้เห็นผีก็มิปาน
นางจำได้ว่านางสวมชุดสีแดงชัด ๆ
นางมักชอบสีแดงฉูดฉาดตาเช่นนี้ตลอดมา ชุดทั้งหลายของนางก็มีสีแดงเป็นหลัก
และนางจำได้แม่นว่าชุดที่นางสวมจนถึงเมื่อครู่นี้เป็นสีแดง แล้วทำไมตอนนี้มันกลับกลายเป็นสีขาวราวหิมะไปได้เพียงชั่วเวลาสั้น ๆ เล่า?
ไม่เพียงเท่านั้น นางเห็นผมปอยหนึ่งที่เคลียไหล่ตนเองก็กลายเป็นสีขาวแล้วเช่นกัน