บทที่ 322 ข้ากลับมาแล้ว เจ้าไม่ดีใจหรือ?
บทที่ 322 ข้ากลับมาแล้ว เจ้าไม่ดีใจหรือ?
เป็นตอนนั้นเองที่บรรยากาศเริ่มหนักหน่วงขึ้นมาเล็กน้อย เสียงชายหนุ่มที่เจือแววขันพลันดังขึ้นมา
“น่าเศร้านัก….. ชิงชิงไม่สังเกตเห็นข้าเลยได้อย่างไรกัน!?”
ชิงเทียนหลินก็อยู่ในชุดสีขาวบริสุทธิ์เช่นกัน พร้อมกับเครื่องหน้าอ่อนโยนและใบหน้าหล่อเหลาดูสูงส่ง รอยยิ้มเจิดจ้าบนใบหน้าน่ามองเป็นยิ่งนัก เหมือนเป็นคุณชายผู้หล่อเหลางดงามผู้หนึ่ง
คนสองคนที่มีลักษณะนิสัยแตกต่างกันรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
หรือจะพูดให้ถูกก็คือ เขาได้ชิงตัวตนของเฟิ่งเทียนเหิงซึ่งเป็นเจ้าของร่างตัวจริงมาแล้ว
ดังนั้นจึงไม่อาจเห็นอารมณ์ที่ไม่อาจคาดเดาได้อีกต่อไป ทำให้ชิงเทียนหลินเสแสร้งแกล้งทำได้อย่างเต็มที่
ในตอนนั้นเอง รอยยิ้มบนใบหน้าเขาดูไร้พิษภัย ใสซื่อบริสุทธิ์ ดวงตาทั้งสองยิ้มเป็นรอยโค้ง มองตรงไปยังชิงอวี่ มีแต่ต้องจ้องเข้าไปลึกล้ำเท่านั้นถึงจะเห็นความไม่อาจหยั่งถึงในสายตานั่นได้
น้ำเสียงของเขาเป็นสิ่งที่ชิงอวี่ไม่มีวันลืม
ดังนั้นแม้จะยังไม่เห็นตัวคน ก็รู้ว่าเป็นเสียงของใครแล้ว ส่งผลให้หัวคิ้วนางมุ่นขึ้นมา แต่ยังไม่ทันได้ลงมือทำอะไร ชายหนุ่มด้านข้างก็ดึงนางเข้าไปกอด ก่อนน้ำเสียงทุ้มนุ่มฟังดูรื่นหูจะเอ่ยขึ้นมา
“น่าชังเสียจริงเลยนะ!?”
ชิงเทียนหลินเลิกคิ้วขึ้น เผยรอยยิ้มเยาะ “เจ้าก็เช่นกัน ข้าก็รู้สึกว่าเจ้าน่าชังไม่แพ้กัน”
โหลวจวินเหยานัยน์ตาทะมึนลง เอ่ยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “เจ้ามีจุดประสงค์อะไรจึงเดินทางมายังยอดเขาใจสงบได้? หรือเป็นเพราะได้ยินข่าวลือจากภายนอก เลยคิดว่าจะสามารถถือครองอำนาจอันลึกล้ำของที่นี่ได้อย่างงั้นหรือ?”
ชิงเทียนหลินได้ยินแล้วก็ยกมุมปากขึ้น ส่งรอยยิ้มไม่สนโลกให้ “ข้าไม่สนใจของเช่นนั้น สิ่งที่ข้าสนใจนั้น…..”
พูดถึงจุดนี้ น้ำเสียงเขาก็ชะงักลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองชิงอวี่พร้อมรอยยิ้มแทบมองไม่เห็น น้ำเสียงต่อมาฟังดูอ่อนโยนยิ่งนัก “สิ่งที่ข้าใส่ใจตลอดมามีเพียงชิงชิง!”
โหลวจวินเหยากำมือแน่นจนเป็นหมัด นัยน์ตาฉายแววมืด ดูราวกับจะระเบิดเต็มทน ราวกับต้องเพียงนิดอาจระเบิดได้
แต่เคราะห์ดีที่ชิงเทียนหลินไม่ยั่วโมโหเขาต่อ เพียงแต่หัวเราะเสียงเบาแล้วส่งสายตามีความหมายไปทางชิงอวี่ “แต่อย่างไรก็มีเรื่องหนึ่งที่ข้าควรบอกเจ้า”
“เจ้ามีแผนอะไรอีก?” ชิงอวี่โต้กลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ คิดว่าชายหนุ่มคงมีแผนร้าย ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่
“รอจนจัดการเรื่องที่นี่จบข้าจะบอกเจ้า” ชิงเทียนหลินว่าพร้อมรอยยิ้มไร้แววขัน
ที่อีกฝั่งหนึ่ง หลังจากเหยี่ยนพั่วรอดพ้นจากเงื้อมมือเหลียนซือในชุดดำที่ราวกับเป็นตัวตนจากนรกมาได้แล้ว ดูท่านางเหมือนจะกลัวความตายเป็นแล้ว เมื่อถูกชิงอวี่ข่มขู่เข้า นางจึงลังเลเล็กน้อย ก่อนเลือกที่จะยอมบอก
นางรู้ดีว่าขัดขืนไปก็ไร้ประโยชน์
นับตั้งแต่ตอนที่ยอดเขาใจสงบปล่อยให้คนเหล่านี้เข้ามา ก็นับว่าเป็นชะตาว่าที่นี่จะต้องล่มสลายลงแล้ว
เพราะอย่างไรคนกลุ่มนี้ ก็มีบางคนที่แม้แต่นางเองยังหยั่งไม่ถึง ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงฉากอันน่าเหลือเชื่อตรงหน้านาง ที่ตอนนี้มีเหลียนซือหน้าตาเหมือนกันไม่มีผิดถึงสองคนเลย!
ดังนั้นนางจึงตัดใจ ยกมือขึ้นมาที่มุมปากช้า ๆ ก่อนกัดลงไปเต็มแรง ที่ปลายนิ้วพลันมีเลือดหยดหนึ่งผุดออกมา จากนั้นจึงป้ายหยดเลือดสีแดงฉานลงบนเครื่องประดับหน้าผากที่เป็นหินไพลินสีน้ำเงินดูหรูหราบนหน้าผากตน
ปากนางเริ่มร่ายคาถา เกิดเป็นแสงจ้าขึ้นรอบกายนาง โอบล้อมทุกคนในที่นั้นไว้ พริบตาต่อมา ทุกคนก็ถูกเคลื่อนย้ายมายังอีกสถานที่หนึ่ง
สถานที่นี้คือจุดสูงสุดที่พวกเขาเคยเห็นเมื่อตอนที่กำลังจะขึ้นมายังยอดเขาใจสงบ
ตอนนี้ได้ยืนอยู่บนจุดสูงแล้ว ภาพทิวทัศน์ที่เห็นก็แปลกตาไปอย่างสิ้นเชิง
แดนเซียนนั้นดูรกร้างไร้ชีวิตชีวาเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด
สถานที่นั้นพังทลาย ยุ่งเหยิงไปจนหมด เต็มไปด้วยซากปรักหักพังมากกว่าที่ไหน ๆ ที่พวกเขาเคยพบบนยอดเขาใจสงบ ราวกับถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลาหลายปี มีใยแมงมุมห้อยอยู่ทั่ว และดูเหมือนว่ามันจะอยู่มานานแล้วด้วย
“เจ้าล้อพวกเราเล่นหรือ? จะมีใครอยู่ที่นี่ได้?!”
คนผู้หนึ่งเอ่ยเสียงไม่พอใจขึ้นมาในพลัน คิดว่าสตรีผู้นี้คงใช้ลูกไม้กระจอกเพื่อถ่วงเวลาหาทางหนีเป็นแน่
หากแต่น้ำเสียงเย็นชากลับตอบขึ้นช้า ๆ “มันคือที่นี่ล่ะ”
เป็นเสียงเหลียนซือชุดดำ
เขาคือคนที่อยู่ที่นี่มานานที่สุด ไม่มีใครรู้เรื่องราวเบื้องหลังสถานที่นี้ไปมากกว่าเขาแล้ว
ส่วนเหลียนซือชุดขาว หลังจากก้าวเข้ามายังสถานที่นี้และเห็นภาพตรงหน้าแล้ว ก็มีสีหน้าตกตะลึงไปเล็กน้อย
นั่นก็เป็นเพราะ…..
สิ่งทั้งหมดล้วนดูคุ้นตาเหลือเกิน
ในอดีต ตัวเขาได้หายไป ณ สถานที่แห่งนี้ ที่นี่เป็นสถานที่ที่เผ่าเทพและเผ่าปีศาจทำการต่อรองกัน
ดูเหมือนกับว่าทุกอย่างจะถูกรักษาไว้ให้เป็นดังเดิม ดูเหมือนว่าจะยังมีคนที่จำเรื่องราวในอดีตได้อย่างล้ำลึก
เหลียนซือชุดขาวค่อย ๆ ก้าวออกไป ใช้ดาบในมือปัดหยากไย่ออก
เหลียนซือชุดดำหรี่ตาลง ราวกับตกใจการกระทำของอีกฝ่าย นั่นก็เพราะผ่านมาหลายปีแล้ว แม้ที่นี่จะกลายเป็นสถานที่รกร้างไม่อาจอยู่ได้อีก แต่หมิงเยว่ก็ไม่อนุญาตให้ทำการฟื้นฟูหรือทำความสะอาดแม้สักนิด
แม้จะมีหยากไย่ปกคลุมอยู่หลายชั้น นางก็ยังดื้อรั้นไม่ยอมให้ทำความสะอาด ราวกับว่าหากปัดฝุ่นพวกนี้ออกไปแล้ว บางสิ่งบางอย่างก็จะสูญหายไปตลอดกาล ไม่อาจกลับมาได้อีก
แต่ตอนนี้ชายหนุ่มกำลังปัดหยากไย่ทั้งหลายแล้วก้าวเท้าไปข้างหน้า คล้ายกับว่าไม่สนใจสภาพทรุดโทรมรอบกายแม้สักนิด ยังคงก้าวย่างไปด้านหน้าอย่างมั่นคง
ทุกคนจึงเดินตามเขาเข้าไป
หลังจากเข้ามาแล้ว พบว่านอกจากมันจะให้ความรู้สึกว่างเปล่าแล้ว ภายในกลับไม่ได้ดูรกร้างทรุดโทรมเท่าไหร่นัก
ภายในห้องโถงกว้างอันว่างเปล่านั้น พลันมีลมหอบหนึ่งม้วนตัวเข้ามา ส่งผลให้ม่านผ้าไหมทอที่ห้อยอยู่บนกำแพงทั้งสองฝั่งพลิ้วไหว เกิดเป็นความรู้สึกชั่วร้ายระบายออกมา
ในห้องโถงกว้างไร้สิ่งอื่นใดนอกจากที่นั่งสีดำขนาดใหญ่อยู่บนพื้นยกสูง โดยมีคนผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่ด้านบน
เห็นเงาร่างหนึ่งในชุดยาวสีดำยาวจรดพื้น ดูราวกับบุปผาสีดำบานสะพรั่ง ผมนางยาวสลวยถึงเอว นั่งลงแล้วก็ยาวแตะเกือบถึงพื้น
เมื่อเข้าไปใกล้จึงเห็นว่าเป็นหญิงสาวที่มีรูปโฉมงดงามมากคนหนึ่ง
นางหลับตาพริ้ม ขนตายาวนิ่งสงบ ราวกับปีกผีเสื้อยามเกาะพักบนเปลือกตา รอยย่นน้อย ๆ ที่หว่างคิ้วให้ความรู้สึกราวกับว่านางเก็บความโศกเศร้าไว้ภายในใจ
ริมฝีปากเล็กเม้มกันเบา ๆ แต้มด้วยสีชมพูจางราวกลีบดอกไม้ นางยกมือขึ้นกุมหน้าผาก ราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่างแล้วผล็อยหลับไป
นางมีกลิ่นอายบริสุทธิ์ล้อมรอบกาย เป็นหญิงสาวที่ไม่ธรรมดาเสียจนราวกับเป็นเทพธิดาที่เผลอตกลงมายังแดนมนุษย์ เป็นตัวตนที่ไม่อาจทำให้หมองหม่น ราวกับว่าแค่ปลุกให้นางตื่นขึ้นจากฝันก็อาจกลายเป็นบาปได้
พริบตาหนึ่ง ราวกับไม่อาจมีคำพูดสำนวนใดมาอธิบายความสมบูรณ์แบบของนางได้เลย
ทุกคนไม่ทันเห็นว่าหลังจากพวกเขาเข้ามาแล้ว ฝีเท้าของทุกคนก็ค่อย ๆ เชื่องช้าลง
ทันใดนั้น ราวกับสัมผัสบางอย่างได้ ขนตาหญิงสาวพลันกะพริบเบา ๆ พริบตาต่อมานัยน์ตาลึกลับก็ค่อย ๆ ลืมขึ้น
เป็นดวงตาไร้ความแยแสไยดี ม่านตาสีเงินที่ไร้อารมณ์ใด
เช่นเดียวกับธารน้ำแข็งบนพื้นที่หนาวเหน็บบนยอดเขาใจสงบ น้ำแข็งหนาที่ไม่มีวันละลายนับล้านปี นัยน์ตาคู่นั้นทำให้ทุกคนชะงักฝีเท้าลง
แท้จริงแล้ว เมื่อกลุ่มคนปรากฏขึ้นก่อนหน้า หมิงเยว่ก็สัมผัสได้แล้ว
แต่นางไม่คาดคิด….. ว่าทันทีที่ลืมตาขึ้น ตนจะต้องชะงักค้างตกตะลึงไป
ตรงหน้านางคือชายหนุ่มในชุดสีขาวราวหิมะ ผู้ที่มีใบหน้าคุ้นตาเป็นยิ่งนัก ดวงตาที่เจือรอยยิ้มมองนางตาไม่กะพริบ
ในแวบแรก หมิงเยว่ไม่ได้รู้สึกผิดแปลกอะไร เพราะอย่างไรนั่นก็เป็นใบหน้าที่นางได้เห็นมานับล้านปีแล้ว เป็นใบหน้าที่แสนคุ้นเคย แต่ทำไมสายตาเช่นนั้น เหมือนนางเคยได้เห็นที่ไหนมาก่อน? นางยังไม่อาจจำได้ในทันที แต่ก็อดรู้สึกคุ้นเคยกับดวงตาไม่คุ้นตาคู่นั้นในเวลาเดียวกัน
นางรู้ว่านั่นไม่ใช่ดวงตาของเหลียนซือ
อึดใจต่อมา นางก็เห็นชายหนุ่มชุดสีดำในกลุ่มคนที่เดินเข้ามา
เป็นคนสองคนที่มีใบหน้าเหมือนกันไม่มีผิด
เขาเป็นใครกัน?
หรือจะเป็นการหยอกเย้าของเหลียนซือหรือ…..
“ไม่ได้พบกันนาน หมิงเยว่” ชายหนุ่มในชุดขาวท่าทางดูอ่อนโยนพลันเอ่ยขึ้นเสียงเบา
สายตาที่มองมายังนางราวกับจะมีอารมณ์ซับซ้อนมากมายที่ไม่สามารถอธิบายได้ ทั้งล้ำลึกและลึกล้ำ ทำให้ภายในใจนางรู้สึกปวดแปลบขึ้นมา
เหลียนซือไม่มีทางเรียกนางด้วยชื่อ นั่นก็เพราะนางไม่อนุญาตให้เขาทำเช่นนั้น ดังนั้นหลังจากถูกนางกล่าวตักเตือนด้วยความเย็นชาอยู่หลายครั้ง เขาจึงยอมแพ้ไป และเรียกนางด้วยความเคารพว่า “เจ้าเหนือหัว” เหมือนคนอื่นแทน
แต่คนตรงหน้านางผู้นี้กลับเรียกชื่อนางออกมา
นางตาฝาดไปหรือ?
หรือเป็นเพราะคนในใจนางจากไปเสียนาน นานเสียจนนางไม่อาจจดจำใบหน้าของเขาได้แล้ว…..
เหลียนซือชุดขาวเห็นสีหน้าตกตะลึงและอึ้งไปหลายชั่วอึดใจของนางแล้วก็ถอนหายใจเบา ๆ รู้สึกสนใจและเจ็บปวดอย่างไม่อาจอธิบายได้
“เจ้าสบายดีหรือไม่? ผ่านมาแล้วก็หลายปี แต่เจ้าไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด เจ้าก็ดูสบายดีนะ” เหลียนซือชุดขาวเอ่ยเสียงเบา แล้วค่อย ๆ ก้าวเท้าเข้าไปหา
หมิงเยว่ผุดลุกขึ้นยืน เอ่ยเสียงเด็ดขาดขึ้นมา “หยุดอยู่ตรงนั้น!”
เสียงนางสั่นเล็กน้อย
นาง….. แท้จริงแล้วกลับรู้สึกหวาดกลัว
ชายหนุ่มดูเหมือนจะไม่ได้ยิน ยังคงก้าวเท้าเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ
“เจ้าจะกลัวอะไร? ไม่ใช่ว่าอยากให้ข้ากลับมาตั้งนานแล้วหรือ? ตอนนี้ข้ากลับมาแล้ว เจ้ากับถอยห่างจากข้า…..”
สีหน้าหมิงเยว่แข็งค้างไป ดวงตาสีเงินประหลาดใจเป็นล้นพ้นอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาขึ้น “ว่าอะไรนะ?”
เหลียนซือชุดขาวไม่ตอบคำ แต่ยังก้าวเข้าไปอยู่ตรงหน้านาง ระหว่างคนทั้งสองห่างกันเพียงก้าวเล็ก ๆ เท่านั้น
“ข้ากลับมาแล้ว เจ้ากลับทำหน้าเช่นนั้น เป็นสีหน้ายินดีหรือเกลียดชังกันแน่?”
หมิงเยว่ริมฝีปากสั่นเทาเล็กน้อยพลางเผยอออก ราวกับอยากจะเอ่ยคำ แต่กลับไร้เสียง
นางละสายตาไปมองดาบในมือของชายหนุ่ม
เหลียนซือไม่เคยใช้ดาบ ส่วนคนผู้นั้นไม่เคยปล่อยให้ดาบห่างมือ ว่ากันว่ามันเป็นของสิ่งเดียวที่มารดาของเขาหลงเหลือไว้ ไม่ว่าไปไหนเขาจึงพกมันไปด้วย
หมิงเยว่ค่อย ๆ เอื้อมมือออกไป ดูท่าทางเกร็ง ทำอะไรไม่ถูก เหมือนกับอยากสัมผัสเขาแต่ก็ยังลังเล
นางอยากสัมผัสคนที่เห็นอยู่ตรงหน้า ให้รู้ว่าทุกอย่างไม่ใช่เพียงภาพลวง
แต่ดูเหมือนว่านางกลับไม่อาจควบคุมมือตนเองได้ ไม่ว่าพยายามเท่าไหร่ก็ไม่อาจเอื้อมไปสัมผัสเขา ในใจทั้งตกตะลึงทั้งมีความรู้สึกล้นหลามเต็มไปหมด น้ำตาพลันเอ่อล้นออกมา