สีหน้าดูถูกปกคลุมไปทั่วใบหน้าโกรธจัดของหนีหู่ระหว่างที่ฟังคำพูดของอีกฝ่าย ดวงตาของเขาเป็นประกายวาววับด้วยความชั่วร้ายทันทีที่คิดอะไรออก จากนั้นเขาจึงเอ่ยว่า “เจ้ากล้าเอาพวกมันมาเทียบกับคุณหนูใหญ่ได้อย่างไร จูเก่ออวิ๋นช่างโง่เขลานักที่คิดจะต่อต้านพวกเรา! ในเมื่อพวกมันอยากตายนัก เช่นนั้นข้าก็จะสนองให้! ในเร็วๆ นี้น่าจะมีการประกาศกติกาการแข่งขันออกมา ข้าล่ะอยากเห็นนักว่าตระกูลจูเก่อจะมีวิธีรับมือกับมันอย่างไร มะรืนนี้พวกเราไปฆ่าจูเก่ออวิ๋นกันก่อน แล้วจากนั้นค่อยจัดการกับเจ้าสองคนนั้น!”
“ขอรับ” ลูกศิษย์ทุกคนกำหมัดแน่นพร้อมกับเคลื่อนสายตาลงมองพื้น พวกเขาแทบรอไม่ไหวที่จะได้แก้แค้น
เหตุการณ์นี้ยิ่งทำให้ความบาดหมางระหว่างตระกูลหนีและตระกูลจูเก่อทวีความรุนแรงขึ้นอีก
จูเก่ออวิ๋นรู้ว่าหนีหู่ย่อมไม่มีวันยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ เขาจึงหันมองไปยังผู้มีพระคุณทั้งสองที่ยืนอยู่ตรงหน้า จากนั้นจึงพยายามข่มความเจ็บปวดแล้วพูดขึ้นว่า “ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ ข้าสั่งให้ข้ารับใช้เตรียมรถม้าเอาไว้แล้ว รถม้าจะพาพวกท่านทั้งสองออกไปส่งนอกเมืองทันที การแข่งขันยังไม่เริ่ม ดังนั้นฐานะของข้าคงยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่เมื่อใดที่ตระกูลหนีเข้ามาทำหน้าที่ ข้าคงไม่สามารถคุ้มครองท่านทั้งสองได้อีกต่อไป”
เงาทมิฬที่ยืนอยู่ข้างพวกเขาขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ ผู้เป็นนายของเขาไม่ได้เข้ามาที่เมืองนี้เพื่อจะออกไปทันทีเสียหน่อย
“นายน้อยอวิ๋น” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “ข้าเข้าใจความกังวลของท่านดี ตระกูลหนีมีอำนาจอย่างมาก ดังนั้นท่านจึงกลัวว่าหนีหู่จะมาหาเรื่องพวกข้าเป็นการแก้แค้น แต่นายน้อยอวิ๋น ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า ถ้าพวกข้ากลัวจะมีปัญหา พวกข้าก็คงไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยในวันนี้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา นางดูไม่สะทกสะท้านกับคำขู่ของหนีหู่แต่อย่างใด
แม้จูเก่ออวิ๋นจะไม่รู้ว่าทั้งสองเป็นใคร แต่เขาก็พลันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันทีหลังจากที่ได้ยินคำตอบของนาง
เขาอยู่ที่เมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายมาก็หลายปี แต่เคยเจอคนใจกล้าเช่นนี้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
“เช่นนั้นหากท่านทั้งสองไม่รังเกียจ ท่านจะมาพักที่จวนตระกูลจูเก่อของข้าก็ได้ อย่างน้อยมันก็น่าจะสามารถป้องกันการลอบโจมตีจากหนีหู่ได้” ทันทีที่พูดจบ จูเก่ออวิ๋นก็ไอออกมาสองครั้งจนใบหน้าซีดเผือด เห็นได้ชัดว่าอาการบาดเจ็บของเขานั้นสาหัสอย่างมาก
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่ากว่าคนหนุ่มสักคนจะมาไกลถึงจุดนี้ได้นั้นเป็นเรื่องยากลำบากเพียงใด แต่นางก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตระกูลจูเก่อนั้นอ่อนแอกว่าตระกูลหนีอย่างมาก
เมื่อเสาหลักของตระกูลสิ้นใจไป และจูเก่ออวิ๋นก็ยังเด็กนักตอนที่ขึ้นมารับช่วงต่อตระกูล ดังนั้นผลลัพธ์ที่ว่านี้จึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้…
เฮ่อเหลียนเวยเวยและคนอื่นๆ ยังไม่ทันจะได้เข้าไปถึงจวนหลักเลยด้วยซ้ำตอนที่มีคนคนหนึ่งรีบวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว คนคนนั้นเป็นสตรีอายุราวสี่สิบปี นางแต่งกายด้วยชุดเรียบๆ แต่กลับยังดูสง่างามอย่างมาก นางดูเป็นกังวลอย่างยิ่งเมื่อมองไปที่ใบหน้าของจูเก่ออวิ๋น จากนั้นจึงถามขึ้นว่า “อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ท่านแม่ ไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ ข้าได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” จูเก่ออวิ๋นมองฮูหยินจูเก่อแล้วเริ่มแนะนำว่า “ต้องขอบคุณสองคนนี้ขอรับ หากไม่ได้พวกเขาช่วยเหลือ ป่านนี้หนีหู่กับลูกศิษย์ของเขาคงไม่ยอมกลับไปแน่”
ดวงตาของฮูหยินจูเก่อเป็นประกายด้วยหยดน้ำตา นางมองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวยและไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยความซาบซึ้งใจ แล้วกล่าวขอบคุณทั้งสองอยู่หลายต่อหลายครั้ง จากนั้นนางจึงสั่งให้ข้ารับใช้นำขนมและน้ำชามาให้พวกเขา
“อวิ๋นเอ๋อร์ ข้ารู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้แล้ว” ฮูหยินจูเก่อรับผ้าเช็ดหน้าสีขาวมาจากข้ารับใช้ ก่อนจะจุ่มมันลงในยาผง แล้วค่อยๆ ทาลงบนบาดแผลของจูเก่ออวิ๋น ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความทุกข์ใจ “ข้าขอโทษจริงๆ ที่ทำให้เจ้าต้องมาเจอเรื่องเช่นนี้ ข้ารู้ว่าเจ้าอยากเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่มีความยุติธรรมตามความปรารถนาสุดท้ายของท่านพ่อเจ้า แต่เจ้ากลับต้องมาแบกภาระทั้งหมดของตระกูลจูเก่อเอาไว้บนบ่า ข้ารู้อยู่แล้วว่าตระกูลหนีคงไม่พอใจที่พวกเราต่อต้านพวกเขา แต่ข้าก็ยังยืนกรานขอให้เจ้าทำเช่นนั้น”
จูเก่ออวิ๋นส่ายหน้าพร้อมกับตัดบทผู้เป็นมารดาว่า “ท่านแม่ ข้าทำทุกอย่างลงไปด้วยความสมัครใจขอรับ เห็นได้ชัดว่าที่ตระกูลหนีอยากได้พระสรีระก็เพราะมีเจตนาชั่วร้าย ท่านปรมาจารย์บอกเอาไว้ว่าไม่ควรมีใครได้รับอนุญาตให้ใช้วิชานอกรีต ถ้าคนของเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเปลี่ยนไป พลังวิญญาณด้านบวกภายในภูเขาไท่ไป๋ที่สะกดสุสานหลวงอยู่ก็จะหายไป จากนั้นเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่ และผนึกขับไล่วิญญาณร้ายจะถูกทำลาย ในช่วงสองสามปีมานี้ ตระกูลหนีมีอำนาจเพิ่มมากขึ้น เมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายไม่ได้ตกอยู่ภายใต้อาณัติของเมืองใดๆ ในแผ่นดินนี้ ดังนั้นมันจึงเอื้อประโยชน์ให้กับตระกูลหนี พวกเขาจะพูดอะไรก็ได้ตามใจและยังสามารถเอาตัวรอดจากสิ่งที่ตัวเองทำได้อีกด้วย นั่นจึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผู้คนมากมายเชื่อในตระกูลหนี ถ้าพวกเราไม่หยุดพวกเขาตอนนี้ ทุกอย่างก็จะสายเกินไปขอรับ!”
“แม่ดีใจจริงๆ ที่เจ้าคิดได้เช่นนี้ แต่เรามีแขกอยู่ที่นี่ด้วย ดังนั้นเราอย่าได้นำปัญหาน่าหนักใจพวกนี้มาคุยกันเลย เจ้าควรรักษาบาดแผลตัวเองให้เรียบร้อย แล้วให้คนพาแขกของพวกเราเดินชมจวนพร้อมกับถามด้วยว่าพวกเขาชอบทานอะไร ข้าจะได้ให้คนเตรียมอาหารเย็นให้” ฮูหยินจูเก่อหันกลับมาแล้วยิ้มให้กับพวกเฮ่อเหลียนเวยเวยเล็กน้อย จากนั้นจึงกล่าวว่า “ข้ายังไม่รู้เลยว่าจะเรียกท่านทั้งสองว่าอย่างไรดี”
เฮ่อเหลียนเวยเวยแต่งกายด้วยชุดผู้ชาย แต่นางสังเกตว่าฮูหยินจูเก่อคงรู้ฐานะที่แท้จริงของนางอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นนางก็คงไม่เปลี่ยนข้ารับใช้ที่คอยดูแลนางเป็นสาวใช้ และรินชาพุทราให้นางดื่ม ชาชนิดนี้มีคุณสรรพคุณในการทำให้ร่างกายอบอุ่น ดังนั้นมันจึงถูกเตรียมไว้สำหรับรับรองแขกผู้หญิงเท่านั้น คนมีมารยาทอย่างฮูหยินจูเก่อคงไม่พลาดพลั้งในเรื่องง่ายๆ เช่นนี้ ฮูหยินจูเก่อรู้ดีว่านางเป็นผู้หญิง แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้ออกมา แทนที่จะทำเช่นนั้นฮูหยินจูเก่อกลับทำตัวตามปกติ และทำให้นางรู้สึกสบายใจ
แต่การเปิดเผยชื่อตัวเองและไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกับคนของเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายย่อมไม่ใช่ความคิดที่ปลอดภัยนัก ดังนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยจึงตัดสินใจใช้ชื่อเล่นก่อนหน้านี้ของตัวเองแทน นางตอบอีกฝ่ายว่า “เว่ยเวย”
ฮูหยินจูเก่อต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นก็มีข้ารับใช้คนหนึ่งวิ่งเข้ามาเสียก่อน เขาหอบหายใจอย่างแรงและพยายามโกยอากาศเข้าปาก ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นที่ด้านนอกนั่น..