เมื่อเห็นว่าข้ารับใช้ดูร้อนรนเพียงใด จูเก่ออวิ๋นก็เดาว่าหนีหู่คงส่งคนมาแก้แค้นพวกเขาด้วยความโกรธ เขาหยิบกระบี่สำหรับใช้ขับไล่วิญญาณร้ายของตัวเองขึ้นโดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บ แล้วบอกกับฮูหยินจูเก่อว่า “ท่านแม่ ขอให้ท่านช่วยเตรียมหนทางออกจากเมืองให้กับพี่เว่ยด้วย ข้าจำต้องออกไปต้านหนีหู่ไว้ก่อนขอรับ!”
“เข้าใจแล้ว” ฮูหยินจูเก่อตอบอย่างใจเย็น แต่ในขณะที่นางกำลังจะสั่งให้คนพาเฮ่อเหลียนเวยเวยกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยออกไปนั่นเอง…
เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับห้ามนางไว้ แล้วเอ่ยอย่างสุภาพว่า “ฮูหยิน ข้ารับใช้ยังไม่ได้พูดอะไรเลย คนที่มาอาจไม่ใช่หนีหู่ก็ได้”
สิ่งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเตือนใช่ว่าจะไร้เหตุผล อย่างไรก็คงไม่มีใครสามารถต้านทานการโจมตีจากองค์ชายสามได้ ต่อให้หนีหู่จะต้องการแก้แค้นเพียงใด แต่เขาก็ต้องรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเองให้หายดีก่อน
แต่นางก็เข้าใจที่คนอย่างหนีหู่จะขอความช่วยเหลือจากตระกูลของตัวเองเป็นอันดับแรกเวลาที่มีปัญหา
หนีหู่เป็นเด็กที่ถูกตามใจจนเคยตัว และชินกับการทำทุกอย่างตามอำเภอใจโดยไม่มีการคิดทบทวน
แต่ตระกูลหนีนั้นต่างจากตระกูลอื่น พวกเขาจำเป็นต้องรักษาภาพลักษณ์ซื่อสัตย์สุจริตของตัวเองเอาไว้ ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่มีทางส่งคนมาซุ่มโจมตีตระกูลจูเก่อก่อนการแข่งขันอย่างแน่นอน
ถ้าพวกเขาคิดจะกำจัดใครสักคนจริง พวกเขาก็ลงมือได้แค่ในระหว่างการแข่งขัน มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้พวกเขาสามารถรักษาภาพลักษณ์อันทรงธรรมของตัวเองได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้อง ในที่สุดข้ารับใช้ที่กำลังหอบจนตัวโยนก็สบโอกาสพูดขึ้นมาได้ เขาก้าวเท้าออกไปขวางทางจูเก่ออวิ๋นพร้อมกับพูดทั้งๆ ที่ยังเอาแต่หอบอยู่ว่า “นายน้อยขอรับ ไม่ใช่… ไม่ใช่คนจากตระกูลหนีขอรับ”
“ไม่ใช่หรือ เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงต้องรีบร้อนถึงเพียงนี้ด้วย” จูเก่ออวิ๋นชะงักฝีเท้าขณะมุ่นหัวคิ้วเข้าหากัน
ในที่สุด ข้ารับใช้ก็ควบคุมลมหายใจของตัวเองได้ เขาค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “กติกาการแข่งขันออกมาแล้วขอรับ กติกามาแล้ว แต่เรามีปัญหาขอรับ!”
“มีปัญหาอะไร” จูเก่ออวิ๋นใจหายวาบ เขารีบคว้าแขนของข้ารับใช้เข้ามาทันที คนที่มีสายตาเฉียบแหลมย่อมมองออกว่าตระกูลจูเก่อไม่สามารถรับมือกับปัญหาใหญ่อันใดได้อีก ถ้ากติกาการแข่งขันไม่เอื้อต่อพวกเขา มันก็มีแต่จะทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงเท่านั้น
ข้ารับใช้สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดต่อ “อันที่จริงจะว่าเป็นปัญหาก็ไม่เชิงขอรับ แต่การเข้าสุสานหลวงไม่ใช่เรื่องเล็ก ดังนั้นเพื่อรับประกันความปลอดภัยให้กับทุกคน หลายๆ ตระกูลจึงปรึกษาหารือกันและตัดสินใจว่าแต่ละตระกูลจะต้องส่งผู้เข้าแข่งขันลงแข่งอย่างน้อยสามคนและข้ารับใช้อีกหนึ่งคนถึงจะเพียงพอต่อการเดินทางขอรับ”
“มีหลายตระกูลหารือกันเรื่องนี้หรือ” ใบหน้าคมคายแต่ยังดูเยาว์วัยของจูเก่ออวิ๋นดำคล้ำขณะเอ่ยว่า “ตระกูลไหนเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้ ข้าไม่ได้รับข่าวใดๆ เลยด้วยซ้ำ!”
ข้ารับใช้เงียบไป เขาก้มหน้าลงอย่างประหม่า เขารู้ว่านายน้อยโมโหเพราะปัญหานี้ควรได้รับการหารือกันระหว่างตระกูล แต่การตัดสินใจนี้กลับเกิดขึ้นโดยไม่ได้ถามความคิดเห็นของนายน้อยเลยแม้แต่นิดเดียว เห็นได้ชัดว่าเพราะเหตุการณ์ครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้น ตระกูลหนีจึงร่วมมือกับอีกสองตระกูลเพื่อบีบตระกูลจูเก่อ
“ข้าเข้าใจแล้ว” สีหน้าของจูเก่ออวิ๋นขมขื่นแต่ก็เด็ดเดี่ยวแน่วแน่
ข้ารับใช้ไม่กล้ามองหน้าเขา เขาเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเสียงเบาว่า “นายน้อย”
“ไม่เป็นไร” จูเก่ออวิ๋นยิ้ม ดวงตาของเขาดำสนิทราวกับน้ำหมึกขณะเอ่ยว่า “ข้าคาดการณ์เอาไว้แล้วตั้งแต่แรกว่ามันจะต้องมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ตระกูลหนีมักใช้อุบายเช่นนี้อยู่เสมอ ข้าเพียงแต่คาดไม่ถึงว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ และยังคาดไม่ถึงอีกด้วยว่าพวกเขาจะเล่นแง่กับกติกาการแข่งขันเช่นนี้”
มาถึงตรงนี้เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงเข้าใจสถานการณ์แทบทั้งหมดได้ ดูเหมือนว่าตระกูลหนีจะเริ่มงัดอุบายออกมาใช้แล้ว
การเคลื่อนไหวของเขาจัดว่าชาญฉลาดอย่างมาก ทั้งยังไม่เป็นที่สะดุดตาอีกด้วย
นอกจากประมุขของสี่ตระกูลใหญ่แล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่ากฎกติกาการแข่งขันนี้ถูกแก้ไขอย่างไร
ทุกคนในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายต่างคิดว่านี่เป็นการแข่งขันอันยุติธรรม
แต่อำนาจบารมีของตระกูลจูเก่อเริ่มตกต่ำลงตั้งแต่รุ่นก่อนแล้ว นอกจากจูเก่ออวิ๋น เวลานี้ก็ไม่มีใครในตระกูลที่มีฝีมือในการขับไล่วิญญาณร้ายอีก
ดังนั้นการขอให้ส่งผู้เข้าแข่งขันสามคนลงแข่งเช่นนี้จึงไม่ต่างจากการท้าทายตระกูลจูเก่อซึ่งๆ หน้า
ต่อให้จูเก่ออวิ๋นลงแข่งคนเดียว สุดท้ายเขาก็ต้องพ่ายแพ้อยู่ดี
แต่เห็นได้ชัดว่าตระกูลหนีคงไม่อยากได้แค่ชัยชนะนั้นมาไว้ในมือเท่านั้น เพราะพวกเขาต้องการบดขยี้ตระกูลจูเก่อให้ราบคาบด้วยการบีบให้พวกเขาสละสิทธิ์ มีแค่เพียงวิธีนี้เท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถแสดงความยิ่งใหญ่ให้ทุกคนเห็น และล้างชื่อเสียงตัวเองจากการเป็นกลุ่มคนที่น่าสงสัยได้
ฮูหยินจูเก่อก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ใบหน้าของนางซีดเผือดขณะเอ่ยขึ้นมาในทันทีว่า “ตระกูลหนี พวกเขาทำเกินไปแล้ว!”
“ท่านแม่!” จูเก่ออวิ๋นใช้มือขวาข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บประคองผู้เป็นมารดา ใบหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลาของเขาเผยความเด็ดเดี่ยวและเดือดดาลอย่างมาก พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ต้องห่วงขอรับ ไม่ว่าคนพวกนั้นจะทำเช่นใด ข้าก็จะสู้เพื่อตระกูลจูเก่อของพวกเราขอรับ!”
ฮูหยินจูเก่อลูบแก้มของบุตรชายสุดที่รัก แล้วบอกว่า “อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าต้องแบกรับความกดดันของตระกูลจูเก่อมาตลอดหลายปี ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นผู้ใหญ่เพียงใด แต่คราวนี้มันแตกต่างออกไป ต่อให้เจ้าทุ่มเทเพียงใดเจ้าก็ไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้ ข้าเชื่อว่าถ้าเจ้ามีเวลาอีกสักห้าปี เจ้าก็คงจะสามารถรับมือกับทุกอย่างได้ แต่ตอนนี้.. ตระกูลจูเก่อมาถึงจุดนี้แล้ว จุดที่คนรุ่นหลังยังเด็กเกินไป ขณะที่คนรุ่นก่อนก็แก่เกินไป กติการะบุว่าต้องมีผู้เข้าแข่งขันอย่างน้อยสามคน เจ้าเป็นประมุขของตระกูลจูเก่อ ดังนั้นเจ้าจึงจำเป็นต้องลงแข่ง แต่ใครล่ะจะลงแข่งพร้อมกับเจ้า ใครล่ะที่จะยอมเสียสละลูกของตัวเอง” ฮูหยินจูเก่อกลั้นน้ำตาแห่งความโศกเศร้า แต่นางกลับเอ่ยออกมาอย่างมีเมตตาว่า “หัวใจมนุษย์สร้างขึ้นมาจากก้อนเนื้อ ทุกคนรู้ว่าการเข้าไปในสุสานหลวงเป็นเรื่องยากลำบากอย่างมาก ลำพังเพียงแค่การนำพระสรีระกลับมาก็นับว่าไม่ง่ายแล้ว แต่ข้ากลัวว่าคงมีหลายคนต้องจบชีวิตลง นอกจากเจ้า ทุกคนในตระกูลจูเก่อก็ทำได้เพียงแค่อัญเชิญยมทูตออกมาเท่านั้น ความสามารถนี้อาจจะเพียงพอต่อการทำพิธีขับไล่วิญญาณร้ายทั่วไป แต่มันไม่อาจทำให้พวกเขาเอาชีวิตรอดในสุสานหลวงได้”
“ท่านแม่…” แน่นอนว่าจูเก่ออวิ๋นย่อมรู้ว่าทุกคำที่ผู้เป็นมารดาพูดออกมาคือความจริงที่เขากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ แต่เขาควรจะยอมแพ้ไปทั้งอย่างนั้นน่ะหรือ เขาควรทำเพียงแค่เฝ้ามองดูแผนการชั่วร้ายของตระกูลหนีประสบความสำเร็จหรือ ไม่ใช่แค่พวกเขาจะไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ทำตามความปรารถนาก่อนตายของท่านพ่อ แต่เขาเองก็ควรที่จะสละสิทธิ์ในการเข้าร่วมการแข่งขันนี้ไปด้วยหรือ
ยิ่งคิด ดวงตาของจูเก่ออวิ๋นก็ยิ่งแดงก่ำ แม้เขาจะวางตัวได้อย่างเหมาะสม แต่เขาก็อายุได้เพียงแค่สิบห้าปีเท่านั้น น้ำตาเริ่มไหลออกมาจากดวงตาของเขาด้วยความคับแค้นใจ
เขาต่อยโต๊ะไม้อย่างแรงจนข้อนิ้วถลอก น้ำเสียงของเขายังขุ่นมัวเล็กน้อยตอนที่เอ่ยว่า “เป็นความผิดของข้าเองขอรับ ถ้าท่านพ่อยังอยู่ พวกมันคงไม่กล้าทำเช่นนี้กับพวกเรา! พวกเรา…” น้ำเสียงของจูเก่ออวิ๋นฟังดูเจ็บปวดขณะที่เขาพูดประโยคนี้ออกมา “พวกเรายอมแพ้กันเถอะขอรับ”
ฮูหยินจูเก่อหัวใจสลายเมื่อเห็นบุตรชายของตัวเองในสภาพนี้ นางสูดหายใจเข้าลึก และกำลังจะอ้าปากขึ้น…
แต่ทันใดนั้น เสียงใสๆ ก็ดังขึ้นจากด้านข้างของนาง เสียงนั้นทั้งผ่อนคลายและมีชีวิตชีวา แต่กลับสามารถปลอบประโลมจิตใจผู้คนให้สงบได้อย่างน่าประหลาด “ถ้านายน้อยอวิ๋นมีคนไม่พอ เช่นนั้นท่านจะช่วยพิจารณาให้พวกเราลงแข่งด้วยได้หรือไม่”