ตอนที่ 2 บาร์เดย์ลิลลี่
ในโลกความฝันของลู่เฉินมีทั้งผู้คนและเรื่องราวมากมายที่ทำให้เขารู้สึกไม่คุ้นเคย แม้ประวัติศาสตร์และวิทยาการจะพัฒนาควบคู่กันมา แต่ในสายวัฒนธรรมเช่นดนตรี ภาพยนตร์ หรือวรรณกรรมกลับมีความแตกต่างกันมากเหลือเกิน
นักร้อง ดาราภาพยนตร์ ดนตรี ภาพยนตร์ และวรรณกรรมที่ลู่เฉินคุ้นเคยเหล่านั้น ในฝันไม่มีปรากฏเลย แต่ในโลกแห่งความฝันก็ไม่ขาดดาราที่มีชื่อเสียงกับผลงานอมตะชิ้นเอก ความเฟื่องฟูรุ่งโรจน์ของศิลปะถึงขั้นว่าเกินกว่าความเป็นจริงเสียอีก
คำพูดของหลี่เฟยอวี่เหมือนปลุกลู่เฉินให้ตื่นขึ้น ทำให้เขาพลันระลึกได้ว่าตนมีคลังสมบัติล้ำค่าของตัวเองอยู่!
เพียงแค่ผลงานเพลงฮิตพวกนั้น…
ลู่เฉินเพิ่งเปิดโปรแกรมหนึ่งขึ้นมาบนหน้าจอโน้ตบุ๊ก เป็นโปรแกรมชื่อว่า ‘ปรมาจารย์นักร้อง’
โปรแกรม ‘ปรมาจารย์นักร้อง’ ถูกยกย่องว่าเป็นอุปกรณ์สร้างเพลงชั้นดี สามารถรวบรวมเนื้อเพลง แต่งเพลง เรียบเรียงเพลง และโหลดออกมาได้ในโปรแกรมเดียว มีพื้นที่มหาศาลให้ได้เก็บข้อมูลในระบบออนไลน์ มีความเฉพาะทางสูงแต่ใช้งานง่าย ไม่ว่าจะมือสมัครเล่นทั่วไปหรือนักแต่งเพลงมืออาชีพก็ใช้โปรแกรมนี้ทำผลงานเพลงได้
ตอนเรียนมหาวิทยาลัยลู่เฉินเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ ทั้งยังชอบดนตรี จึงถนัดการใช้โปรแกรม ‘ปรมาจารย์นักร้อง’ แต่งเพลง และดื่มด่ำกับความรู้สึกของการเป็นนักร้องนักแต่งเพลงมานานแล้ว
เพียงแต่เมื่อก่อนเขาเขียนเพลงเพื่อความบันเทิงส่วนตัวเท่านั้น เวลาหนึ่งปีครึ่งกว่าเขายังเขียนเพลงที่สมบูรณ์ไม่เสร็จเลยสักเพลง
ส่วนคุณภาพยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงให้มากเลย
แต่ตอนนี้ เมื่ออาศัยแค่ความทรงจำในความฝัน ลู่เฉินใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เขียนเนื้อเพลงจบไปสองเพลงแล้ว
หลังจากแต่งเสร็จ ลู่เฉินเล่นดนตรีพร้อมร้องตามหน้าจอสองสามรอบ แก้ไขจุดบกพร่องบางจุดในนั้น
สุดท้าย เขานำทั้งสองเพลงที่แต่งเสร็จแล้วส่งเข้าโปรแกรม ‘ห้องสมุดดนตรีจีน’ เพื่อขอตรวจสอบลิขสิทธิ์
‘ห้องสมุดดนตรีจีน’ จัดสร้างขึ้นโดยสำนักวัฒนธรรมจีน ร่วมกับสำนักลิขสิทธิ์จีน สมาคมนักดนตรีจีน และสมาคมนักแสดงจีน เป็นเว็บไซต์ใช้ตรวจสอบลิขสิทธิ์เพลง ลงทะเบียน รวมถึงแลกเปลี่ยนซื้อขายในระบบออนไลน์ มีความเป็นมายาวนานถึง 25 ปี อีกทั้งมีอำนาจสูงสุดในด้านการให้ลิขสิทธิ์เพลง
แพลตฟอร์มเว็บไซต์เปิดให้ทุกคนใช้ รับให้บริการอย่างครบวงจร แต่ไม่ได้ฟรีไปทั้งหมด
การตรวจสอบลิขสิทธิ์ต่อครั้งมีราคา 100 หยวน ทั้งสองเพลงจึงทำให้เงินในบัญชีลู่เฉินถูกหักไป 200 หยวน เท่ากับเงินค่าใช้จ่ายสิบวันของเขา!
การดำเนินการตรวจสอบช้ามาก ลำดับขั้นตอนของห้องสมุดดนตรีจะดูโน้ตเพลงกับผลงานที่เคยมีคนลงทะเบียนไว้แล้วตรวจเปรียบเทียบกัน พิจารณาว่าเหมือนกัน คล้ายคลึงกัน หรือลอกเลียนกันมา
ฐานข้อมูลของ ‘ห้องสมุดดนตรีจีน’ นั้นมากมายมหาศาล จะเปรียบเทียบและตรวจสอบอย่างชาญฉลาดต้องใช้การคำนวณครั้งใหญ่ ดังนั้นต่อให้ใช้คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงทำงาน ก็ยังต้องใช้เวลาครู่ใหญ่จึงจะตรวจสอบสมบูรณ์
แต่ต่อให้นานแค่ไหนลู่เฉินก็ตั้งตารอ เพราะนี่เป็นขั้นตอนจำเป็นในการจดลิขสิทธิ์เพลง และเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่สุดที่เขาใช้เปรียบเทียบโลกความฝันกับความจริงด้วย
เวลาเดินไปช้าๆ ลู่เฉินเฝ้าอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ จับจ้องบนแถบ Progress Bar ตาไม่กะพริบ
ใจของเขาไม่เคยรู้สึกกังวลเท่าตอนนี้มาก่อน เคร่งเครียดมากถึงมากที่สุด
เพราะลู่เฉินรู้ว่า นี่อาจเป็นโอกาสครั้งเดียวที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตนและครอบครัว!
ติ๊ง!
ราวกับเวลาผ่านไปเป็นร้อยปี หน้าจอคอมพิวเตอร์พลันมีแถบสีเขียวเด้งขึ้นมา
ผ่านการตรวจสอบ!
ลู่เฉินตะลึง ยังไม่ทันตอบสนองอะไร
ติ๊ง!
แถบสีเขียวแบบเดียวกันเด้งขึ้นมาอีกครั้ง
ผ่านการตรวจสอบ!
ครั้งนี้ในที่สุดลู่เฉินก็เข้าใจแล้ว เพลงที่ตนส่งไปตรวจลิขสิทธิ์ใน ‘ห้องสมุดดนตรีจีน’ ทั้งสองเพลงผ่านหมดแล้ว หมายความว่าสามารถจดลิขสิทธิ์ได้ เขามีสิทธิ์ครอบครองเพลงทั้งหมด!
ครู่ต่อมา ลู่เฉินตกอยู่ในภวังค์กับความตื่นเต้นดีใจอันท่วมท้น เขากำหมัดยกขึ้นมาโบกอย่างอดไม่ได้ อยากแหงนหน้าตะโกนขึ้นไปบนฟ้าเพื่อระบายความดีใจในตอนนี้
เยส! ได้จริงๆ ด้วย!
แต่เรื่องยังไม่จบแค่นี้ เขาข่มความตื่นเต้นในใจเอาไว้ กุมเม้าส์เลื่อนไปที่ช่องลงทะเบียนลิขสิทธิ์
ค่าจดลิขสิทธิ์สูงกว่าค่าตรวจสอบเสียอีก เพลงหนึ่งต้องใช้เงินถึง 500 หยวน อีกทั้งทุกปียังต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในการเก็บรักษา ป้องกันไม่ให้เกิดการจดทะเบียนซ้ำซ้อน
ลู่เฉินเป็นสมาชิกของ ‘ห้องสมุดดนตรีจีน’ มานานมากแล้ว เมื่อครู่ยังผ่านการตรวจสอบลิขสิทธิ์อีก ดังนั้นหลังจากจ่ายเงินไป 1000 หยวน ไม่นานบทเพลงทั้งสองก็จดทะเบียนชื่อเขาลงไป ยืนยันลิขสิทธิ์เสร็จสมบูรณ์!
เมื่อแถบแสดงว่าจดทะเบียนสำเร็จปรากฏขึ้น ลู่เฉินถึงผ่อนคลายลงได้
แต่ความปีติยินดีในใจเพิ่มขึ้นไม่มีลด เพราะเขามั่นใจแล้วว่าความทรงจำจากในฝันเป็นเรื่องจริง!
ลู่เฉินเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ผ่อนลมหายใจยาว
เขายื่นมือดึงลิ้นชักที่อยู่ใต้โต๊ะ ควานหาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถ้วยหนึ่งกับไส้กรอกแฮมอันหนึ่งมา
คิดใคร่ครวญแล้ว ลู่เฉินก็หยิบไส้กรอกออกมาเพิ่มอีกหนึ่งอัน…วันนี้มีความสุข กินอาหารเพิ่มแล้วกัน!
เขาลุกขึ้นไปรองน้ำจากห้องน้ำมา เสียบปลั๊กกาต้มน้ำร้อนไฟฟ้า น้ำเดือดจากกาต้มน้ำถูกเทใส่ถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอย่างรวดเร็ว
กลิ่นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่คุ้นเคยและชวนให้น้ำลายไหลลอยอบอวลอยู่ในอากาศ!
ไม่ใช่ว่าลู่เฉินไม่อยากออกไปทานอาหารอร่อยๆ มื้อใหญ่นอกบ้านสักมื้อ แต่เงินในบัญชีเขาหลังจากจ่ายค่าตรวจสอบและค่าจดลิขสิทธิ์แล้วเหลือแค่ 100 กว่าหยวนเท่านั้นเอง
ส่วนเศษเงินในกระเป๋าเสื้อก็มีไม่ถึง 50 หยวน
กว่าจะถึงวันที่เงินเดือนออก ยังเหลืออีกครึ่งเดือนเต็มๆ!
เงินแค่นี้แม้แต่จะกินข้าวยังไม่พอจ่าย แต่ลู่เฉินก็ไม่ได้ตื่นตระหนกเท่าไร เขากินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรวมทั้งน้ำซุปจนหมดเกลี้ยง เก็บกวาดแบบง่ายๆ เรียบร้อย ก็สะพายกระเป๋ากีตาร์ออกจากห้องพักชั้นใต้ดิน
ตอนที่ลู่เฉินนั่งรถไฟใต้ดินรีบไปถึงบาร์เดย์ลิลลี่แถวทะเลสาบโฮ่วไห่ก็ใกล้จะสองทุ่มแล้ว
ชื่อโฮ่วไห่มีคำว่าทะเลอยู่ แต่ความจริงแล้วเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่ถูกขุดขึ้นโดยมนุษย์ สมัยโบราณเป็นสระน้ำของราชวงศ์ และยังเป็นส่วนหนึ่งของทะเลสาบเซินซาไห่ ด้านตะวันออกเริ่มจากถนนตี้อันเหมินนอก ไปจนถึงถนนซินเจียโข่วทางด้านตะวันตก ทางใต้เริ่มต้นจากถนนผิงอันไปจรดเขตวงแหวนชั้นสองทางทิศเหนือ
ทะเลสาบโฮ่วไห่ในสมัยราชวงศ์หยวนเป็นเขตตลาดการค้าที่คึกคักของเมืองหลวง แนวชายฝั่งทะเลสาบเต็มไปด้วยโรงสุราเวทีร้องเพลงและร้านค้างานฝีมือ รอบด้านเรียงรายด้วยบ้านเรือนเก่าแก่ของเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์และนักกวีมีชื่อเสียง จนถึงวันนี้ก็ยังเป็นศูนย์กลางของเมืองหลวงเช่นเดิม
ทะเลสาบโฮ่วไห่ในปัจจุบันเจริญรุ่งเรืองกว่าเมื่อก่อน ในวันปกติผู้คนหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาด ตกกลางคืนผับบาร์จะเปิดไฟป้ายร้านส่องสว่างเพื่อคอยต้อนรับลูกค้าที่ชอบท่องราตรี
ขนมแถวทะเลสาบโฮ่วไห่มีชื่อเสียงมาก แต่ผับบาร์ในละแวกนั้นขึ้นชื่อกว่า
บาร์เดย์ลิลลี่เป็นหนึ่งในบาร์ที่มีเป็นร้อยแถวโฮ่วไห่ และเป็นที่ที่ลู่เฉินมาทำงานกลางคืน
“เสี่ยวลู่ ทำไมมาสายล่ะ”
บริกรที่ยืนอยู่หน้าร้านเห็นลู่เฉินรีบร้อนวิ่งมาก็หัวเราะเยาะ “ไม่ใช่ว่านายตรงเวลาสุดๆ เหรอ หรือว่าวันนี้มีนัดสาวเลยลืมเวลา”
ลู่เฉินเหลือบมองเขาทีหนึ่งไม่ได้ตอบอะไร แต่ยื่นมือออกไปผลักเปิดประตูร้าน
ชายหนุ่มคนนี้อายุไล่เลี่ยกับลู่เฉิน เข้ามาทำงานที่บาร์เดย์ลิลลี่นานกว่า ทั้งสองไม่มีความแค้นอะไรต่อกัน แต่หลายครั้งเขามาทำงานสายจนถูกเจ้าของบาร์ตำหนิ จึงรู้สึกแค้นเคืองลู่เฉินอยู่ในใจ
เพราะเวลาเจ้าของบาร์อบรมเขา มักจะยกลู่เฉินที่ตรงต่อเวลาเสมอขึ้นมาเปรียบเทียบ ลู่เฉินเหมือนนอนอยู่เฉยๆ ก็โดนยิง[1] ถูกใส่ร้ายแท้ๆ
ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญ นั่นก็คือในบรรดาบริกรทั้งหมดในบาร์เดย์ลิลลี่ ลู่เฉินหล่อเหลาที่สุด ทำเอาคนสิวเต็มหน้าอย่างเขาคนนี้กระเด็นไปไกลอย่างน้อยสามช่วงถนน แถมลู่เฉินยังอาศัยหน้าตาหล่อๆ หาเงินไปได้ไม่น้อยอีก
ด้วยความโกรธแค้นในใจ ทำให้เขาชอบหาโอกาสกระแนะกระแหนลู่เฉิน ลู่เฉินรู้ว่าคนแบบนี้ไม่มีเหตุผลให้ต้องเจรจากัน และก็ไม่อยากหาเรื่องหาราว ด้วยเหตุนี้จึงมองฝ่ายตรงข้ามเป็นอากาศไปเสีย
การเมินเฉย ความจริงแล้วก็คือการตอบโต้อย่างรุนแรงเช่นกัน!
ยังไม่ถึงช่วงเวลาทองของชีวิตกลางคืน แขกในบาร์ยังมีไม่มาก
บาร์เดย์ลิลลี่นับเป็นบาร์ขนาดกลางในแถบโฮ่วไห่ สร้างดัดแปลงจากโกดังเก่าหลังหนึ่ง พื้นที่ภายในสูงหกเมตรกว่าถูกแบ่งเป็นสองชั้น ตรงกลางเปิดโล่ง จัดวางเวทีแสดง ไฟ ผ้าม่านฉาก และลำโพงไว้เป็นต้น
ส่วนที่ล้อมรอบเวทีตรงกลาง บนชั้นหนึ่งและชั้นสองจัดวางโต๊ะและเก้าอี้บาร์หลายสิบชุด ยังมีเก้าอี้เดี่ยววางเรียงรายหน้าเคาน์เตอร์บาร์ สามารถจุแขกได้มากที่สุดสองร้อยคน ค่าใช้จ่ายในการตกแต่งร้านทั้งหมดประมาณสองล้านหยวน
ตอนที่ลู่เฉินเข้ามา เจ้าของบาร์เฉินเจี้ยนหาวกำลังนั่งคิดบัญชีอยู่หลังเคาน์เตอร์ สาวสวยรายหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ กำลังละเลียดจิบเครื่องดื่มค็อกเทลสีฟ้า
ลู่เฉินลังเลเล็กน้อย ก่อนเดินถือกล่องกีตาร์เข้าไป “ขอโทษด้วยครับเถ้าแก่ วันนี้ผมมาสาย”
เวลาเริ่มงานของเขาคือทุ่มครึ่ง แต่ตอนนี้เวลาล่วงไปถึงสองทุ่มแล้ว สายไปครึ่งชั่วโมง
เฉินเจี้ยนหาวเป็นชายวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่า แต่ดูท่าทางเหมือนคนอายุประมาณสามสิบ รูปร่างสมส่วน เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายประณีตมาก มีราศีอย่างคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตและบุคลิกสง่างาม
ลู่เฉินทำงานในบาร์เดย์ลิลลี่มาครึ่งปีกว่า เขารู้ว่าเจ้านายไม่ชอบให้ใครมาทำงานสาย และยิ่งไม่ชอบให้คนที่ทำผิดหาข้ออ้างแก้ตัว เขาจึงยอมรับผิดแต่โดยดี
เฉินเจี้ยนหาววางปากกาในมือลง เอ่ยเรียบๆ ว่า
“ครั้งนี้ไม่เป็นไร แต่ครั้งหน้าไม่ได้แล้วนะ”
ตามกฎของบาร์แล้ว ถ้าพนักงานมาทำงานสายจะถูกหักเงินเดือน แต่ลู่เฉินความประพฤติดีมาตลอด ครั้งนี้เป็นการทำผิดครั้งแรก เขาจึงละเว้นโทษไป
ลู่เฉินแอบโล่งใจ รีบตอบกลับว่า
“ขอบคุณครับเถ้าแก่”
“ใช่แล้ว…”
เฉินเจี้ยนหาวพูดขึ้น “พี่น่ากับเสี่ยวไซว่จะมาช้าหน่อย คืนนี้นายขึ้นร้องเพลงอุ่นเครื่องก่อนแล้วกัน”
ลู่เฉินพยักหน้าตอบรับ
“ครับผม!”
ด้วยความไม่ตั้งใจ เขาสังเกตเห็นว่าสาวสวยที่นั่งอยู่ข้างเฉินเจี้ยนหาวหันมามองตนแล้วยิ้มให้เล็กน้อย
หญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีฟ้าทั้งตัว ทำผมประณีต รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ใบหน้าแต่งเครื่องสำอางอ่อนๆ มาอย่างดี ดวงตาคู่งามทรงเสน่ห์ราวจิ้งจอกสาว
ทั้งสองสบตากัน มุมปากของหญิงสาวหยักยกขึ้นเล็กน้อย เธอขยิบตาให้ลู่เฉิน สายตายั่วยวนดึงดูดใจ เผยให้เห็นเสน่ห์เย้ายวนรางๆ
นางปีศาจ!
ลู่เฉินใจเต้นแรงขึ้นมา รีบหันหน้าเดินไปที่เวทีด้านหลัง
เขากลัวว่าถ้าเขากับผู้หญิงแปลกหน้าสบตากันนานกว่านี้จะแสดงอาการเสียมารยาทออกมา
คนที่ท่าทางเหมือนนางปีศาจแบบนี้ ไม่ใช่ว่าคนทั่วไปจะควบคุมกันได้!
เสียงหัวเราะของหญิงสาวดังตามมาจากด้านหลัง
เฉินเจี้ยนหาวมองเธออย่างจนปัญญา เตือนว่า
“เสี่ยวเม่ย เธอแกล้งพนักงานฉันทำไม”
หญิงสาวใช้มือขวาเสยปอยผมดำที่ปรกลงมาขึ้นไป มือซ้ายแกว่งแก้วค็อกเทลเบาๆ ตอบว่า
“ก็ฉันชอบนี่นา…”
เฉินเจี้ยนหาวยิ้มแหยๆ ไม่ได้เอ่ยต่อ
………………………………………………
[1] นอนอยู่เฉยๆ ก็โดนยิง เป็นแสลงใช้ในความหมายว่าซวยมาก อยู่ดีๆ ก็งานเข้า