ตอนที่ 3 น้องใหม่ในวงการ
ด้านหลังเวทีของบาร์เดย์ลิลลี่เป็นห้องใหญ่ที่ถูกกั้นแยกเป็นห้องเดี่ยว ด้านในกั้นเป็นอีกสองห้องเล็ก
ห้องหลังเวทีเป็นพื้นที่สำหรับเหล่านักดนตรีของบาร์
ห้องใหญ่ด้านนอกตั้งโต๊ะเครื่องแป้งและตู้เก็บของ บวกกับเก้าอี้เบาะอีกห้าหกตัวไว้ให้นักร้องและนักร้องตามคำสั่งใช้นั่งพัก ส่วนในสองห้องเล็กจัดวางโซฟา โทรทัศน์ ชั้นวางสุรา ห้องน้ำส่วนตัวเป็นต้น เป็นพื้นที่ของนักร้องที่เซ็นสัญญาและวงดนตรี
แม้จะร้องเพลงในบาร์เหมือนกัน แต่ตำแหน่งของนักร้องต่างกันราวฟ้ากับเหว
เมื่อลู่เฉินเข้ามาในห้องใหญ่ ด้านในมีนักร้องชายหญิงคู่หนึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว นักร้องชายกำลังเล่นโทรศัพท์มือถือ ส่วนนักร้องหญิงกำลังเติมเครื่องสำอาง ไม่มีใครหันมาสนใจผู้ที่เพิ่งเข้ามาอย่างลู่เฉินเลย
เพราะในพื้นที่เล็กๆ นี้ ลู่เฉินมีตำแหน่งด้อยที่สุด
“สวัสดีครับพี่เยี่ย สวัสดีครับพี่หง”
ลู่เฉินทักทายทั้งสองคนตามปกติ แล้วนั่งลงตรงที่ของตัวเอง วางกระเป๋ากีตาร์ลง
ที่นั่งของเขาคือสุดมุมของห้องหลังเวที
นักร้องชายตอบรับว่า “อือ” อย่างไม่ใส่ใจ ส่วนนักร้องหญิงวางเครื่องสำอางในมือลงแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เสี่ยวลู่ วันนี้นายมาสายแล้วนะ ถูกเถ้าแก่ดุเอาละสิ? เหอะๆ!”
พี่หงปีนี้อายุสามสิบกว่าแล้ว เธอทำงานร้องเพลงในบาร์เดย์ลิลลี่มาห้าปี ถนัดร้องเพลงรัก เนื้อเสียงลูกคอไม่เลวเลย แม้จะไม่ได้สวยโดดเด่น แต่ในบาร์ย่านทะเลสาบโฮ่วไห่ก็ถือว่ามีชื่อเสียงในหมู่นักร้องด้วยกันอยู่บ้าง
แต่ถ้าเทียบกับนักร้องเซ็นสัญญาที่เป็นหนึ่งในหัวแรงหลักของบาร์เดย์ลิลลี่อย่างจางนาน่าแล้ว เธอยังด้อยกว่ามาก
ถึงแม้เป็นแบบนี้ เธอก็ยังแสดงอาการหยิ่งทระนงอย่างผู้อยู่เหนือกว่ากับลู่เฉินเสมอ ฟังแล้วรู้สึกเหมือนเป็นคำถามที่ห่วงใย แต่ความจริงซ่อนการสัพยอกและเยาะหยันไว้
ถ้าเป็นลู่เฉินคนเมื่อวานต้องไม่พอใจกับเรื่องนี้แน่ และไม่อาจแสดงความโกรธในใจออกมาได้
ทว่าเมื่อผ่านชีวิตทั้งสามช่วงในฝันมา จิตใจเขาเปลี่ยนแปลงไปโดยที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้ตัวแล้ว เขายิ้มเรียบๆ ตอบว่า “ขอบคุณพี่หงที่เป็นห่วงครับ ผมไปยอมรับผิดกับเถ้าแก่แล้ว”
พี่หงนิ่งอึ้ง คำพูดที่อยากจะเอ่ยต่อพลันพูดไม่ออกแล้ว
เธอเปล่งเสียง “หึ” เบาๆ แล้วก็ไม่สนใจลู่เฉินอีก หยิบสำลีแต่งหน้าที่เพิ่งวางลงขึ้นมาใหม่
ตอนนี้เอง ประตูห้องเล็กด้านในถูกเปิดออกทันใด ชายหนุ่มสวมเสื้อแจ็กเก็ตดำผมยาวสยายประบ่าเดินออกมา
“พี่ฉิน!”
พี่หงและนักร้องชายอีกคนตอบสนองเร็วมาก รีบยืนขึ้นยิ้มทักทายทันที
ลู่เฉินช้ากว่าหน่อย เขายืนขึ้นทักทายเหมือนกัน “สวัสดีครับพี่ฉิน…”
ฉินฮั่นหยางหรือพี่ฉินที่สวมเสื้อแจ็คเก็ตคนนี้คือคนสำคัญที่แท้จริงของบาร์เดย์ลิลลี่ นักร้องนำและมือกีตาร์หลักของวงเฮสิเทชั่น (Hesitation) เขาคือจิตวิญญาณที่วงเฮสิเทชั่นขาดไม่ได้ แม้แต่เถ้าแก่อย่างเฉินเจี้ยนหาวยังต้องเกรงอกเกรงใจ
เฮสิเทชั่นเป็นวงประจำของบาร์เดย์ลิลลี่ มีสมาชิกทั้งหมดห้าคน นอกจากฉินฮั่นหยางแล้วยังมีมือกีตาร์หลัก มือเบส มือกลอง และมือคีย์บอร์ด
ผับบาร์เช่นบาร์เดย์ลิลลี่แห่งนี้ จะเลี้ยงดูวงดนตรีสักวงนั้นไม่ง่ายเลย ในทางกลับกันการมีอยู่ของวงเฮสิเทชั่นช่วยเพิ่มชื่อเสียงและความนิยมของลูกค้าให้บาร์มากขึ้น ดังนั้นจึงเป็นเสาหลักที่ขาดไม่ได้
ใบหน้าของฉินฮั่นหยางไม่แสดงอารมณ์ พยักหน้าเป็นการตอบรับ
เขาหยิบกระดาษโน้ตสองสามใบมาจากโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นเดินกลับเข้าห้องของตัวเองไปและปิดประตูตาม
สีหน้าของพี่หงและนักร้องชายเจื่อนลงเล็กน้อย แต่คนทั้งสองไม่มีอภิสิทธิ์จริงจังแบบฉินฮั่นหยาง ต้องรู้ว่าถ้าฝ่ายหลังเอ่ยปากแค่คำเดียวก็ทำให้พวกเขาถูกไล่ออกจากบาร์เดย์ลิลลี่ได้เลย ยิ่งกว่านั้นคือไม่อาจทำงานในย่านทะเลสาบโฮ่วไห่ได้อีกต่อไป
ลู่เฉินแอบยิ้มอยู่ในใจ เขากับฉินฮั่นหยางต่างกันมากเกินไป ตัวเขาเองก็ไม่คิดจะประจบประแจง จึงไม่ได้สนใจว่าฝ่ายนั้นมีท่าทีอย่างไร แน่นอนว่าไม่ต้องลำบากใจเพราะถูกทำให้เสียหน้า
ร้านบาร์หนึ่งร้านก็เหมือนหนึ่งวงการเล็กๆ ลู่เฉินเป็นแค่น้องใหม่ในวงการนั้น
เขานั่งลงไปอีกครั้ง เริ่มหวีจัดแต่งเส้นผมที่ยุ่งเหยิงของตัวเอง
บรรยากาศของบาร์ย่านทะเลสาบโฮ่วไห่ไม่เหมือนกับย่านซานหลี่ถุน[1]ที่วุ่นวาย นักร้องผู้สิ้นหวังหมดอาลัยตายอยากที่ชอบแต่งตัวแปลกประหลาด สกปรกซอมซ่อ มักไม่ได้รับการต้อนรับที่นี่ ดังนั้นรูปลักษณ์ภายนอกจึงสำคัญมาก
บนเวทีด้านนอกมีเสียงของพิธีกรดังขึ้นแล้ว นั่นคือการเริ่มต้นการแสดงอุ่นเครื่อง
ลู่เฉินต้องรีบทำเวลาเตรียมตัว เขาใกล้จะต้องขึ้นแสดงแล้ว
ส่วนคืนนี้เขาจะร้องเพลงอะไร ในใจได้คิดเอาไว้เบื้องต้นแล้ว
ตอนที่พิธีกรกำลังเล่นมุกตลกให้บรรยากาศสนุกสนานขึ้น บริกรที่ตอนแรกเฝ้าอยู่หน้าประตูร้านคนนั้นแอบลับๆ ล่อๆ เข้าไปในห้องควบคุมเครื่องเสียงทางด้านขวาของเวที
ห้องควบคุมเสียงเล็กมาก ด้านในมีอุปกรณ์ควบคุมเสียงและแสงไฟตั้งอยู่พร้อมกับคอมพิวเตอร์ สายไฟชนิดต่างๆ แน่นขนัดเหมือนใยแมงมุม ไฟ LED สีแดง สีเขียว และสีน้ำเงินกะพริบแสดงสถานะไม่หยุด
เจ้าอ้วนที่นั่งอยู่ท่ามกลาง ‘ใยแมงมุม’ เป็นชายที่มีน้ำหนักอย่างน้อย 100 กิโลกรัม เขาสวมหูฟังอันใหญ่ครอบศีรษะไว้ โยกหัวไปตามจังหวะดนตรีที่ฟังอยู่ บนโต๊ะทำงานตรงหน้ายังมีแฮมเบอร์เกอร์ที่กินแค่ไปครึ่งหนึ่งวางไว้
“พี่อ้วน พี่อ้วน!”
บริกรเรียกซ้ำสองครั้ง ฝ่ายนั้นไม่ได้ยิน ด้วยความเหนื่อยหน่ายเขาจึงออกแรงผลักอีกฝ่าย
เจ้าอ้วนลืมตาขึ้นทันที เห็นว่าเป็นบริกรหนุ่มจึงขมวดคิ้ว ถอดหูฟังออกแล้วถามอย่างหงุดหงิดว่า “เสี่ยวเกา ทำไมนายไม่อยู่ข้างนอกต้อนรับลูกค้า เข้ามาหาฉันที่นี่ทำไม ออกไปๆ!”
เขาคือคนควบคุมเครื่องเสียงของห้องนี้ ในห้องเล็กๆ นั้นเกรงว่าต่อให้เป็นเฉินเจี้ยนหาวเมื่อเข้ามาก็ยังต้องฟังคำสั่งเขาเลย
เสี่ยวเกาย่อมรู้ดีในจุดนี้ เขารีบยื่นเบียร์ยี่ห้อจินเวยขวดหนึ่งให้ด้วยยิ้มหวาน
เจ้าอ้วนรับเบียร์มาอย่างไม่เกรงใจ เหลือบมองเขาแล้วถามว่า “ว่ามาเถอะ นายไม่มีเรื่องอะไรจะส่งส่วยให้ฉันทำไม อยากจะทำอะไร ฉันบอกไว้ก่อนเลยนะ เรื่องเล็กน้อยทำได้ แต่ถ้าเรื่องใหญ่ไม่ต้องพูดถึง!”
“เรื่องเล็กน้อยจริงๆ ครับ…”
เสี่ยวเกาพลันตั้งสมาธิ รีบเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของเจ้าอ้วนสองสามประโยค
เจ้าอ้วนฟังไปแล้วสีหน้าประหลาด เขาเหมือนมองพิจารณาอีกฝ่ายจากบนลงล่างอีกครั้ง กล่าวว่า “นายนี่ร้ายกาจเลยนะ นี่ยังถือเป็นเรื่องเล็กอีกเหรอ”
เสี่ยวเกายิ้มตาม “เป็นเรื่องเล็กจริงๆ ผมเห็นเจ้าลู่เฉินมันขวางหูขวางตา อาศัยว่าหน้าตาดีหน่อยก็ไม่เห็นหัวคนอื่น พวกเราต้องสั่งสอนเขาหน่อยนะครับ ให้เขารู้ว่าอยู่ในบาร์เดย์ลิลลี่จะใช้แค่หน้าตาอย่างเดียวไม่ได้!”
“อืม…”
เจ้าอ้วนพยักหน้าเหมือนคิดตาม ยกมือขึ้นลูบๆ คางอวบอ้วนพลางบอก “พูดมีเหตุผลอยู่ นายว่าเขารูปหล่อร้องเพลงไม่ได้เรื่อง ทำไมไม่ไปเป็นคุณชายแถวซานหลี่ถุน มาแสร้งทำเป็นศิลปินหนุ่มที่ย่านโฮ่วไห่ ยังต้องให้พี่อ้วนเช็ดก้นให้อีก นี่…นี่มันวางลำดับความสำคัญสลับกันปะ”
เสี่ยวเกายิ้มชั่วร้าย “ใช่แล้ว ใช่แล้ว พี่อ้วน พี่ก็ทำไปเพราะหวังดีกับเขา…”
ทันใดนั้นเขาเปลี่ยนสีหน้า ชี้ไปที่หน้าต่างกระจกเงาด้านเดียวของห้องควบคุมเครื่องเสียง “ลู่เฉินขึ้นเวทีแล้ว!”
ผนังที่กั้นระหว่างห้องควบคุมเสียงกับเวทีติดตั้งกระจกเงาด้านเดียวไว้ คนที่อยู่ภายในมองเห็นทั้งเวทีด้านนอกได้ แต่คนที่อยู่ข้างนอกจะมองไม่เห็นภายในห้อง
คนที่เดินถือกีตาร์ขึ้นไปกลางเวทีนั้น ถ้าไม่ใช่ลู่เฉินแล้วจะเป็นใครไปได้?
“พี่อ้วน รีบลงมือเถอะ!”
เสี่ยวเกาจ้องลู่เฉินเขม็ง ปากเอ่ยอย่างเร่งอย่างร้อนใจ
“จะตื่นทำไม!”
เจ้าอ้วนถลึงตาใส่เสี่ยวเกาทีหนึ่ง เอ่ยว่า “ฉันรู้ว่าต้องทำยังไง ไม่ต้องให้นายมาสอน!”
ระหว่างพูด เขายื่นมือไปปิดปุ่มหนึ่งบนแท่นควบคุมเสียง ไฟ LED บนเครื่องช่วยปรับเสียงด้านข้างดับวูบลง
โดยพื้นฐานนักร้องในบาร์ย่านโฮ่วไห่มักจะร้องเพลงควบคู่ไปกับการเล่นดนตรีสด ถ้าไม่เก่งจริงก็ทำงานอยู่ในย่านนี้ยาก แต่เสียงของนักร้องถูกปรับจากห้องควบคุมเสียงได้ ปรับให้เสียงเพราะขึ้น ความสามารถเหมือนกับการเปลี่ยนของเน่าเสียให้กลายเป็นของวิเศษ
นักปรับแต่งเสียงมืออาชีพตัวจริงมักไม่มาทำงานตามผับบาร์ บาร์เดย์ลิลลี่เองก็จ้างไม่ไหว ดังนั้นการปรับแก้เสียงหลังเวทีจึงควบคุมโดยนักปรับแต่งเสียงกึ่งอาชีพ ทำงานร่วมกับเครื่องมือระบบดิจิทัลแบบจำเพาะ ก็กลบเกลื่อนเสียงให้คนข้างนอกได้ไม่มีปัญหา
ในหมู่ลูกค้าที่มาจ่ายเงินให้บาร์ คนที่รู้และเข้าใจเทคนิคนี้ก็มี แต่มีไม่มาก คนที่รู้ลึกซึ้งยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ความสามารถด้านการร้องเล่นของลู่เฉินนั้นธรรมดามาก เขามีโอกาสได้ขึ้นเวทีเฉิดฉายเร็วกว่า นอกจากเพราะหน้าตาดีแล้ว เจ้าอ้วนที่คอยปรับแต่งเสียงของเขาอยู่หลังเวทีก็มีส่วนช่วยด้วย
สิ่งที่ทำให้เจ้าอ้วนไม่พอใจก็คือ ลู่เฉินไม่เคยทำประโยชน์อะไรให้เขาเลย หยิ่งผยองกว่านักร้องหลักเสียอีก!
ตอนนี้พอถูกเสี่ยวเกาเป่าหูยุยง ความเคืองแค้นจึงค่อยๆ ผุดขึ้นมา และปิดเครื่องปรับแต่งเสียงไปชั่วคราว
เมื่อเป็นแบบนี้ เสียงของลู่เฉินที่ร้องและเล่นเพลงอยู่บนเวทีจะไม่ถูกปรับแต่งให้ไพเราะขึ้นแต่อย่างใด จะดังออกมาผ่านลำโพง JBL ราคาหลายแสนด้วยเสียงดั้งเดิม
เขาจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง!
เจ้าอ้วนหัวเราะชั่วร้าย ส่งสายตาให้เสี่ยวเกา “นายรอดูเรื่องสนุกก็แล้วกัน!”
เสี่ยวเกาพยักหน้าแรงๆ กำมือแน่นด้วยความตื่นเต้น…ลู่เฉิน ดูซิว่าต่อไปนายยังจะมีหน้ามาทำงานที่บาร์เดย์ลิลลี่อีกไหม!
ลู่เฉินในตอนนี้ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังถูกคนอื่นกลั่นแกล้ง
เขานั่งอยู่บนเก้าอี้เล่นดนตรี มือขวาโอบกีตาร์ไว้ ยื่นมือซ้ายออกมาปรับองศาของไมโครโฟน
เลยเวลาสองทุ่มมาแล้ว ทั้งยังเป็นเป็นช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ตอนนี้แขกในบาร์มากขึ้นทุกที พื้นที่สองในสามของบาร์ถูกจับจองแล้ว ในจำนวนนั้นมีลูกค้าประจำอยู่หลายคน
หลังจากเตรียมตัวเสร็จ ลู่เฉินพูดใส่ไมโครโฟนว่า “ขอบคุณทุกคนที่มาบาร์เดย์ลิลลี่ของเรานะครับ วันนี้ก่อนอื่นผมขอร้องเพลงให้ทุกคน เป็นเพลงที่มีชื่อว่าพิราบโบยบิน หวังว่าทุกคนจะชื่นชอบครับ!”
เสียงปรบมือดังขึ้นประปรายภายในบาร์ ลูกค้าสาวบางคนที่รู้จักลู่เฉินถึงกับเป่าปากให้
“เสี่ยวลู่สู้ๆ!”
ลูกค้าหลายคนหัวเราะ บรรยากาศครึกครื้นมีชีวิตชีวาขึ้นมา
ลู่เฉินโบกมือให้ทางลูกค้าอย่างเก้อเขิน จากนั้นเตรียมเริ่มการแสดงของตัวเอง
“พี่เจี้ยนหาว…”
ด้านหลังเคาน์เตอร์ สาวสวยทรงเสน่ห์คนนั้นมองดูลู่เฉินบนเวที ดวงตาเป็นประกายวาววับ “พนักงานของพี่คนนี้ดูภายนอกไม่เลวเลย มีแววเป็นหนุ่มหล่อ แถมยังร้องเพลงเล่นดนตรีได้อีก ให้เขามาอยู่บริษัทฉันเถอะ”
“เขา?”
เฉินเจี้ยนหาวหลุดหัวเราะ ส่ายหน้าตอบว่า “เสี่ยวลู่รูปลักษณ์ใช้ได้ แต่ระดับการร้องเล่นด้อยไป ร้องเป็นตัวเสริมที่นี่ก็ถึงขีดจำกัดแล้ว ยังต้องอาศัยปรับแต่งเสียงอยู่ข้างหลังเลย เธออยากจับเขาเซ็นสัญญาจริงเหรอ”
“ถ้างั้นก็ช่างเถอะ…”
หญิงสาวทรงเสน่ห์ตัดบท “ไม่มีพื้นฐานไม่เอา บริษัทเล็กๆ ของฉันเลี้ยงไม่ไหวหรอก”
ในเมืองหลวงมีสิ่งที่มีมากมายอยู่สามอย่างคือ ข้าราชการ คนรวย และคนสวยคนหล่อ คนเก่งที่รูปลักษณ์ดูดีมีถมเถไป
หากเอ่ยถึงด้านดนตรีอย่างเดียว ในเมืองหลวงมีมหาวิทยาลัยการดนตรีถึงสามแห่ง ทั้งยังมีโครงการอบรมด้านดนตรีหลากหลายรูปแบบ ทุกปีมีคนหน้าใหม่เปิดตัวมากมาย แล้วจะต้องลงทุนลงแรงปั้นคนที่ไม่มีพื้นฐานคนหนึ่งทำไม?
หญิงสาวก็แค่พูดไปอย่างนั้น ไม่ได้คิดจริงจังมาก
ตอนนี้เอง ลู่เฉินเริ่มดีดกีตาร์
……………………………………………………………..
[1]ย่านซานหลี่ถุน ตั้งอยู่ในเขตฉาวหยาง เมืองปักกิ่ง เป็นถนนคนเดินที่มีร้านรวงแบรนด์ต่างๆ ทั้งยังเป็นที่ตั้งของร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่ม และบาร์ในยามค่ำคืนมากมาย