ตอนที่ 5 เธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉัน
หลัวหงอี้เป็นลูกค้าประจำคนหนึ่งของบาร์เดย์ลิลลี่
เขาเข้ามาต่อสู้ดิ้นรนอยู่ในเมืองหลวงหลายปีแล้ว ตอนนี้ถือเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จไปกว่าครึ่งคนหนึ่ง ปกติต่อให้งานยุ่งแค่ไหน ตกกลางคืนพอมีเวลาว่างมักจะมานั่งเล่นที่บาร์ สั่งเหล้ารัมสักสองสามขวด จิบเล่นฆ่าเวลายามค่ำคืนที่เงียบเหงายาวนาน
หลัวหงอี้ไม่ชอบที่อึกทึก และก็ไม่ชอบความโดดเดี่ยวอ้างว้าง บรรยากาศบาร์ในย่านทะเลสาบโฮ่วไห่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย การมาที่นี่ไม่ใช่เพื่อรอพบปะกับเพื่อนต่างเพศ แต่เพื่อให้ได้ผ่อนคลายความเคร่งเครียดในใจลง
ค่ำคืนนี้ เขานั่งอยู่ตรงที่ประจำในบาร์เดย์ลิลลี่
แล้วจึงได้ฟังเพลงเธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉัน
“…
เมื่อก่อนเธอระวังมาก
ที่จะยืมยางลบครึ่งก้อนจากฉัน
เธอเคยพูดขึ้นมาลอยๆ
ว่าชอบอยู่กับฉัน
ช่วงเวลานั้นฟ้าสีครามสดใสเสมอ
คืนวันดำเนินผ่านช้าเกินไป
เธอชอบพูดว่าเวลาจบการศึกษายังอีกยาวไกล
แต่เพียงพริบตาเราต่างคนต่างแยกย้าย
ใครหรือที่ได้พบกับเธอผู้อ่อนไหวขี้น้อยใจ
ใครหนอที่ได้ปลอบเธอผู้ชอบร้องไห้
ใครกันได้อ่านจดหมายที่ฉันเขียนให้เธอ
แล้วใครกันที่โยนมันออกไปสู่สายลม…
…”
ในฐานะหัวกะทิคนหนึ่งในที่ทำงาน หลัวหงอี้เคยชินกับการแก่งแย่งชิงดีมาแต่ไหนแต่ไร ยังเคยคิดอยู่เลยว่าหัวใจของเขาแข็งแกร่งกว่าเหล็กกล้าเสียอีก จะไม่ถูกใครหรือเรื่องใดทำให้หวั่นไหวเศร้าใจง่ายๆ
แต่พอได้ฟังบทเพลงบัลลาดที่สดชื่นบริสุทธิ์และแฝงด้วยความโหยหาอดีตเพลงนี้แล้ว เขารู้สึกได้ว่าหัวใจของเขาแท้จริงแล้วไม่ได้แข็งกร้าวเย็นชาอย่างที่คิด ยังมีความอ่อนแอที่ไม่จำเป็นต้องอับอายหลบซ่อนอยู่
เพื่อนร่วมโต๊ะอาจจะเป็นใครบางคนที่เก็บไว้ในส่วนลึกที่สุดของความทรงจำสมัยวัยรุ่น เพื่อนร่วมโต๊ะของใครหลายคนเป็นรักแรกที่ประทับใจที่สุด แม้ตอนนั้นทุกคนยังไม่รู้จักความรัก ทว่ามีเพียงความสัมพันธ์ที่ไม่เห็นแก่ผลประโยชน์และไม่แปดเปื้อนเรื่องทางโลกเช่นนี้จึงจะเป็นสิ่งสวยงามที่สุด!
หลัวหงอี้เองก็เคยมีเพื่อนร่วมโต๊ะคนหนึ่งที่จดจำอยู่ในใจ นั่นคือเด็กสาวที่ชื่อมีคำว่า ‘ถง’ อยู่ด้วย
รู้จัก สนิทนสนม คบหา ทะเลาะ คืนดี…แล้วก็จบการศึกษา ไม่นานต่างก็แยกย้ายไปคนละทาง
เหมือนละครน้ำเน่าสมัยใหม่ แต่นั่นเป็นช่วงวัยรุ่นที่หลัวหงอี้ได้ผ่านมาแล้ว!
เรื่องราวในอดีตไม่ควรคิดถึงอีก แต่กลับทำให้หลัวหลงอี้ในตอนนี้เกิดความรู้สึกชั่ววูบรุนแรง เขาอยากโทรศัพท์หาถง เพียงเพื่อถามว่า…ตอนนี้เธอเป็นอย่างไรบ้าง?
แต่ก่อนหน้านี้เนิ่นนานมาแล้ว เขาขาดการติดต่อกับเธอไป
“…
วันวานในอดีตห่างไกลออกไป
ฉันมีภรรยาของฉัน
ฉันให้เขาดูรูปถ่ายเธอเหมือนกัน
และเล่าเรื่องเพื่อนร่วมโต๊ะอย่างเธอให้ฟัง
ใครนะที่ได้แต่งงานกับเธอผู้อ่อนไหวขี้น้อยใจ
ใครหนอที่ได้ปลอบเธอผู้ชอบร้องไห้
ใครกันช่วยมัดผมให้
ใครกันที่ตัดชุดแต่งงานให้เธอ…
ลา…”
หลัวหงอี้ลุกขึ้นยืนมาอย่างแรงจนเกือบชนโต๊ะวางเครื่องดื่มเล็กๆ ด้านหน้าล้มคว่ำ ทว่าเขาไม่สนใจ คว้าขวดเหล้ารัมที่ยังไม่ได้เปิดบนโต๊ะมาขวดหนึ่งแล้วเดินดุ่มไปหน้าเวที
บนเวที ลู่เฉินร้องท่อนสุดท้ายจบลงแล้ว
ทั้งบาร์เงียบสงัด ราวกับถูกร่ายมนตร์ เวลาหยุดนิ่งอยู่ในชั่วขณะนี้
ลู่เฉินรู้สึกดีมาก
เพราะดวงตาทุกคู่จับจ้องมาที่เขา ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีใครดื่มกิน ไม่มีคนเดินไปมา ไม่มีใครไม่สนใจ และไม่มีใครมองผ่าน
ในที่นี้ บนเวทีนี้ เขาใช้บทเพลงใหม่สร้างความประทับใจให้กับทุกคน!
นอกเสียจากชายวัยกลางคนที่แต่งตัวภูมิฐานคนหนึ่ง เขากำลังเดินตรงมาตามทางเดินระหว่างโต๊ะ ฝีเท้าโซเซมุ่งหน้ามาหาเวที จากนั้นวางขวดเหล้ารัมที่ถือมาลงบนเวทีซึ่งปูแผ่นยางกันลื่น
ต่อมา ชายที่ดูเป็นหัวกะทิในที่ทำงานคนนี้หยิบกระเป๋าเงินในอกเสื้อออกมาเปิด นับธนบัตรใบละ 100 หยวนห้าใบวางลงข้างๆ ขวดเหล้ารัม ลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเพิ่มเข้าไปอีกสามใบ
ทิปทั้งหมดเป็นแบงก์สีแดงใหม่เอี่ยมแปดใบ ถูกเขาใช้ขวดเหล้าวางทับไว้
“ร้องอีกรอบสิ!”
ชายวัยกลางคนเงยหน้ามองลู่เฉิน พูดด้วยเสียงแหบแห้ง “ช่วยร้องอีกรอบหนึ่งที!”
ภายในดวงตาดำขลับของเขามีประกายบางอย่างที่บอกไม่ถูก
ลู่เฉินตกใจในตอนแรก พอเข้าใจความหมายแล้วจึงรีบตอบว่า “ขอบคุณคุณผู้ชายคนนี้ที่สนับสนุนครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะร้องอีกรอบ หวังว่าทุกท่านจะชอบผลงานเพลงใหม่ของผมนะครับ”
วิธีตบรางวัลเช่นนี้ไม่ค่อยเห็นบ่อยนักในบาร์เดย์ลิลลี่ เพราะลูกค้าที่มาใช้จ่ายส่วนใหญ่จะเป็นพนักงานออฟฟิศ ศิลปินหนุ่มสาว นักเรียนมัธยม หรือคนวงใน ซึ่งเชื่อมั่นในเนื้อแท้และเหตุผลกันมาก
เพลงเธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉันมีเอกลักษณ์แบบคลาสสิค ยิ่งผ่านการขับร้องโดยลู่เฉินแล้วยิ่งมีเสน่ห์สะกดความรู้สึก
ตอนนี้เอง เสียงปรบมือเหมือนเสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั้งบาร์ เหมือนหลังคาด้านบนจะถล่มลงมา!
ลู่เฉินโค้งตัวลงไปหยิบเหล้ารัมขวดนั้น เปิดฝาขวดแล้วดื่มเข้าไปอึกใหญ่ จากนั้นวางกลับไปที่เดิม เขาพยักหน้าให้อีกฝ่ายแล้วดึงกีตาร์เข้ามากอดอีกครั้ง
จากนั้นเริ่มร้องเพลงรอบที่สอง
เสียงปรบมือที่กึกก้องเมื่อครู่เหมือนเสียงฝนห่าใหญ่ในคืนฤดูร้อน มาไวและไปเร็วยิ่งกว่า ในบาร์เงียบลงอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เสียงจากถนนคนเดินด้านนอกลอดผ่านหน้าต่างกระจกเข้ามาให้ได้ยินอยู่แว่วๆ
เสียงร้องของลู่เฉินและเสียงกีตาร์ประสานเข้าด้วยกัน ค่อยๆ เติมเต็มช่วงเวลาที่ชวนให้ลืมไม่ลงนี้
ด้านหลังเคาน์เตอร์บาร์ ซูชิงเหมยคว้าแขนของเฉินเจี้ยนหาวไว้แน่นด้วยแววตาเป็นประกาย กระซิบเสียงเบาว่า “ฉันต้องการ ฉันต้องการคนนี้ ฉันอยากได้เขา!”
เฉินเจี้ยนหาวใช้นิ้วบีบนวดกลางหว่างคิ้วด้วยความปวดหัว ยิ้มแห้งตอบว่า “คุณผู้หญิงครับ เธอช่วยสำรวมหน่อยได้ไหม? ถ้าเขาเป็นของเธอ อยากจะหนีก็หนีไม่พ้น ถ้าไม่ใช่ของเธอ…”
“เขาต้องเป็นของฉันคนเดียว!”
ซูชิงเหมยตัดบทอีกฝ่ายอย่างหยิ่งผยอง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจที่บรรยายไม่ถูก “ฉันไม่เชื่อว่าเขาจะปฏิเสธคำเชิญของฉัน แต่พี่ต้องไม่กีดกันเขาก่อนด้วย แล้วเพลงนี้ก็เป็นเพลงที่เขาแต่งเองจริงๆ…”
เฉินเจี้ยนหาวโบกมือซ้ายที่ถือโทรศัพท์มือถือไว้ ตอบว่า “ฉันใช้โปรแกรมฟังเสียงหาดูแล้ว ไม่มีเพลงที่เหมือนหรือคล้ายกันเลย ถ้าเธออยากตรวจสอบลิขสิทธิ์ก็ไปค้นหาในคลังดนตรีเอาเอง”
‘ฟังเสียงหาเพลง’ เป็นโปรแกรมมือถือที่กำลังเป็นที่นิยมกันมาก เพียงแค่อัดเสียงดนตรีหรือเสียงร้องอะไรก็ได้ลงไป ก็สามารถหาชื่อเพลงและเนื้อเพลงพบ ความแม่นยำค่อนข้างสูง
แน่นอนว่าหากเทียบกับ ‘ห้องสมุดดนตรีจีน’ แล้ว ‘โปรแกรมฟังเสียงหาเพลง’ ยังมีความชำนาญเฉพาะและความน่าเชื่อถือด้อยกว่ามาก
ซูชิงเหมยหัวเราะคิกคัก ปล่อยแขนเฉินเจี้ยนหาวแล้วตอบรับ “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหา”
เสน่ห์ของหญิงสาวที่สวยสะพรั่ง ความเจ้าเล่ห์แบบเด็กสาววัยรุ่น สองสิ่งที่ต่างกันนี้ผสมปนเปอยู่ด้วยกัน ทำให้เธอมีเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เหมือนปีศาจสาวในเรื่องเล่าที่ทำให้คนหัวปั่น
แต่เฉินเจี้ยนหาวให้ความยำเกรงและรักษาระยะห่างจากเธอ “เธอไม่มีปัญหา ฉันสิที่มีปัญหา!”
เขาออกมาจากเคาน์เตอร์บาร์ เดินไปทางด้านหลังเวที
บนเวที การแสดงของลู่เฉินยังดำเนินต่อไป
ในห้องใหญ่ด้านหลังเวที พี่หงและนักร้องหนุ่มแซ่เยี่ยมองหน้ากันไปมา อารมณ์หลายหลายอย่างทั้งตกใจ ประหลาดใจ อิจฉาริษยาปรากฏขึ้นและเปลี่ยนไปเรื่อยๆ บนใบหน้าของทั้งคู่ พวกเขานิ่งเงียบพูดอะไรไม่ออก
ในห้องใหญ่ไม่มีกำแพงเก็บเสียงเหมือนห้องเล็ก จึงได้ยินเสียงเพลงที่สะท้อนก้องอยู่ในบาร์อย่างชัดเจน
ทำงานอยู่ในบาร์เดย์ลิลลี่มานานขนาดนี้ เดิมทีลู่เฉินร้องเพลงได้ระดับไหน ทั้งสองคนมีหรือจะไม่รู้?
ในฐานะที่เป็นนักร้องหลัก ไม่ว่าทั้งพี่หงหรือนักร้องหนุ่มเยี่ยต่างดูถูกลู่เฉินเสมอมา คิดว่าเขาอาศัยหน้าตาหาเลี้ยงชีพ มีสถานะเดิมเป็นเพียงบริกรในบาร์ ไม่เคยมองว่าเขาเป็นคู่แข่ง
แต่คืนนี้ ลู่เฉินได้ขึ้นเวทีร้องเปิดเวที เลือกใช้เพลงพิราบโบยบิน ก่อนจะทำให้คนอื่นต้องมองเขาใหม่ แล้วค่อยเอาผลงานเพลงตัวเองออกแสดงให้ตะลึง จนได้รับรางวัลจากผู้ชม!
นี่ยังเป็นลู่เฉินที่ทุกคนรู้จักหรือเปล่า?
ทั้งสองคนไม่อาจเชื่อ ไม่กล้าเชื่อ และไม่อยากจะเชื่อด้วย!
“เขา…เขาไปเลียนแบบมาจากที่ไหนหรือเปล่า?”
ผ่านไปครู่หนึ่ง นักร้องหนุ่มแซ่เยี่ยบ่นพึมพำว่า “ฉันฟังแล้วคุ้นหูชอบกล ยังกล้าบอกว่าเป็นผลงานทำเองอีก?”
พี่หงฝืนยิ้ม ในใจกลับแอบดูถูกสติปัญญาของอีกฝ่าย
เป็นผลงานเพลงแต่งเองจริงหรือเปล่า ใช้โทรศัพท์มือถือค้นหาเลยก็รู้แล้ว นอกเสียจากว่าลู่เฉินจะถูกลาดีดกะโหลกมา ไม่อย่างนั้นคุยโม้แล้วถูกจับผิดได้ ต่อไปเขายังจะมีหน้าอยู่ที่นี่ต่อได้อย่างไร?
สิ่งที่ทำให้เธอไม่มีทางเชื่อคือ เพลงที่ลู่เฉินร้องทั้งสองเพลงไม่ได้ถูกปรับแต่งเสียงเลย!
เจ้าอ้วนในห้องควบคุมเสียงมัวทำอะไรอยู่?
ในช่วงเวลาเดียวกัน ห้องควบคุมเสียง
ทั้งเจ้าอ้วนผู้คุมเครื่องเสียงและบริกรเสี่ยวเกาต่างตะลึงตาค้างไปแล้ว
พวกเขาอยากกลั่นแกล้งลู่เฉินสักครั้ง จึงปิดแท่นเครื่องปรับแต่งเสียงให้เป็นเสียงที่แท้จริง คิดว่าแบบนี้จะทำให้ลู่เฉินต้องขายหน้าอยู่กลางเวที และตอบสนองความคิดชั่วร้ายของตัวเอง
กลับกลายเป็นว่าผลลัพธ์ไม่เป็นอย่างที่พวกเขาคิดไว้เลย ลู่เฉินไม่เพียงไม่ขายหน้า ยังชนะใจแขกในบาร์จนได้เสียงร้องเชียร์ ความสามารถในการเล่นและร้องดีกว่าแต่ก่อนไม่รู้กี่เท่า
เสียงที่ดังออกจากลำโพงชัดเจนมากกว่าฟังอยู่ในบาร์เสียอีก
แผนเล็กๆ ของพวกเขาไม่มีประโยชน์อะไร
แล้วเจ้าลู่เฉินยังได้แสดงผลงานเพลงของตัวเองอีก!
เจ้าอ้วนส่ายหัวอย่างหมดหวัง ยื่นมือเตรียมจะเปิดเครื่องปรับเสียงใหม่
เสี่ยวเกาจับมือของเขาเอาไว้ ถามด้วยเสียงชั่วร้ายว่า “พี่อ้วน พี่ปรับเสียงเขาให้แย่ลงหน่อยได้ไหม?”
ความริษยารุนแรงเปรียบเสมือนงูพิษกำลังกัดกินใจของบริกรคนนี้ ทำให้เขาขาดสติไม่รู้ผิดชอบชั่วดี
แต่เจ้าอ้วนยังรู้สึกตัวดี เขากับลู่เฉินก็ไม่มีความแค้นหนักหนาต่อกัน หลังจากตกใจก็ตอบกลับเหมือนไฟลนก้นว่า “พูดบ้าอะไรของนาย งานฉันยังต้องทำอยู่ไหม? ไม่ได้ๆ…”
การปรับแต่งเสียงจะปรับให้ดีขึ้นหรือจะปรับให้แย่ลงก็ได้ทั้งนั้น แต่แบบนี้มันชัดเจนเกินไป เห็นว่าคนอื่นโง่กันหมดหรือไง?
เสี่ยวเกาไม่ยอม รั้งแขนของเจ้าอ้วนไว้ไม่ยอมปล่อย กำลังจะพูดโน้มน้าวต่อ
ตอนนี้เอง ประตูห้องควบคุมเสียงถูกเปิดออก
ทั้งสองที่คิดแผนชั่วร้ายรีบหันไปมองทันที พอเห็นว่าคนที่เข้ามาคือเฉินเจี้ยนหาวก็ตกใจลนลานไปหมด!
สีหน้าของเฉินเจี้ยนหาวเคร่งขรึม สายตาคมกริบกวาดมองทั้งสองคน แล้วไปหยุดอยู่บนเครื่องปรับเสียงที่ยังปิดอยู่ ในดวงตาเหมือนมีไฟโทสะลุกโชนขึ้น
เจ้าอ้วนนั่งตัวแข็งอยู่บนเก้าอี้ ทำหน้าเจื่อนพยายามจะอธิบาย “เถ้า…เถ้าแก่ ผม…”
เฉินเจี้ยนหาวไม่สนใจเขา หันไปทางเสี่ยวเกาแล้วถามเสียงเย็นว่า “เสี่ยวเกา นายไปรับเงินเดือนของเดือนนี้ที่แผนกบุคคลแล้วออกไปเดี๋ยวนี้ ต่อไปไม่ต้องมาเหยียบที่นี่อีก”
เถ้าแก่ของบาร์เดย์ลิลลี่เห็นชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น และก็รู้ด้วยว่าตัวตั้งตัวตีเป็นใคร
เสี่ยวเการู้สึกราวกับถูกสายฟ้าฟาดลงกลางกระหม่อม เขารู้สึกตัวขึ้นมาทันที ความไม่พอใจ ความอิจฉา ความโกรธแค้นของเขาสลายหายไปหมด เหลือเพียงความหวาดหวั่นและเสียใจภายหลัง
“เถ้าแก่ ผมผิดไปแล้ว ขอร้องเถอะครับ ให้โอกาสผมอีกครั้งเถอะ!”
ทำงานเป็นบริกรในบาร์เดย์ลิลลี่ไม่เลวเลยทีเดียว เงินเดือนมั่นคงไม่น้อยไป เถ้าแก่อย่างเฉินเจี้ยนหาวก็ไม่เคยเอาเปรียบลูกน้อง พอถึงปลายปียังมีอั่งเปามอบให้เต็มที่
เสี่ยวเกาไม่อยากเสียงานนี้ไป อีกทั้งความหมายอีกอย่างของเฉินเจี้ยนหาวคือต่อไปเขาไม่ต้องมาย่านทะเลสาบโฮ่วไห่นี้อีก!
เฉินเจี้ยนหาวไม่มีอิทธิพลแผ่ไปถึงบาร์อื่นในย่านโฮ่วไห่อยู่แล้ว แต่แค่ข่าวลือกระจายออกไปไม่กี่ประโยค ผับบาร์ไหนจะอยากรับพนักงานที่ชอบหาเรื่องคนอื่นเข้าทำงาน?
ตอนนี้ให้เขาไปรับเงินเดือนแล้วออกไป ก็เป็นวิธีที่เมตตาและไว้หน้าที่สุดแล้ว!
จะขอร้องอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์
เสี่ยวเกาอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา…ทำกรรมชั่วแบบใดก็ต้องได้รับผลของกรรมชั่วนั้น!
…………………………………………………………………………
Ink Stone_Fantasy
ข้อความถึงนักอ่าน
Ink Stone_Fantasy
เพลง 同桌的你 โดย 老狼 https://www.youtube.com/watch?v=FVVqEw5UTUA&ab_channel=%E6%B5%B7%E8%9D%B6%E9%9F%B3%E6%A8%82%2F%E5%A4%AA%E5%90%88%E9%9F%B3%E6%A8%82TaiheMusic