ตอนที่ 35 ต่งอวี่
ลู่เฉินยืนกรานที่จะขึ้นแสดงการร้องเพลงเดี่ยวด้วยตัวเอง
ฉินฮั่นหยางกับพี่น่าต่างมองหน้ากัน แล้วจึงเงียบไม่พูดอะไรอีก
เพราะว่าทั้งสองคนก็เคยเป็นวัยรุ่น เคยเลือดร้อนมาก่อน เมื่อเผชิญหน้ากับความกดดันและไม่ยุติธรรมก็เคยต่อ ต้านอย่างเต็มที่เหมือนกัน ไม่ว่าผลสรุปสุดท้ายจะสำเร็จหรือล้มเหลว พวกเขาก็เคยพยายามมาแล้ว!
ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจความแน่วแน่ของลู่เฉิน ไม่ยอมใช้ฐานะของรุ่นพี่มาอบรมสั่งสอนลู่เฉิน ต่อให้เป็นความปรารถนาดีก็ตาม
ตอนเป็นวัยรุ่นใครบ้างไม่เคยล้มเหลว มีเพียงคนที่เคยผ่านความล้มเหลวกับความพ่ายแพ้มาแล้วถึงจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างแท้จริง!
พี่น่าพูดให้กำลังใจ “สู้ๆ พวกเราทุกคนสนับสนุนนาย!”
ฉินฮั่นหยางพยักหน้าเช่นกัน
มีเพียงสมาชิกที่เหลือสี่คนของวงเฮสิเทชั่นที่ทำสีหน้าผิดปกติ มองลู่เฉินด้วยสายตาแปลกประหลาด
ในสายตาของพวกเขา ลู่เฉินไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำชัดๆ มองความปรารถนาดีของพี่ฉินกับพี่น่าเป็นการปองร้าย เขาขึ้นไปแสดงบนเวทีแบบนี้ต้องเสียเปรียบแน่นอน เกรงว่าถึงตอนนั้นจะถูกคนด่าจนหาทางลงเวทีไม่ถูก
บรรยากาศเทศกาลดนตรีคาร์นิวัลไนท์ของบลูโลตัส ใช่ว่าบาร์อื่นๆ จะเปรียบเทียบได้ ผู้คนสองสามพันคนมารวมตัวกันและกู่ตะโกนร้องพร้อมกัน คลื่นเสียงที่ส่งออกมาสามารถดังลั่นไปถึงเพดาน ถ้าหากไม่มีจิตใจที่เข้มแข็งพอจะตื่นเวทีและขายหน้าได้ง่ายมาก
ถ้าหากฉินฮั่นหยางไม่ได้พูดล่ะก็ พวกเขาก็อยากให้ลู่เฉินได้สติ…คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน
ลู่เฉินหัวเราะพูดทันใด “พี่น่า วันนี้ผมเตรียมเพลงใหม่มาครับ”
ทุกคนที่อยู่ในงาน พี่น่าคือคนที่เป็นห่วงเขามากที่สุด ดังนั้นลู่เฉินจึงไม่อยากปิดบังอีก ปล่อยภาระที่แบกไว้ลงทั้งหมด
“เชื่อว่าไม่น่าจะทำให้บาร์เดย์ลิลลี่ของพวกเราต้องขายหน้า!”
พี่น่าตาสว่างทันที “จริงเหรอ ในเมื่อนายมั่นใจ อย่างนั้นก็ไม่มีปัญหา ฉันเชื่อว่านายมีความสามารถ!”
สามารถเขียนเพลงให้เธอได้ดีขนาดนั้น ลู่เฉินที่มีความพร้อมต่อสถานการณ์จะมีปัญหาได้อย่างไร
หากมองจากมุมอื่น พี่น่าในตอนนี้ก็ถือว่าเป็นแฟนคลับของลู่เฉินเช่นกัน
ความคิดของฉินฮั่นหยางกลับซับซ้อนยิ่งกว่า เดิมทีเขาไม่ได้มีความประทับใจในตัวลู่เฉินเลย ต่อให้ลู่เฉินจะทำงานในบาร์เดย์ลิลลี่มากว่าครึ่งปีแล้ว ทั้งสองคนก็พูดคุยกันน้อยมาก
จนกระทั่งหลังจากที่ช่วยแต่งเพลงให้พี่น่า เขาเพิ่งรู้ว่าที่แท้ข้างกายตัวเองมีเด็กหนุ่มมีความสามารถขนาดนี้
แต่ฉินฮั่นหยางคิดว่าผลงานเพลงบัลลาดสองเพลงของลู่เฉินก็ยังสู้เพลงที่เขาแต่งให้พี่น่าไม่ได้
ตอนนี้ได้ยินลู่เฉินพูดว่าได้เขียนเพลงใหม่ออกมาอีกแล้ว ในใจของเขาจึงรู้สึกทอดถอนใจเป็นอย่างมาก
ฉินฮั่นหยางเคยทำอาชีพนักแต่งเพลงมาก่อน จึงเข้าใจความยากของการแต่งเพลงเป็นอย่างดี การแต่งเพลงดีๆ ออกมาสักเพลงไม่ง่ายเลย
ลู่เฉินแค่อาศัยสามเพลงนี้ ก็มีสิทธิ์ติดอันดับนักแต่งเพลงระดับสองกระทั่งระดับหนึ่งก็ยังได้ นอกจากนี้ความปรารถนาในการแต่งเพลงของเขาก็มีความเด่นชัดเช่นนี้ ถ้าหากมีแรงบันดาลใจใหม่ๆ มาอย่างไม่ขาดสาย ความสำเร็จในอนาคตของทุกคนก็ไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป
ขอให้เป็นแบบนั้นเถอะ!
นอกหน้าต่างยาวจรดถึงพื้น ท้องฟ้ามืดแล้ว
ไฟทุกดวงที่ตกแต่งอยู่บนเวทีเปิดสว่างขึ้นทั้งหมด แสงไฟสว่างจ้าส่องไปยังผู้คนที่เบียดเสียด บรรยากาศคึกคักและเสียงดัง ทำให้คนคิดว่าตัวเองอยู่ช่วงกลางฤดูร้อน
เหลืออีกกว่าครึ่งชั่วโมงก่อนที่งานไลท์บลูมิวสิคคาร์นิวัลออฟไนท์จะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ ตอนนี้ผู้ชมเริ่มแน่นแล้ว กลุ่มวัยรุ่นทั้งชายและหญิงต่างนั่งคุยกันบนเก้าอี้พลาสติก บางคนก็ถือป้ายไฟเรืองแสงกับแท่งไฟเรืองแสง
บนเวทีมีภาพหน้าจอ LED ขนาดใหญ่กำลังฉายภาพเงาสะท้อนชวนหลงใหล พวกกลองชุดเครื่องสังเคราะห์เสียงก็ติดตั้งเรียบร้อยแล้ว รอแค่วงดนตรีขึ้นมาใช้งาน
ตามความเคยชินของการแสดง เครื่องดนตรีที่ขนย้ายไม่สะดวกจะจัดหาโดยบลูโลตัส ดังนั้นมือกลอง มือคีย์บอร์ดของวงดนตรีบางวงก็จะขึ้นมาลองเล่นดูก่อน การกระทำของพวกเขาเรียกเสียงฮือฮาจากด้านล่างเวทีตลอดเวลา
ระเบียงด้านนอกชั้นบนสุดของบาร์บลูโลตัส บรรยากาศโซนแขกวีไอพีก็สบายและผ่อนคลายอย่างไม่ต้องสงสัย
เหล่าสุภาพบุรุษแต่งตัวอย่างดูดีเหมาะสมและเหล่าสุภาพสตรีที่แต่งตัวอย่างตั้งอกตั้งใจบ้างก็ถือแชมเปญหรือไวน์แดง จับกลุ่มคุยกันกลุ่มละสองสามคนเพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนกัน เหล่าพนักงานเสิร์ฟที่สวมชุดยูนิฟอร์มถือถาดอาหารที่ใส่ของว่างกับเหล้าไวน์ เดินหน้าตรงผ่านกลุ่มผู้คน ทุกอย่างเป็นไปอย่างมีระเบียบ
และสิ่งที่ดึงดูดความสนใจมากที่สุดคือสาวสวยหุ่นเพรียวมีเสน่ห์ สวมเสื้อผ้าฤดูร้อนของพราด้า เธอถูกผู้คนรายล้อมดั่งกับดาวล้อมเดือน กลายเป็นจุดสนใจของทั้งงาน
ผู้หญิงที่สวมเสื้อผ้าของพราด้าคนนี้มีหน้าตาสะสวยเป็นเอกลักษณ์ เธอเกล้ามวยผมขึ้นไปทั้งหมด แล้วใช้แว่นตาไทเทเนียมกรอบสีดำปิดบังดวงตาดั่งนกการเวกที่มีเสน่ห์เอาไว้ แต่งหน้าบางๆ แต่กลับมีบุคลิกโดดเด่นไม่เหมือนใคร
“ผู้จัดการต่ง ผู้จัดการต่งไม่เจอกันนานเลยนะครับ…”
ถึงแม้จะถูกผู้คนล้อมไว้มากมาย ไม่ว่าคนรู้จักหรือคนแปลกหน้าที่เข้ามาทักทายเพื่อตีสนิท แต่ผู้หญิงที่ถูกคนเรียกว่า ‘ผู้จัดการต่ง’ ก็ยังรักษารอยยิ้มเกรงใจบนใบหน้าตลอดเวลา แล้วขานรับคำทักทายของคนอื่นอย่างมีมารยาทมาก
เพียงแต่นัยน์ตาที่ซ่อนอยู่หลังแว่นตานี้กลับเผยแววตาจนใจ นี่คือการแสดงอารมณ์ที่แท้จริงของเธอ
ต่งอวี่อายุยี่สิบเจ็ดปี เป็นผู้จัดการใหญ่บริษัทชิงอวี่มีเดีย เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเมื่อต้นปี
ต่อให้เบื้องหลังของเธอจะมีฐานะครอบครัวที่ไม่ธรรมดา แต่เธอก็รู้สึกไม่ดีที่ถูกเหล่าผู้ชายมองด้วยความปรารถนาอยากได้จนน้ำลายหก เธอมองท่าทีแบบนั้นด้วยใบหน้าที่เย็นชา ถึงอย่างไรหากอยากจะพัฒนาและก้าวหน้าในอาชีพนี้ เส้นสายกับความสัมพันธ์ก็สำคัญมากที่สุด
โชคดีที่ซูชิงเหมยปรากฏตัว ช่วยต่งอวี่ออกมาได้ทันเวลา!
ผู้ร่วมหุ้นสองคนแอบมาหลบคุยกันที่มุมหนึ่ง เหล่าสุภาพบุรุษที่หาโอกาสไม่เจอจึงได้แต่ถอยไป
“คืนนี้ฉันไม่ควรมาเลยจริงๆ…”
ต่งอวี่เปิดกระเป๋าใบเล็กกะทัดรัด หยิบซองบุหรี่กับไฟแช็กออกมาอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นจุดบุหรี่กลิ่นมินต์เมนทอลหนึ่งมวนแล้วสูบหนึ่งที พลางบ่นกับซูชิงเหมยว่า “ทิ้งฉันอยู่ที่นี่ แล้วเธอก็หายไปเลยนะ!”
ความเคยชินของการสูบบุหรี่เกิดขึ้นตอนที่ไปเรียนต่างประเทศ ความจริงตัวเธอก็ไม่ชอบมากนัก แต่เวลาที่เซ็งๆ แล้วจุดสูบสักหนึ่งมวน ก็สามารถระบายอารมณ์ได้ไม่น้อย
ซูชิงเหมยยิ้มพูด “ตอนนี้ฉันก็มาช่วยพี่แล้วไม่ใช่เหรอ รู้จักเพื่อนใหม่เยอะๆ ก็เป็นเรื่องที่ดี พี่จะมัวขังตัวเองอยู่ในออฟฟิศอย่างเดียวไม่ได้ อย่างนั้นก็คงไม่ได้แต่งงานกลายเป็นสาวโสดขึ้นคานแน่ๆ!”
“ซูชิงเหมย!”
ต่งอวี่เขี่ยบุหรี่ในที่เขี่ยบุหรี่ ขึงตาสวยแบบนกการเวก พูดด้วยความโกรธว่า “ช่วงนี้เธอรู้สึกคันเนื้อคันตัวมากใช่ไหม”
“ไม่กล้าค่ะ…”
ซูชิงเหมยรีบขอร้องอ้อนวอน “พี่อวี่ฉันผิดไปแล้วค่ะ เมื่อครู่ฉันก็ไปหาคนเก่งมีความสามารถมาให้บริษัทไงเล่า”
เธอแสร้งทำเป็นกลัวน่าสงสาร ทำให้ต่งอวี่ทั้งโกรธและขำ แต่ในใจกลับคิดว่า ผู้หญิงที่สวยมากขนาดนี้ ไม่รู้ว่าสุดท้ายผู้ชายคนไหนจะได้เป็นเจ้าของ!
ต่งอวี่ถามว่า “แล้วเธอเจอไหม”
ซูชิงเหมยเบะปาก ตอบว่า “ก็ไม่เท่าไร อีกสักพักค่อยไปดูใหม่”
ต่งอวี่พลันนึกขึ้นได้ จึงถาม “คราวที่แล้วเธอไปเจอเด็กใหม่อนาคตไกลคนหนึ่งที่บาร์ของพี่เจี้ยนหาวไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้ไม่มีข่าวคราวแล้วล่ะ”
ซูชิงเหมยตกตะลึง ถามด้วยความประหลาดใจว่า “พี่อวี่รู้ได้ยังไงคะ”
เธอถูกลู่เฉินปฏิเสธจนขายหน้า มีหรือจะเป็นฝ่ายบอกเรื่องนี้กับต่งอวี่ ไม่คิดว่าต่งอวี่จะรู้ เธอกัดฟันกรอด…อยากจะกินคน!
ต่งอวี่หัวเราะเบาๆ “ถึงเธอจะละเมอเพ้อฝันฉันก็ได้ยิน คนนั้นไม่เหมาะสมเหรอ”
เธอกับซูชิงเหมยสองคนร่วมกันลงทุนเปิดบริษัทชิงอวี่มีเดียขึ้นมา ตอนที่เปิดกิจการช่วงแรกๆ ก็ไม่เคยคิดจะดึงคนแย่งคนอย่างกำเริบเสิบสาน แต่มุ่งเน้นไปที่การค้นพบเด็กใหม่แล้วอบรมพัฒนาเด็กใหม่ที่มีอนาคต
อย่างเช่นจื่อเป่ยเจินที่อยู่ใต้สังกัดของบลูโลตัส เป็นวงดนตรีใหม่ที่มีศักยภาพแฝงมากวงหนึ่ง ก็ได้เซ็นสัญญากับบริษัทแล้ว
ต่งอวี่ได้ยินข่าวเรื่องที่ซูชิงเหมยเสียหน้ากับเด็กใหม่โดยบังเอิญ จึงอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้
ไม่รู้ว่าเป็นคนแบบไหนกันแน่ ถึงทำให้คุณหนูคนนี้ต้องเดินชนกำแพงสองรอบติดต่อกันได้
ดังนั้นเธอจึงไม่พูดเรื่องไหนหันมาพูดเรื่องนี้ จะได้ขูดแผลที่เจ็บปวดของซูชิงเหมย อยากค้นหาความจริงออกมา
ซูชิงเหมยกัดฟันกรอด พูดว่า “ฉันไม่ได้ละเมอพูดเพ้อ แต่เดี๋ยวพี่อวี่ก็จะได้เห็นหมอนั่นเอง เกรงว่าจะทำให้พี่ผิดหวัง”
เธอเผยรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า เหมือนกับจิ้งจอกที่ขโมยแม่ไก่ได้
“เหรอ”
ต่งอวี่เลิกคิ้ว แล้วพูดว่า “คืนนี้เขาก็ขึ้นแสดงเหรอ”
“ใช่!”
ซูชิงเหมยพยักหน้าแรงๆ เธอจูงมือของต่งอวี่แล้วเอ่ย “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว อีกสักพักการแสดงก็จะเริ่มแล้ว พวกเราไปหาพี่ฉางตรงโน้นกันเถอะ คืนนี้เขาถึงจะเป็นตัวเอกของงาน!”
ตอนนี้เวลาหกโมงห้าสิบนาทีแล้ว งานไลท์บลูมิวสิคาร์นิวัลออฟไนท์ที่ร่วมกันจัดขึ้นระหว่างบาร์บลูโลตัสกับบริษัทชิงอวี่มีเดียกำลังจะเปิดฉากขึ้น วงดนตรีที่แสดงกลุ่มแรกเพิ่งจะขึ้นเวที
…………………………………………………………………………