ตอนที่ 132 ของขวัญสุดพิเศษ
“เกิดมีวันหนึ่ง ฉันไร้ที่พักพิง โปรดปล่อยฉันไว้ ในช่วงเวลาเหล่านั้น!”
“เกิดมีวันหนึ่ง ฉันหายไปเงียบๆ โปรดฝังฉันไว้ ในฤดูใบไม้ผลิ”
“ในฤดูใบไม้ผลิ~”
ตอนที่ฉินฮั่นหยางนักร้องนำวงเฮสิเทชั่นร้องเพลง ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ จบแล้ว ก็เกิดความคึกคักขึ้นมาทั้งงาน!
ผลงานเพลงร็อกนี้ถูกสร้างสรรค์โดยลู่เฉิน กลายเป็นผลงานคลาสสิกผ่านการขับร้องโดยวงเฮสิเทชั่นและฉินฮั่นหยาง ถูกร้องอย่างแพร่หลายตามถนนสายหลักและตรอกเล็กซอยน้อย ในผับบาร์ ในลานพลาซ่า ตามทางใต้ดิน…มีคนนำไปร้องและเรียบเรียงใหม่ไม่น้อย
แต่ไม่ว่าจะร้องใหม่ให้มีสีสันมากเพียงใดก็สู้เสน่ห์ของเพลงต้นฉบับไม่ได้
ภายในบาร์เดย์ลิลลี่คืนนี้มีแขกมารวมตัวกันจำนวนมาก นอกจากลูกค้าเก่าที่มาเที่ยวบ่อยๆ แล้ว ยังมีพวกที่ทำอาชีพเดียวกันจากบาร์อื่นๆ ทุกคนได้รับข่าวก็รีบมาอย่างรวดเร็ว
ต่อให้มีผลกระทบกับงาน เป็นเหตุให้เสียเวลาในการหาเงิน พวกเขาก็ไม่สนใจ
ราวกับเป็นการเดินทางไปแสวงบุญ!
เพลงที่ชอบที่สุด เพลงที่ทำให้ประทับใจได้ง่ายที่สุด คนที่ชอบเพลงป็อปเหล่านั้นไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป แต่เป็นนักร้องระดับล่างที่คลุกคลีและเร่ร่อนอยู่ไปทั่วทุกหนทุกแห่งต่างหาก
เพราะการร้องเพลง ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ คือประสบการณ์ของพวกเขา คือเสียงของหัวใจและความปรารถนาของพวกเขา!
กระทั่งมีบางคนคิดว่าหากได้ยินเพลงนี้ ได้ร้องเพลงนี้ ก็คือความโชคดีที่สุดของตัวเองแล้ว
ดังนั้นในคืนนี้ที่บาร์เดย์ลิลลี่ เมื่อได้เห็นการแสดงของวงเฮสิเทชั่นด้วยตาตัวเอง ได้ฟังเสียงร้องของฉินฮั่นหยางกับหูตัวเอง จึงเป็นความรู้สึกตื่นเต้นของทุกคน อยากจะให้ตัวเองขึ้นไปอยู่บนเวทีบ้าง
พวกเขาไม่มีที่ระบายอารมณ์ จึงแสดงออกโดยใช้เสียงปรบมือและเสียงโห่ร้อง!
ความฮึกเหิมดั่งเกลียวคลื่น!
เวลาผ่านไปสองสามนาทีเต็ม ภายในบาร์ถึงได้สงบลงเสียที
“ขอบคุณครับ!”
ฉินฮั่นหยางพูดกับไมค์ว่า “ขอบคุณที่เพื่อนๆ มากมายมาฟังผมร้องเพลงในคืนนี้”
“อย่างแรกผมขอขอบคุณพี่เจี้ยนหาว ณ ตรงนี้ก่อน เฉินเจี้ยนหาวเถ้าแก่ของพวกเรา ขอบคุณที่เขาให้การสนับสนุนผมและวงเฮสิเทชั่นมาโดยตลอด ไม่มีเขาก็ไม่มีวงเฮสิเทชั่นในวันนี้!”
เขาชูกำปั้นไปให้เฉินเจี้ยนหาวที่ยืนพิงอยู่ตรงบาร์ จากนั้นก็เอามาทุบหน้าอกตัวเองอย่างหนัก
ฉินฮั่นหยางแสดงการคารวะของตัวเอง
เฉินเจี้ยนหาวก็ชูแก้วเพื่อตอบรับ
เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง ด้วยความคึกคักและจริงใจ
เฉินเจี้ยนหาวใช้หุ้นห้าเปอร์เซ็นต์แลกกับลิขสิทธิ์เพลง ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ ส่วนเรื่องการมอบของขวัญอื่นๆ เพื่อเป็นการอำลาวงเฮสิเทชั่นกลายเป็นตำนานช่วงหนึ่งในย่านโฮ่วไห่มานานแล้ว
ตอนนี้พอพูดถึงชื่อเขา ใครบ้างไม่ชูนิ้วโป้งให้เพื่อชื่นชมคุณธรรมของเขา
ตอนนี้มีนักร้องมากมายอยากจะโผล่หน้าเข้ามาในบาร์เดย์ลิลลี่ ต่อให้ต้องเป็นนักร้องที่ร้องเพลงตามออเดอร์ก็ยอม!
ได้อยู่กับเถ้าแก่แบบนี้ นั่นคือความโชคดีแล้ว
ฉินฮั่นหยางพูดต่อว่า “จากนั้นก็ขอขอบคุณลู่เฉินอัจฉริยะดนตรีของพวกเรา ผมต้องขอบคุณที่เขาเขียนเพลงที่ดีให้กับวงเฮสิเทชั่น เป็นเพลงที่ดีมากจริงๆ!”
เขากำหมัดเหมือนเดิม แล้วคารวะแบบเดิมไปทางลู่เฉินที่ยืนอยู่ข้างเวที
ลู่เฉินเงียบไม่พูดอะไร กำหมัดคารวะขอบคุณกลับมา
เสียงปรบมือที่ยังไม่สงบนิ่งรุนแรงขึ้นอีกครั้ง เกิดลมพายุลูกใหม่!
ลู่เฉิน มีใครบ้างไม่รู้จัก ความอัจฉริยะที่เก่งไม่เหมือนใครของเขา ผลงานเพลงแต่ละเพลงล้วนมีความโดดเด่นทั้งสิ้น
เขามอบความสำเร็จให้วงเฮสิเทชั่น และวันนี้ตัวเองก็เดินอยู่บนเส้นทางอันเจิดจรัสเช่นกัน
“ต่อไปขอเชิญลู่เฉินมาโชว์การร้องเพลงให้กับพวกเราครับ!”
เสียงของฉินฮั่นหยางเพิ่งจะสิ้นสุดลง บรรยากาศภายในงานก็ทะยานถึงขีดสุดทันที ส่งเสียงร้องขึ้นลงเป็นระลอกคลื่น
ลู่เฉินเดินขึ้นมาบนเวทีด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ในเวลานี้เอง พนักงานเสิร์ฟสองคนผลักเปียโนออกมาจากมุมหนึ่งของเวที
เมื่อเห็นภาพฉากนี้ ทุกคนต่างก็ตกตะลึง
หรือว่าลู่เฉินจะเล่นเปียโน?
ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าใหม่หรือว่าลูกค้าเก่า ก็ไม่เคยเห็นลู่เฉินเล่นเปียโนมาก่อน
ได้ยินลู่เฉินพูดว่า “วันนี้เป็นวันที่พิเศษมาก…”
“ก็เหมือนกับพี่ฮั่นหยางครับ ผมขอขอบคุณพี่เจี้ยนหาว เถ้าแก่ของพวกเรามา ณ ที่นี้ ขอบคุณที่เขารับผมไว้ตอนที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตของผม มอบงานที่พอมีพอกินให้กับผม ขอบคุณครับ!”
เขาโน้มตัวคำนับอย่างสุดซึ้งไปทางเฉินเจี้ยนหาว
ไวน์ที่อยู่ในแก้วของเฉินเจี้ยนหาวสั่นกระเพื่อม เขาคิดไม่ถึงว่าลู่เฉินก็เล่นไม้นี้กับตัวเองด้วยเหมือนกัน
มือเก๋าในวงการคนนี้จึงทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย
ลู่เฉินพูดต่อ “ผมยังขอขอบคุณบรรดาลูกค้าเก่าที่อยู่ในบาร์คืนนี้ด้วยนะครับ การสนับสนุนของพวกคุณ ทำให้ผมยืนหยัดต่อไป มอบความกล้าและความพยายามให้กับผม ขอบคุณครับ!”
เขาโน้มตัวเคารพให้กับพวกลูกค้า
ทุกคนปรบมือ ถึงแม้เสียงปรบมือจะไม่รุนแรงมาก แต่ก็เต็มไปด้วยความจริงใจ
ลูกค้าผู้หญิงที่อารมณ์เปราะบางสองสามคนถึงขั้นเบ้าตาแดง
เพราะพวกเธอรู้ว่าลู่เฉินมีวันนี้ได้ไม่ง่ายเลย ความขยันและความพยายามของเขาทุกคนล้วนเห็นอยู่ในสายตา
ลู่เฉินยืดตัวขึ้นมาอีกครั้ง แล้วพูดว่า “ดังนั้น เพลงต่อไปนี้ ซึ่งเป็นผลงานเพลงใหม่ของผม ขอมอบให้กับพี่เจี้ยนหาว และเพื่อนๆ ที่นั่งอยู่ในนี้ครับ ขอให้บาร์เดย์ลิลลี่เป็นที่พักใจของพวกเราตลอดไป”
“เพลงนี้มีชื่อว่าดอกไม้ลืมทุกข์ จัดทำสำเร็จร่วมกันโดยผมกับพี่ฮั่นหยางและวงเฮสิเทชั่น”
ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ใครก็คาดไม่ถึงว่าลู่เฉินจะร้องเพลงใหม่ ทั้งยังร่วมมือกับวงเฮสิเทชั่นอีกด้วย
ดอกไม้ลืมทุกข์!
ลู่เฉินเพิ่งจะนั่งลงหน้าเปียโนที่จัดไว้แล้ว ก็พูดกับไมค์ว่า “ตอนแรกผมเรียนเปียโนเพื่ออยากเอาใจสาวๆ คิดไม่ถึงว่าจะได้มาแสดงให้ทุกคนดู ดังนั้นถ้าเล่นไม่เพราะทุกคนอย่าขำนะครับ”
ทุกคนจึงหัวเราะขึ้นมา
วินาทีต่อมา เสียงบรรเลงเริ่มต้นของเปียโนที่นุ่มนวลก็ดังขึ้น เกิดความเงียบภายในงานในชั่วพริบตา
เสียงร้องของลู่เฉินดังเข้าไปในหูของทุกคนอย่างรวดเร็ว
“ความอ่อนแอทำให้เราเข้าใจความโหดร้าย
เผชิญหน้ากับความหนาวเย็นของชีวิตทุกครั้ง
ต้องจากคนที่เคยรักและอาวรณ์
มีบุญแต่ไร้วาสนาอยู่ร่ำไป
ใครหนอคิดจะจริงใจกับใครจริงๆ
ใครหนอจะเจ็บเพื่อใครจริงๆ
ใครหนอจะเป็นของใครเพียงคนเดียว
จิตวิญญาณไร้เดียงสากับบาดแผลซ้ำๆ
ไม่ยอมรับว่ายังมีพระเจ้าอะไรอีก
ชีวิตที่สวยงามและคนจิตใจดี
เรื่องเศร้าเจ็บปวดทรมานในใจ
เล็กน้อยเกินไปที่จะกล่าวถึง
เธอที่ไปๆ มาๆ ได้พบกันฉัน
รู้จักกันสู้มองตากันและยิ้มบางๆ ให้กันจะดีกว่า
…”
ถ้าพูดอย่างเป็นกลาง ระดับการเล่นเปียโนของลู่เฉินถือว่าธรรมดามาก ธรรมดาจนกระทั่งเด็กๆ ที่สอบผ่านระดับสี่และระดับห้าก็สามารถฆ่าเขาได้ภายในเสี้ยวนาที เทียบกับการดีดกีตาร์ของเขาไม่ได้เลย
แต่เพลงนี้ไม่จำเป็นต้องใช้การบรรเลงเปียโนที่ซับซ้อนใดๆ ลู่เฉินเล่นอย่างตั้งใจมาก ไม่มีการเล่นผิดตัวโน้ต ต่อให้เขาเพิ่งจะกลับไปฝึกเล่นเปียโนเพียงสองสามวัน แต่ก็ยังคงเล่นถูกต้องตามตัวโน้ตและจังหวะดนตรี
แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เพราะว่าตัวของบทเพลงต่างหากคือสิ่งที่ทำให้ผู้คนประทับใจอย่างแท้จริง และก็เป็นเขาที่หลอมรวมเข้าไปอยู่ในเสียงเพลงด้วย
นี่คือผลงานเพลงที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยความรู้สึก เพลงนี้เริ่มต้นมาจากสถานภาพที่น่าเศร้าและโหดร้าย ท้ายที่สุดก็สร้างขึ้นเป็น ‘บทกวี’ จากสภาพแวดล้อมในการมองโลกในแง่ดี… ‘ดอกไม้ลืมทุกข์’ คือสถานการณ์ที่มีอยู่จริงในชีวิตของคนเรา จึงผ่านการเดินทางจากความเรียบง่ายไปสู่ความซับซ้อน และกลับมาที่ความเรียบง่ายอีกทีอย่างสมบูรณ์
“…
ดอกไม้ลืมทุกข์ ลืมเสียได้ก็ดี
มีความรู้สึกในความฝันมากเท่าไร
ณ ที่ไกลสุดขอบฟ้าแห่งหนึ่ง
ณ เกาะเล็กๆ แห่งหนึ่ง
ปีหนึ่งเดือนหนึ่งวันหนึ่งและอ้อมกอดหนึ่ง
หญ้าริมฝั่งน้ำเขียวขจี
รอวันฟ้าดินสลายอย่างเงียบๆ!
…”
หลังจากลู่เฉินร้องจบไปหนึ่งรอบ ฉินฮั่นหยางกับวงเฮสิเทชั่นก็ร้องประสานเสียงกัน
“ความอ่อนแอทำให้เราเข้าใจความโหดร้าย เผชิญหน้ากับความหนาวเย็นของชีวิตทุกครั้ง ต้องจากคนที่เคยรักและอาวรณ์ มีบุญแต่ไร้วาสนาอยู่ร่ำไป!”
เสียงเพลงของเขาทุ้มต่ำมีพลัง ผลักดันความหมายของเพลงนี้ให้เข้าสู่ระดับสูงในรูปแบบใหม่
จากนั้นลู่เฉินก็ร้องต่อ
“ใครหนอคิดจะจริงใจกับใครจริงๆ ใครหนอจะเจ็บเพื่อใครจริงๆ ใครหนอจะเป็นของใครเพียงคนเดียว…”
ทุกคนที่อยู่ในงานฟังอย่างตั้งใจ พวกเขายิ้มเล็กน้อย พวกเขาซาบซึ้ง พวกเขาเหมือนตระหนักรู้
ชีวิตคนเราก็เป็นแบบนี้ เวลาช่างไร้ความปรานี แต่ก็ยังมีเพลงคอยปลอบใจตัวเอง!
ภายในบาร์ปกคลุมไปด้วยบรรยากาศพิเศษเฉพาะอย่างหนึ่ง
จนกระทั่งลู่เฉินร้องจบ ทุกคนต่างไม่พูดกันอยู่นาน
เฉินเจี้ยนหาวปรบมือเป็นคนแรก
ทุกคนราวกับตื่นจากความฝันและปรบมือตาม ไม่มีเสียงโห่ร้องหรือผิวปาก มีเพียงเสียงปรบมืออย่างพร้อมเพรียงกัน
“ขอบคุณครับ!”
ลู่เฉินลุกขึ้น แสดงการขอบคุณต่อทุกคน
เขาหยิบไมค์ที่วางอยู่บนเปียโนขึ้นมา แล้วพูดว่า “เพลงดอกไม้ลืมทุกข์นี้ ผมขอโอนลิขสิทธิ์เพลงนี้ให้กับบาร์ของพวกเราฟรีตลอดไป ถือว่าผมมอบของขวัญสุดพิเศษให้กับพี่เจี้ยนหาวในคืนนี้ครับ”
เสียงปรบมือยิ่งดังขึ้น
ลู่เฉินยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนเงียบ พูดต่อว่า “ผมคิดว่าทุกคนคงจะสงสัยมากใช่ไหมครับ งั้นฟังเพลงต่อไปก็จะรู้แล้ว!”
ลู่เฉินเสียบไมค์กลับไปอีกครั้งแล้วนั่งลง
แสงไฟภายในบาร์ดับวูบ!
ยังไม่ทันรอให้ทุกคนส่งเสียงร้องตกใจ เสียงบรรเลงเปียโนก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ท่ามกลางเสียงตกใจกลับแฝงไปด้วยเสียงของความตื่นเต้น
วินาทีต่อมา แสงเทียนสีส้มก็กระจายออกมาจากความมืด เห็นเพียงพี่น่าผลักรถเข็นเล็กๆ ออกมาจากหลังเวที
เค้กหลายชั้นก้อนโตวางอยู่บนรถเข็น ปักเทียนสีสันสวยงามอยู่ข้างบน!
“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู…”
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่ม ทุกคนร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดไปตามจังหวะเปียโนอย่างพร้อมเพรียงกัน
รถเข็นถูกผลักมาอยู่ตรงหน้าของเฉินเจี้ยนหาว
พี่น่ายิ้มเล็กน้อย “เจี้ยนหาว สุขสันต์วันเกิดค่ะ!”
รอยยิ้มของเธอส่องสะท้อนท่ามกลางแสงเทียน ดูสวยงามเป็นพิเศษ…ซึ่งไม่เกี่ยวกับความงามของหน้าตา
วันนี้คือวันเกิดครบรอบสี่สิบปีของเฉินเจี้ยนหาว
เฉินเจี้ยนหาวตกตะลึงอึ้งไปหมด
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมลู่เฉินกับคนของวงเฮสิเทชั่นถึงวิ่งมาที่นี่ในคืนนี้ ทำไมพวกลูกค้าเก่าๆ พอเห็นตัวเองก็เหมือนมีเรื่องอะไรลึกลับซ่อนอยู่
ที่แท้พวกเขาก็แอบสมรู้ร่วมคิดกันนานแล้ว
วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบสี่สิบปีของเฉินเจี้ยนหาว ตัวเขาเองก็ยังลืม!
แต่กลับมีคนจดจำได้
เขาจ้องมองพี่น่าที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง แล้วพูดออกมาอย่างยากลำบากว่า “ขอบใจนะ น่าน่า”
นอกจากพี่น่าแล้ว ก็ไม่มีใครอื่น
น้ำตาที่คลออยู่ในดวงตาไหลออกมาในทันที พี่น่ายิ้มพูดว่า “อธิษฐานแล้วเป่าเทียนสิคะ ทุกคนกำลังรออยู่!”
เฉินเจี้ยนหาวพยักหน้า
เขาหลับตาอธิษฐานในใจ จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเป่าเทียนให้ดับทั้งหมด!
หากเป็นแต่ก่อน เฉินเจี้ยนหาวคงคิดว่านี่คือเรื่องปัญญาอ่อนมาก
พรึ่บๆๆ!
แสงไฟเปิดสว่างทั่วทั้งบาร์
ตามด้วยเสียงโห่ร้องยินดีเสียงดัง สีสเปรย์แต่ละอันถูกเปิดออก จากนั้นสีสเปรย์สีสันสวยงามนับไม่ถ้วนก็ลอยว่อนอยู่กลางอากาศแล้วร่วงลงมา เพิ่มบรรยากาศของการเฉลิมฉลองให้มีสีสันมากขึ้น
เสียงเพลงแห่งความสนุกสนานดังขึ้น ทำให้บาร์เดย์ลิลลี่กลายเป็นทะเลแห่งความสุข
คืนนี้ไม่หลับไม่นอน!
…………………………………………………………………………